แม้ราคาจะขยับขึ้นไปอีกนิดนึงแต่ก็มากลับการยกระดับความพรีเมียมแปลงร่างเป็น 5 ประตู ใส่สไตล์สปอร์ตพร้อมชุดแต่ง RS รอบคันและเสริมความปลอดภัยกับฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ค่าตัวเริ่มต้นที่ 1,229,000 บาท
หลายคนคงรอคอยที่จะได้ยลโฉมเจ้าซีวิค แฮทช์แบ็ก 5 ประตูในรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ เพราะที่ผ่านมาฮอนด้าทำมาดีจากกระแสการตอบรับของซีวิค ทรงซีดาน เอาใจวัยรุ่นที่มาพร้อมกับความสปอร์ตซีดานแต่คงความหรูไว้ด้วย ขณะนี้ซีวิค แฮทช์แบ็ก ถูกนำมาผลิตในไทยเป็นที่เรียบร้อยโดนใจหลายครอบครัวที่ชอบรถ 5 ประตูอย่างแน่นอน และในรุ่นนี้เขาจะเพิ่มเสริมเติมแต่งอะไรกันมาบ้าง
เครื่องยนต์ดี การขับขี่มั่นใจ
สำหรับซีวิค แฮทช์แบ็ก ถ้าหากเปิดฝากระโปรงขึ้นมาอาจจะตกใจเล็กน้อยการวางเครื่อง เดินสายต่าง ๆ ยังคงดูรกตาและมีเพียงเครื่องยนต์แบบเดียวเท่านั้นคือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO 4 สูบ 16 วาล์ว ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT พุ่งทะยานสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,700-5,500 รอบต่อนาที พร้อมเทคโนโลยีไดเรคอินเจคชัน (Direct Injection)
เมื่อวิ่งในโหมดปกติ (D) ที่อัตราเร่ง 0 -100 ยังคงให้การขับขี่ที่สนุกอยู่แต่อาจจะมีเขวบ้างด้วยเครื่องยนต์ที่อยู่มานานหากเทียบกับรุ่นเก่า ๆ ในค่ายเดียวกันก็ถือว่าดีขึ้นและถ้าเทียบกับมาสด้า 3 ใหม่นั้นยังคงตามหลังอยู่ ลองเปลี่ยนเข้าสู่โหมดสปอร์ต (S) ถือว่าทำได้ดีอยู่หมัด ลองเหยียบไปที่ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ่งที่ชัดกว่าความแรงคือเสียงลมที่ตีเข้ามารวมถึงเสียงจากพื้นถนนที่ชัดเจน
ฮอนด้ายังคงทำได้ดีด้วยเรื่องของความนุ่มนวลแบบคุณชายขณะที่กดคันเร่งแบบทันทีก็แอบลุ้นบ้างว่าจะกระชากรุนแรงไหม ปรากฏว่าชนะใจไปเต็ม ๆ แต่สำหรับคนชอบความแรงฮอนด้ายังคงเป็นรองให้กับรุ่นอื่น ๆ อย่างคู่แข่งแบบ มาสด้า 3 Fastback ที่ให้ความมั่นใจกับช่วงล่างมากกว่า แม้แต่ Toyota Corolla Altis ยังปรับช่วงล่างให้หนึบเกาะถนนได้ดี กลับมาที่ฮอนด้าถ้าพูดถึงเรื่องความสะเทือนแน่นอนว่านำหน้าคู่แข่งไปเยอะและผู้โดยสารด้านหลังที่จะไม่รู้สึกว่าถูกโยนจนตัวลอยขณะที่เจอลูกระนาดหรือสภาพถนนขรุขระ
พวงมาลัยให้ความรู้สึกกึ่งกลางไม่หนักไปไม่เบาไป วงขนาดกำลังพอดีเพิ่มความขับขี่ที่มั่นใจในการบังคับทิศทางที่แม่นยำหมุนได้คมตามมือ เข้าโค้งมั่นใจพอสมควร หากวิ่งในความเร็วสูง 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปอาจจะสั่นสะบัดไปบ้าง ซึ่งรุ่นนี้จะเก่งกับทางตรงซะมากกว่า
มาดูระบบฮอนด้า เซนส์ซิ่ง การใช้งานง่าย ๆ ด้วยปุ่มมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัยและแสดงสัญลักษณ์บนมาตรวัด เริ่มที่ Adaptive Cruise Control (ACC) เป็นการรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าตรวจจับโดยกล้องและเรดาร์ เลือกระยะห่างได้ 3 ระดับ หากรถคันหน้าลดความเร็วลง ระบบก็จะชะลอความเร็วลงตาม โดยที่เราไม่ต้องใช้เบรก ปกติแล้วจะสามารถใช้งานได้เมื่อมีความเร็วอยู่ที่ 30-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ฮอนด้าเพิ่ม Low Speed Following (LSF) เมื่อวิ่งที่ความเร็วต่ำกว่า 30 ยังสามารถใช้ระบบนี้ได้อยู่
นอกจากนี้ยังมีระบบที่น่าสนใจอย่าง Lane Keeping Assist System (LKAS) เมื่อออกจากเลนโดยไม่ได้เปิดไฟเลี้ยวพวงมาลัยจะบังคับให้รถกลับมาอยู่ที่เลนเดิม 2 ระบบนี้เป็นระบบหลัก ๆ ที่อยากจะนำเสนอ เพราะฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ได้แต่ระบบเหล่านี้ก็มีอยู่ในคู่แข่งอย่างมาสด้า 3
เพิ่มความหล่อให้ลุคใหม่
เราจะกล่าถึงเฉพาะจุดที่ถูกปรับปรุงหรือเพิ่มเข้ามา อย่างสุดยอดไฮไลท์จากรุ่นนี้คือ ส่วนของด้านหลังที่เขาให้ท่อไอเสียคู่ออกกลางโดยที่เราไม่ต้องไปเปลี่ยนซุ้มล้ออะไหล่อีก พร้อมชุดแต่ง RS รอบคัน เพิ่มเสาอากาศแบบ Shark fin สปอย์เลอร์พร้อมรับลมทั้งบนและล่างเพิ่ม Downforce ไฟเบรกตัวที่ 3 ตัวกรอบเบ้าเป็นสีขาวแต่ไฟเป็นสีแดง ส่วนไฟท้ายเป็นรูปแบบเดิมยังไม่เป็น LED มีการซ่อนหัวฉีดล้างกระจกด้านหลัง
ล้อมีการปรับเปลี่ยนเปลี่ยนให้เข้ากับลุคสปอร์ตมากขึ้นด้วยล้อ 17 นิ้ว ยางโรงงานส่งตรงจากโยโกฮาม่า ยกดีไซน์มาจากซีดานอีกที
กันชนด้านหน้าที่เป็นชุดตกแต่งเฉพาะรุ่นพร้อมสเกิร์ตสีดำรอบคัน กระจังหน้าเป็นเปียโนแบล็คส่วนนี้คงต้องรักษาความสะอาดกันหน่อยเป็นรอยง่ายฝุ่นเกาะ เพิ่มสัญลักษณ์ RS โคมไฟหน้ายังคงเหมือนรุ่นซีดาน Full LED ส่วนเรื่องเส้นสายของตัวรถยังเป็นแบบเดิม
ภายในที่เปลี่ยนไป
ตกแต่งด้วยการหุ้มหนังเดินด้ายสีแดงตั้งแต่พวงมาลัยจนถึงฐานเกียร์ ส่วนที่เปลี่ยนไปจะอยู่ที่หน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่เพิ่มปุ่มกดเข้ามาด้วย การทำงานของระบบสัมผัสที่ดีขึ้น รองรับ Apple CarPlay/Android Auto บันทึกประวัติในการใช้งาน ซึ่งในซีวิค แฮทช์แบ็ก นั้นเพิ่ม Honda Connect ที่ใส่ซิมไว้สื่อสารสามารถเช็คได้เช่น ประวัติในการเดินทาง
ภายในห้องโดยสารใช้งานขึ้น-ลง สะดวกจากความกว้างแม้ว่าห้องโดยสารจะสั้นลงเพราะประตูที่ 5 แต่เบาะที่ให้มาในด้านหลังค่อนข้างกว้าง สำหรับคนที่มีความสูงตั้งแต่ 175 เซนติเมตรขึ้นไปในส่วนของที่พักขาไม่ติดเบาะคนหน้าไม่ปวดเข่าแน่นอน แต่ส่วนหัวนั้นถ้าสูงเกินกว่า 180 เซนติเมตร เมื่อรถได้รับการสะเทือนแล้วตัวลอยเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าเจ็บ หลังไม่ชันนั่งทางไกลสบายตัวและมีเว้าสำหรับวางขาในตำแหน่งที่ 5
เบาะทรงสปอร์ตใส่ความสนุกด้วยความรู้สึกเมื่อเวลานั่งตัวจะติดกับถนนอยู่แล้ว หุ้มด้วยหนังสลับการลายผ้าพร้อมระบบไฟฟ้าปรับได้ 8 ทิศทางในตำแหน่งผู้ขับ ส่วนด้านข้างผู้ขับปรับด้วยระบบไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะหลังพับได้แบบอิสระ 60:40 รองรับสรีระและโอบอุ้มไว้ได้เป็นอย่างดี พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทางเช่นกัน (ขึ้น-ลง-เข้า-ออก) เดิมมีปุ่มมัลติฟังก์ชั่นอยู่แล้วเพียงแต่เพิ่มปุ่มควบคุมมระบบ Adaptive Cruise Control เข้ามา
ห้องเก็บสัมภาระที่ค่อนข้างกว้างเพิ่ม SubFrame มากขึ้นกว่าตัวซีดานป้องกันการโดนชนท้ายที่เข้าถึงตัวผู้โดยสาร ช่องยางอะไหล่ก็ใหญ่พอกันเป็นชิ้นส่วนจากไม้อัด ฉากกั้นในตัวนี้สามารถสลับซ้าย-ขวา อีกหนึ่งความพิเศษเพิ่มความเป็นส่วนตัวด้วยฉากกั้นจากประตูเมื่อปิดลงมาจะทำให้ตัวฉากต่อกัน
สรุปการกลับมา
ระยะทางที่เราได้ลองขับด้วยความใกล้-ไกล ก็พอจะทำให้เข้าใจในคำว่า ก็รถสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งช่วงล่างของซีวิค แฮทช์แบ็ก ทำออกมาได้อย่างดีในส่วนของการสั่นสะเทือน ความแรงที่ยังมอบความประทับใจเสมอ แต่ก็ยังมีตามหลังคู่แข่งอยู่หลายจุด เช่น เสียงลมจากภายนอก ความหนึบในการเกาะถนน เราคิดว่า การแก้เกมส์ได้ดีคือ การใช้งานด้านออกแบบทรวดทรงที่ตั้งใจจะออกมาเป็นสปอร์ตหน้าตาดุดัน รองรับการชนจากด้านหลัง คุ้มค่าแบบไม่ต้องเสียเงินเพิ่มคอยเปลี่ยนนู่น เติมนี่เสียเวลากับการหาอะไรที่เข้ากับหน้าตาของรถ แถมระบบฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ต่าง ๆ ที่เพิ่มมาก็เป็นประโยชน์ต่อผู้ขับได้ไม่แพ้กัน
ภายในยืนหนึ่งของฮอนด้า ซีวิค แฮทช์แบ็ก กว้างขวางให้ความรู้สึกเพลิดเพลินที่จะอยู่บนท้องถนนมากกว่าไม่ว่าจะเป็นเบาะด้านหลัง การออกแบบให้รับสรีระของผู้โดยสารแต่ละคน หรือจะเป็นการบรรจุสัมภาระ จะเห็นว่าฮอนด้าชนะแบบใส ๆ ไปเลยเรื่อง การอำนวยความสะดวก