NEW MG MAXUS 9 กับจุดเด่นของการเป็นแบรนด์แรกที่เปิดน่านน้ำสร้างเซกเมนต์ใหม่ ที่ผสานความลงตัว ในการนำเสนอความเป็น “ที่สุด” ทั้งงานดีไซน์ที่โดดเด่น หรูหรา และ NEW MG ES สเตชั่นแวกอนไฟฟ้ารุ่นใหม่ โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยของห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ใช้ได้จริง
การเปิดตัวครั้งที่ผ่านมานั้นจึงได้เกิดกิจกรรม Road Trips ขึ้น ซึ่งทาง WHAT CAR? Thailand ได้ร่วมพิสูจน์สมรรถนะเครื่องยนต์ไฟฟ้า 100% ทั้งสองคันคือ MG Maxus 9 และ MG ES ด้วยการเดินทางระยะรวมกว่า 190 กม. จากกรุงเทพ-นครราชสีมา
การเดินทางที่ควบคุมได้ดั่งใจ
ทาง WHAT CAR? Thailand ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพ-Hotel Labaris Khao Yai ด้วยระยะทางกว่า 190 กม. ซึ่งขาไปเราเดินทางด้วย New MG ES และขากลับเดินทางกลับด้วย MG Maxus9 ซึ่งระหว่างทางเราได้แวะชาร์จแบตรถที่ MG สระบุรี ซึ่งการเดินทางของ New MG ES เป็นการเดินทางด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด กับแพล็ตฟอร์มระบบส่งกำลัง SAIC E1 THREE – ELECTRIC SYSTEM มาพร้อมขุมพลังที่ให้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-LAYER HAIR PIN PERMANENT MAGNETIC SYNCHRONOUS MOTOR (PMSM) ที่ให้พละกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร มาพร้อม ช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION ที่ให้การทรงตัวที่ดี ผสานกับระบบช่วงล่างหน้าอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโครง และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม บอกได้เลยว่าด้วยเครื่องยนต์และแพล็ตฟอร์มต่างๆ ทำให้ขับแล้วนุ่มมาก จนบางครั้งมันอาจดูนุ่มเกินไปซึ่งคนขับเร็วๆ อาจลังเลใจ
เดินทางด้วย New MG ES
ภายนอกที่เราสัมผัสได้เมื่อได้เจอคันจริงคือสวยมาก NEW MG ES มาพร้อมกับ New ERA Design ที่ออกแบบตัวรถใหม่ทั้งภายนอกและภายในที่ดูเรียบหรูผสานความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว แต่บางคนอาจไม่ชอบเพราะมันดูมีความคลาสสิคเป็นรุ่นเก่าอยู่บ้าง แต่ด้านข้างดูเรียวยาวสวยโดยตัวถังมีมิติตัวถัง 4,600 x 1,818 x 1,543 มิลลิเมตร (ยาว x กว้าง x สูง) มาพร้อมระยะความยาวฐานล้อ 2,665 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุดจากพื้น 115 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อเราจะใช้รถจะสะดวกมากเพราะเป็นระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart key) พร้อมปุ่ม Push Start
NEW MG ES ไฟหน้า ไฟเบรกดวงที่ 3 และไฟท้าย LED โฉมใหม่แบบ Light Curtain Design ที่ดูโฉบเฉี่ยวและปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ มาพร้อมระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) และมีล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว
สะดวกมากยิ่งขึ้นด้วยกระจกมองข้างพับและปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และมาพร้อมระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง และสปอยเลอร์หลัง นอกจากนี้มีฝาปิดห้องเครื่องด้านหน้า และที่ปิดห้องเก็บสัมภาระท้าย และถึงแม้จะเป็นรถสไตล์วากอนและก็ยังได้รับชุดราวหลังคา (Roof Rail) ที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กิโลกรัม ทำให้คุณลุยได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางครั้งนี้ได้เดินทางด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และมาพร้อมกับแบตเตอรี่เทคโนโลยีใหม่ที่ให้สมรรถนะและรองรับระบบการชาร์จ 2 รูปแบบทั้งแบบ Quick Charge และ Normal Charge เร็วขึ้น ทำให้เราสามารถเดินทางสะดวกสบายได้ทั่วประเทศ ด้วยความพร้อมของสถานีอัดประจุไฟฟ้าของเอ็มจี MG SUPER CHARGE ที่ติดตั้งแล้วกว่า 158 แห่งทั่วประเทศ โดยชาร์จแบบเร็ว Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 0% – 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที และชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge ผ่าน MG HOME CHARGER 0% – 100% ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที และที่พิเศษคือสามารถรองรับระบบ V2L (Vehicle to Load) เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์
ในระหว่างการเดินทางเราได้ใช้ระบบ KERS Mode (Kinetic Energy Recovery System) ที่ชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative)โดยสามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าและประหยัดแบตเตอรี่มากๆ
ตลอดทั้งวันที่เราได้ขับคันนี้การใช้งานภายในตอบโจทย์เราเป็นอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือห้องโดยสารมีขนาดกว้างทำให้การเดินทางไกลไม่อึดอัดและที่สำคัญคือดีไซน์เรียบหรู และยังมาพร้อมดีไซน์ ENERGETIC BLUE STRIP และเทคโนโลยี Zero-G Seats เพื่อรองรับสรีระของผู้นั่ง กับความสามารถในกระจายน้ำหนัก ยิ่งทำให้นั่งสบายตลอดเส้นทาง และสำหรับสายขนของคันนี้ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเพราะมีพื้นที่บรรจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,367 ลิตร ถ้าพับเบาะก็สามารถใส่จักรยานไปด้วยได้เลย
บริเวณคอนโซลเป็นแบบ DOUBLE LAYER พร้อมพื้นที่ช่องเก็บของรอบคัน และที่วางแก้ว ซี่งเรานำแก้วขนาดใหญ่ติดตัวไปด้วยแต่ไม่มีปัญหาเรื่องการวางแก้วเลย สบายสุดๆ เพราะในรถไฟฟ้าบางคันที่วางแก้วและที่เก็บของน้อยทำให้เราไม่สามารถใช้สอยพื้นที่ได้เต็มที่
นอกจากนี้เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN กับผิวสัมผัสที่สบายและดูแลรักษาง่าย ไม่ว่าจะลูกเล็กเด็กแดงก็ไม้ต้องกังวลเรื่องความสะอาด และมาพร้อมเส้นสายการตกแต่งภายในโทนสีฟ้า ENERGETIC BLUE STRIP ที่ให้ความสปอร์ตและหรูหราซึ่งไม่ว่าจะวัยไหนขับก็เท่ได้ และดูสุขุมได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ซึ่งยิ่งทำให้ทุกการเดินทางไม่เหนื่อย นอกจากนี้เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงสามารถพับได้ 60:40
ในส่วนของระบบสาระบันเทิงมีหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 25 นิ้ว พร้อมลำโพง 6 จุด แต่หน้าจอแสดงผลทั่วๆไป จอกลางไม่ค่อยลื่น แต่การใช้งานถือว่าดี เวลาที่เราเสียบเข้ากับ Iphone เวลาที่เปิดใช้ google map ก็ขึ้นจอกลางให้เลย และยังรองรับสมาร์ทโฟนระบบ Android มาพร้อมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB TYPE-A และ TYPE- C และยิ่งด้วยอากาศที่ไม่ค่อยดีคันนี้จึงมีระบบปรับอากาศแบบดิจิตัล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 หน้าจอแสดงผลการขับขี่ 7 นิ้ว เป็นจอแสดงการทำงานไฟฟ้า และแสดงสถานะอื่นๆที่จำเป็น
การขับขี่ทำได้ดี เพราะอย่างที่เราบอกไปว่าขับนุ่ม แต่คนที่ไม่ชอบความนุ่มเกินไปก็อาจจะไม่ชอบ มันนุ่มนิ่มจนเกิดอาการโยนมาก โดยเฉพาะจังหวะเข้าโค้ง และสามารถทำอัตราเร่งดี เพราะใช้มอเตอร์ ไม่ต้องทดเกียร์ และเมื่อเราขับเร็วยิ่งรู้สึกว่ารถจะลอย แม้จะมีระบบความปลอดภัยพื้นฐานแต่มันก็น่าจะโยนตัวขนาดนั้น ซึ่งเราคิดว่าถ้าปรับช่วงล่างใหม่ก็น่าจะดีกว่า แต่ด้วยราคาที่ไม่ถึงล้านก็ทำให้มันเป็นอีกหนึ่งคันที่ต้องแอบมองมาบ้าง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถูกลดทอนระบบบลงอย่างจนน่าเสียดาย
เดินทางกลับด้วยความ Luxry
เราได้เดินทางกลับด้วย MG Maxus9 ซึ่งเป็นรถที่พร้อมในทุกการใช้งาน สมรรถนะและประสิทธิภาพ NEW MG MAXUS 9 เรียกได้ว่า สมฐานะของ e-MPV หนึ่งเดียวในไทย ด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน จัดวางแบบ Cell-To-Pack ขนาดความจุ 90 kWh ให้ระยะวิ่งสูงสุด ที่ 540 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC มีอัตราเร่งจากมอเตอร์ไฟฟ้าดี กดคันเร่งเบาๆ รถก็ออกตัวแบบทันใจ ซึ่งทำให้เวลาเราเปลี่ยนเลนในเมืองตัดสินใจได้ง่าย และที่สำคัญรถเงียบมาก
MG Maxus9 รถตู้หรูหราพร้อมใช้งาน
ก่อนที่จะออกเดืนทางเราอยากจะพาไปดูรอบคันว่า Luxury ขนาดไหน ซึ่งมีดีไซน์ที่โดดเด่น หรูหรา มีเอกลักษณ์ มิติตัวถัง 5,270 x 2,000 x 1,840 มิลลิเมตร (ยาว x กว้าง x สูง) ระยะความยาวฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุดจากพื้น 140 มิลลิเมตร
กระจังหน้าแบบ Grille Less Design ประตูข้างทั้ง 2 ฝั่งเป็นแบบสไลด์ด้วยไฟฟ้าเหมือนรถบางค่ายแต่มาในราคาที่ย่อมเยากว่า มาพร้อมฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าสร้างความสะดวกเพิ่มยิ่งขึ้น หน้าตามีความสวยเรียบง่าย และตัวรถดูไม่ใหญ่จนเกินไปที่สำคัญคือเข้าออกง่าย อีกทั้งความสูงจากพื้นไม่มากเกินไปทำให้ขึ้นลงง่าย คนแก่หรือเด็กก็ใช้งานได้ดีเลย
รถไฟฟ้าก็จะมีความสำคัญในเรื่องของการชาร์จซึ่งคันนี้รองรับการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120 kWh โดยชาร์จไฟจาก 30% – 80% ใช้เวลาเพียง 30 นาที และการชาร์จแบบธรรมดา รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kWh โดยชาร์จไฟจาก 5% – 100% ในเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้การเดินทางของเราใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมายโดยที่ไม่เสียเวลากับการชาร์จ
เราได้สัมผัสภายในที่หรูหราของคันนี้อย่างเต็มที่ เพราะการตกแต่งภายใน พรีเมี่ยม หรูหราดึงดูดเรามากตอนที่ขึ้นรถมา มีความโดดเด่นด้วยหลังคาแบบ Dual Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง โล่ง ไม่อึดอัด ถ้าได้ใช้งานจริงคนที่มีครอบครัวใหญ่ต้องถูกใจ อีกทั้งยังมี Ambient light ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้มากถึง 64 เฉดสี มาพร้อมระบบปรับอากาศเป็นแบบ Dual Zone ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งแอร์ทั่วถึงมาก คนที่นั่งข้างหลังไม่ต้องกลัวร้อนเลย สะท้อนการออกแบบที่คำนึงถึงทุกพื้นที่ภายในรถ
เบาะแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat ซึ่งพิเศษมากเพราะเป็นลักษณะเดียวกันที่นั่ง First Class บนเครื่องบิน โดยมีระบบบันทึก ระบบนวด และสามารถปรับระดับอุณหภูมิได้ตามความต้องการ พร้อมโต๊ะที่สามารถพับเก็บได้ จอกลางแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ใช้งานง่าย รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android ให้พลังเสียงแบบรอบด้านด้วยลำโพงมากถึง 12 จุด
เราสามารถทำงานบนรถ ชาร์จมือถือ ได้อย่างสะดวกเพราะมีช่อง USB มากถึง 9 ตำแหน่ง ทั่วถึงทุกตำแหน่งที่นั่งของรถ เจ้าคันนี้ลเยตอบโจทญกับครอบครัวใหญ่หรือคนเพื่อนเยอะเพราะมันจะพาคุณลุยได้ทุกสถานการณ์
และที่พิเศษสุดคือผู้นั่งแถวสองเบาะVIP บอกได้เลยว่าเป็นเบาะที่สบายที่สุดในการเดินทาง เพราะ MG ใส่ระบบความสะดวกสบายมาให้ครบครัน ระหว่างการเดินทางเราได้สลับกันขับ ซึ่งเราได้ทดลองใช้ VIP Captain Seat ด้วยการนั่งทำงาน เราจะเห็นว่าเบาะนั่งส่วนนี้ทำให้การเดินทางไม่ใช้เรื่องยากเลย เราทำงานได้อย่างสะดวกและในขณะเดียวกันก็ผ่นอคลายด้วยระบบนวด ซึ่งผู้สูงอายุน่าจะชอบสำหรับการนั่งรถคันนี้
แถวที่สามก็ไม่น้อยหน้าเพราะพื้นที่กว้าง นั่งสบาย ลองนั่งตอนที่รถกำลังขับก็ไม่ได้รู้สึกมึนหัวเพราะด้วยกระจกบานใหญ่ของรถและคามกว้างขวางที่ไม่ชวนอึดอัด ถ้าผู้ใหญ่นั่งก็นั่งได้ไม่ลำบาก แต่ถ้าเป็นเด็กก็นั่งได้ยาวๆ
ตลอดดารเกินทางกลับเราได้สัมผัสการขับขี่ของ MG Maxus9 ที่มีช่วงล่างแบบเน้นความนุ่มนวลแต่ด้วยความที่มันนุ่มนวลมากเลยทำให้ในความเร็วสูงรถอาจจะรู้สึกย้วยๆ ด้านท้ายเวลาที่เราเปลี่ยนเลน แต่ถ้าวิ่งเร็วในทางตรงตัวรถจะนิ่งมากซึ่งเราคิดว่าน่าจะเพราะน้ำหนักของรถที่เยอะ และกระจกของคันนี้บานใหญ่เห้นเต็มตาแต่อาจรู้สึกร้อนไปสักนิดเพราะแดดบ้านเรามันแรง ช่วงที่เราวิ่งถนนโล่งๆ รู้สึกได้เลยว่าคล่องตัว ขับขี่ได้ที่ถึงแม้รถจะคันใหญ่ สามารถวิ่งแซงได้แบบสบายๆ โดยลืมไปว่ารถคันนี้คันใหญ่ และที่สำคัญคือความเงียบ ด้วยความที่เป็นรถไฟฟ้าก็ยิ่งเงียบเพิ่มขึ้นไปอีก แม้ว่ารถจะดูใหญ่ต้านลมก็ตามแต่ก็ยังให้ความเงียบในเวลาขับขี่ความเร็วสูง ในถนนที่สภาพไม่ค่อยดี แต่ก็ยังมีความนิ่มชนะรถตู้รุ่นยอดนิยม MG Maxus9 เป็นรถที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน เรียกว่าเป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง