Ford Ranger Raptor เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่เมืองไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว กระบะสายลุยคันนี้เกิดมาพร้อมกับดีเอ็นเอออฟโรดที่เต็มเปี่ยมจากการปลุกปั้นของสำนัก Ford Performance ด้วยการจับ Ranger ปกติมาขยายร่าง เติมแต่งความดุดันให้กับรูปลักษณ์ภายนอก เสริมเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร พร้อมกับใส่ของแต่งและอัพเกรดอุปกรณ์ให้รองรับกับการขับขี่ออฟโรดได้โดยไม่ต้องปราณี เรียกว่า หล่อ จบ พร้อมลุยตั้งแต่ออกจากโรงงาน นี่จึงเป็นที่มาของราคา 1.699 ล้านบาท
แม้จะเปิดตัวมาครบปีแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ WHATCAR? Thailand ได้ขับ Ranger Raptor ซึ่งการทดสอบรอบนี้ ฟอร์ด ประเทศไทย พาเรามุ่งหน้าลงใต้ไปยังเกาะคอเขา จังหวัดพังงา เราจะได้ขับขี่ในสภาพภูมิประเทศจริงทั้งออนโรดและออฟโรด ทดสอบระบบ Terrain Management System ที่มี 6 โหมดขับขี่กันอย่างเต็มที่ รับรองว่าสนุก มันส์ และเร้าใจอย่างแน่นอน
Ranger Raptor เป็นกระบะสมรรถนะสูงตั้งแต่เกิด ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมแพดเดิลชิฟท์ ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาพร้อมแชสซีใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพื่อรองรับแรงกระแทกเมื่อขับขี่ออฟโรดความเร็วสูง
ระบบกันสะเทือนของ Ranger Raptor ถูกอัพเกรดให้รองรับงานลุยได้อย่างเต็มที่ มาพร้อมโช้คอัพ Fox Racing Shox ลูกสูบขนาด 46.6 มม. ที่ผลิตมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ เสริมความแข็งแกร่งด้วยปีกนกอะลูมิเนียม รวมถึงระบบวัตต์ลิงก์แบบใหม่ เติมเต็มความหล่อด้วยล้ออัลลอยสีดำขนาด 17 นิ้ว หุ้มด้วยยาง BFGoodrich All-Terrain 33 นิ้ว แข็งแรงกว่ายางทั่วไปถึง 20%
ขับทางเรียบไม่ขี้เหร่
การทดสอบทริปนี้เริ่มต้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาสก แล้วเดินทางขึ้นจุดชมวิวภูตาจอ เส้นทางในช่วงแรกเป็นถนนลาดยาง สามารถทำความเร็วได้เป็นระยะๆ เครื่องยนต์ 213 แรงม้ากับถนนดำทั่วไปไม่มีอะไรให้ต้องติติง แรงบิดมาเต็มตั้งแต่รอบต่ำ ด้วยขนาดตัวรถที่ใหญ่และน้ำหนักที่มากเอาการอยู่ ความรู้สึกจึงไม่ปรู๊ดปร๊าด อัตราเร่งจะมาแบบนุ่มๆ ไหลๆ มากกว่า
เกียร์ 10 สปีดทำงานได้อย่างราบรื่นนุ่มนวลไม่มีสะดุดหรือกระตุกให้เห็น เผลอแป๊ปๆ เหยียบถึง 100 กม./ชม. โดยไม่รู้ตัว ข้อดีของการมีเกียร์อัตราทดเยอะๆ คือความต่อเนื่องนุ่มนวลและความประหยัดเพราะเครื่องยนต์ใช้รอบต่ำอยู่ตลอด ถ้าอยากจะควบคุมเกียร์เองให้โยกมาที่ M แล้วใช้แพดเดิลชิฟท์ในการเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง การคิ๊กดาวน์ทำได้นุ่มนวลพร้อมกับแรงดึงที่เพียงพอสำหรับเร่งแซง
แม้จะเป็นรถยกสูงแต่ด้วยช่วงล่างระดับเทพทำให้การขับความเร็วสูงไม่รู้สึกโคลงเคลงแต่อย่างใด รถมีความหนึบแน่น เกาะถนนดี การรองรับแรงสะเทือนจากถนนอยู่ในระดับเดียวกับรถกระบะทั่วไป ขณะที่การเข้าโค้งก็ยังควบคุมได้ง่าย อาการโยนมีบ้างตามสไตล์รถกระบะยกสูง พวงมาลัยปรับเซ็ตน้ำหนักมาดีและจะคอยปรับให้เหมาะสมตามความเร็วที่ใช้ ความไวและความแม่นยำถือว่าใช้ได้
เหมือนวิศวะกรของฟอร์ดจะรู้ดีว่า Ranger Raptor ทั้งใหญ่และหนัก บางที่อาจจะขับไม่สนุกแม้จะมีแรงม้าเกิน 200 ตัวก็ตาม พวกเขาจึงได้ใส่โหมด Sport มาให้ด้วย ในโหมดนี้คันเร่งและพวงมาลัยจะตอบสนองไวขึ้น กระชับขึ้น เกียร์จะลากรอบมากขึ้น ให้ความรู้สึกสปอร์ตได้กลายๆ เมื่อกดคันเร่งหนักตอนนออกตัวเกียร์จะกระโดดข้ามตำแหน่ง 1-3-5-7 เพื่ออัตาเร่งที่รวดเร็วและต่อเนื่อง นับเป็นความฉลาดที่ต้องชื่นชม
จุดเด่นอีกอย่างของ Ranger Raptor คือความสบายในขณะขับขี่ ด้วยนิสัยของรถที่สุขุมนุ่มนวลทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง เรื่องทัศนวิสัยหรือตำแหน่งท่านั่งไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เบาะและพวงมาลัยปรับได้หลากหลายตำแหน่งจนกว่าผู้ขับจะพอใจ พื้นที่ภายในที่กว้างขวางทำให้รู้สึกโปร่งสบาย เมื่อได้ขับแล้วบางทีก็แอบนึกถึง Everest อยู่บ้างเหมือนกัน ในส่วนของเสียงรบกวนถือว่าจัดการได้ดี ที่ความเร็วเดินทางมีเสียงลมและเสียงยางไม่น่ารำคาญจนเกินไป
Terrain Management System
ฟอร์ดตั้งใจให้ Ranger Raptor เป็นที่สุดแห่งกระบะออฟโรด การจะพิสูจน์ว่ามันคือตัวจริงต้องจะต้องผ่านบททดสอบสุดระห่ำพวกนี้ไปให้ได้ แต่ก่อนอื่นมาทำความรู้จักระบบ Terrain Management System กันสักหน่อย ระบบที่ชื่อย่อว่า TMS เป็นระบบที่คอยควบคุมการขับขี่ในสภาพพื้นผิวที่แตกต่างกัน ประกอบด้วยโหมดการขับขี่ทั้งหมด 6 รูปแบบซึ่งครอบคลุมพื้นผิวทุกประเภทเท่าที่เราจะนึกออก ประกอบด้วย
Normal Mode โหมดขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ให้ความสมดุลในการขับขี่ นุ่มนวล สบาย และประหยัดน้ำมัน โหมดนี้พวงมาลัยจะอยู่ที่ Normal สามารถขับเคลื่อนได้ทั้ง 2H 4H และ 4L เป็นโหมดเริ่มต้นตั้งแค่ตอนสตาร์ทเครื่อง
Sport Mode เพิ่มความสนุกขึ้นมาหน่อยดังที่กล่าวไปแล้ว เหมาะสำหรับใช้ความเร็วบนทางเรียบ ให้การตอบสนองและการบังคับควบคุมแบบสปอร์ต โหมดนี้จะขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเท่านั้น
Snow/Gravel/Grass Mode โหมดหญ้า/กรวด/หิมะ เหมาะสำหรับขับบนพื้นผิวลื่น ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะทำงานไวขึ้น เกียร์จะเปลี่ยนอย่างนุ่มนวลที่รอบเครื่องต่ำลง คันเร่งตอบสนองช้าลง พวงมาลัยอยู่ในโหมด Normal ขับเคลื่อนแบบ 4H เท่านั้น
Mud/Sand Mode โหมดโคลน/ทราย เหมาะสำหรับเส้นทางที่พื้นผิวหน่วงล้อหรือขับข้ามสิ่งกีดขวาง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีมีความไวน้อยลงและถูกปรับให้รักษาโมเมนตัมขณะขับ เกียร์เปลี่ยนที่รอบสูงขึ้นที่เพิ่มแรงบิด พวงมาลัยอยู่ในโหมด Comfort ใช้การขับเคลื่อนได้ทั้งแบบ 4H และ 4L
Rock Mode โหมดหิน เหมาะกับการปีนป่ายอุปสรรคที่ความเร็วต่ำ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวจะถูกปิด เกียร์จะอยู่ตำแหน่งเกียร์ 1 เท่านั้น พวงมาลัยอยู่ในโหมด Comfort ขับเคลื่อนแบบ 4L เท่านั้น
Baja Mode ที่สุดแห่งความมันส์อย่างแท้จริง เหมาะสำหรับขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกลดการทำงานลง เกียร์จะเปลี่ยนที่รอบสูงกว่าปกติ พวงมาลัยอยู่ในโหมด Comfort ขับได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L โหมดนี้จะมอบประสิทธิภาพสูงสุดที่รถทำได้ด้วยการลดการทำงานของระบบช่วยเหลือต่างๆ ให้เราสนุกไปกับการควบคุมอย่างเต็มที่
Raptor = Off-road
ทริปทดสอบรอบนี้ฟอร์ดจัดเต็มกับเส้นทางออฟโรดสุดโหดแบบไม่ให้เสียชื่อกระบะสายลุย เริ่มต้นที่ภูตาจอ ยอดเขาที่สูงที่สุดของพังงา เส้นทางขึ้นเขาเป็นทางลูกรังที่มีทั้งหินกรวดและดินปนทราย บวกกับมีความลื่น คดเคี้ยว และลาดชัน เมื่อเจอสภาพพื้นผิวแบบนี้เราปรับมาขับ 4H และใช้โหมด Grass/Gravel ซึ่งเจ้า Ranger Raptor ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง มันทำให้การขับบนเส้นทางแบบนี้เป็นเรื่องกล้วยๆ ไปเลย ขาลงเขาก็ใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันเข้าช่วย ทำให้การขับขี่เป็นอย่างอย่างสะดวกสบาย
หลังจากลงเขา เราก็ข้ามเกาะมาต่อกันที่หาดทรายของเกาะคอเขาเลียบชายทะเลอันดามัน แน่นอนว่าเมื่อเป็นทรายก็ต้องจัดโหมด Mud/Sand คราวนี้เราได้ลองใช้ความเร็วดูบ้างจึงเลือกเป็น 4H การขับขี่บนชายหาดที่มีความลื่นพอประมาณเป็นไปอย่างมั่นคง สามารถใช้ความเร็วได้โดยไมต้องกลัวว่ารถจะเสียการควบคุม เมื่อเจอหล่มทรายก็ปรับมาเป็น 4L ให้รถได้ตะกุยผ่านขึ้นไป บางจังหวะล้ออาจฟรีบ้างแต่ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีก็ไม่ได้เข้ามาขัดขวางการทำงานมากนัก โดยรวมเจ้า Raptor สามารถลุยฝ่าอุปสรรคพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
วันต่อมาเป็นการทดสอบแบบเข้าฐานต่างๆ เพื่อทดสอบระบบ TMS ทั้ง 6 โหมด เราได้ลอง Rock Mode ในการตะลุยปีนป่ายผ่านอุปสรรคทั้งร่องน้ำและเนินหิน โหมดนี้จะขับเคลื่อนแบบ 4L จึงต้องใช้ความเร็วต่ำในการปีนป่าย กำลังของเครื่องยนต์มีมากเพียงพอสำหรับส่งให้รถปีนข้ามอุปสรรคยากๆ โดยไม่ต้องใช้รอบเครื่องสูง ประกอบกับพวงมาลัยที่นุ่มนวลทำให้การหักเลี้ยวหามุมที่เหมาะสมในการปีนป่ายเป็นเรื่องง่าย โหมดขับขี่ของ Ranger Raptor ช่วยได้มากจริงๆ
ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การทดสอบโหมด Baja เราเลือก 4H แล้วพุ่งทะยานออกไปอย่างมั่นคง โหมดนี้ขับสนุกมาก พละกำลังของเครื่องยนต์มีมากล้นแบบไม่ต้องกลัวว่าจะหมด เกียร์ลากรอบสูงขึ้นเพิ่มความสนุกเร้าใจ จุดที่น่าประทับใจคือช่วงล่างที่รักษาสมดุลของรถได้ดีพร้อมกับดูดซับแรงกระแทกไม่ให้ส่งผลต่อการขับขี่มากนัก การเคลื่อนผ่านแอ่งหรือร่องตื้นๆ ด้วยความเร็วจึงเหมือกันว่ารถลอยผ่านมันมาดื้อๆ พวงมาลัยที่กระชับและแม่นยำทำให้เราสามารถควบคุมทิศทางรถได้อย่างเชื่องมือ
ทีเด็ดอยู่ที่เนินกระโดด จุดนี้ผู้ควบคุมการขับหรืออินสตรักเตอร์บอกให้ใช้ความเร็วที่ 100 ชม./ชม. เมื่อล้อหน้าแตะพื้นเนินให้ยกคันเร่งแล้ว Raptor ก็โบยบินอย่างมั่นใจ ช่วงยุบที่รองรับได้มากกว่าปกติทำให้จังหวะลงพื้นเป็นไปอย่างนุ่มนวลและไม่กระเด้งกระดอนจนน่าวาดเสียว นี่คือความยอดเยี่ยมของโช๊คอัพ Fox ที่ควรต้องปรบมือให้ดังๆ
โหมด Baja ให้อารมณ์เหมือนกับกำลังขับรถแข่งแรลลี่ เราสามารถใช้ความเร็วบนทางดินได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวช่วงล่างจะพัง สามารถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ รวมถึงขับผ่านหลุมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเบรก มันทั้งสนุกเร้าใจและตื่นเต้นไปพร้อมกัน ความรู้สึกแบบนี้ไม่น่าจะมีกระบะรุ่นไหนในเมืองไทยทำได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตามการขับออฟโรดความสูงจำเป็นต้องมีทักษะการควบคุมที่ดีมากๆ เพราะระบบป้องกันล้อหมุนฟรีถูกลดการทำงานลง มันจึงมีโอกาสรถจะท้ายปัดได้ทุกเมื่อ หากจะลองเพื่อความสนุกก็อย่าใช้ความเร็วเกินที่คุมไหว
วันสุดท้ายเราเดินทางออกจากเกาะคอเขามุ่งหน้าสู่กะปง สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแกรนด์แคนยอนเมืองไทย สภาพเส้นทางยังคงเป็นทางลูกรังเต็มไปด้วยกรวดทราย เราจึงเลือกขับโหมด Gravel/Grass รถปรับมาเป็น 4H โดยอัตโนมัติ Ranger Raptor ขับขี่ได้อย่างสุขุมบวกกับการควบคุมที่นุ่มนวลและไว้ใจได้ ระบบกันสะเทือนยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนเดิม
ปิดท้ายทริปทดสอบด้วยการขับรถมุ่งหน้าสู่จังหวัดภูเก็ต เราได้ลองยืดเส้นยืดสายโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. Ranger Raptor ยังคงเป็นม้างานที่ไว้ใจได้ เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ 213 แรงม้าตอบสนองต่อการขับขี่ทางไกลได้ดี ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสนามบินภูเก็ต แล้วจึงขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพ
สรุปความน่าใช้
1.699 ล้านกับกระบะ 1 คัน หลายคนบอกว่าแพง แน่นอน มันแพงมากหากคุณไม่ใช่สายออฟโรดและไม่ได้ใช้งานอย่างสมบุกสมบัน อยากเท่อยากหล่อแบบนี้ก็แค่เอา Ranger ธรรมดาไปแต่งก็ได้ ทั้งนี้ เราอยากจะบอกว่า Ranger Raptor เป็นกระบะที่แพงแต่ไม่ได้แพงเปล่า เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับเมื่อควักเงินดาวน์คือประสิทธิภาพที่เหนือกว่ากระบะทุกรุ่นที่มีขายในไทย ทางเรียบก็ขับดี ทางฝุ่นไม่ต้องพูดถึงเพราะมันคือสายพันธุ์ออฟโรดมาตั้งแต่เกิด เอาแค่ชุดกันสะเทือนก็ราคาหลักแสนแล้ว บวกกับเทคโนโลยีและการออกแบบที่จัดเต็ม รวมถึงระบบ TMS 6 โหมดการขับขี่ที่รองรับกับทุกพื้นผิวเท่าที่จะนึกออก จะหากระบะที่เหนือกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เราคิดว่าหากคุณได้เป็นเจ้าของกระบะสายลุยคันนี้ล่ะก็ คุณได้ออกทริปทุกเดือนแน่ๆ เพราะมันสามารถพาคุณไปได้ทุกที่ สามารถฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่างได้โดยที่ไม่ต้องมีทักษะความชำนาญด้านออฟโรดมากนัก อีกทั้งความสะดวกสบายก็ยังอยู่ครบเหมือนเดิม สำหรับเราแล้ว 1.699 ล้านบาท กับสิ่งที่ได้สัมผัสตลอด 3 วัน 2 คืน เป็นอะไรที่ “โคตรคุ้ม” ใครที่ยังลังเลแนะนำว่าควรไปลอง ยิ่งได้ลองทางออฟโรดยิ่งดี แล้วคุณจะเปลี่ยนความคิดทันทีว่า 1.699 ล้านบาทกับกระบะสายลุยคันนี้ไม่แพงเลย
ขอขอบคุณ ฟอร์ด ประเทศไทย สำหรับทริปทดสอบสุดเจ๋งในครั้งนี้
ดูรายละเอียด Ford Ranger Raptor: http://bit.ly/2QbpvNS
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.ford.co.th หรือ www.facebook.com/FordThailnd
Gallery