เปิดตัวตำนานออฟโรด 4×4 ที่ดีที่สุดเท่าที่ Land Rover เคยมีมา ขุมพลังแห่งการลุยหรือการวิ่งออนโรด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 237แรงม้า สู่ความเร็วสูงสุดที่ 190 กม./ชม มีการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น
หากคุณเคยเห็นภาพยนตร์เรื่อง Fight club คุณอาจจำฉากที่ตัวเอกรับบทโดย Edward Norton และนักเตะด้านข้างของเขา (Brad Pitt) ที่ดูมีความสุขอย่างมากในการทุบ Volkswagen Beetle ตัวใหม่ปี 1998 “แค่เพียงพริบตาเดียวคุณจะพลาดช่วงเวลาดังกล่าว แต่มันสำคัญมาก” Norton อธิบายในภายหลังว่า “เราทุบมันเพราะเป็นรถตัวอย่างที่ดึงความคลาสสิกการตลาดในยุคเบบี้บูมเมอร์กลับมา”
ถือเป็นการเปรียบเทียบที่ชาญฉลาด แต่ในระดับพื้นฐานมันแสดงให้เห็นว่าการสร้างไอคอนยานยนต์ขึ้นมาใหม่นั้นยุ่งยากเพียงใด ผู้ผลิตต้องวางแผนและจัดการอย่างดีในเรื่องการทำให้แบรนด์ยังคงดังเดิม Land Rover คิดมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ : ท้ายที่สุดคุณจะปรับปรุงรถให้เป็นที่รักของทีมกู้ภัยบนภูเขาได้อย่างไร ในขณะที่มันเป็นรถฮิปสเตอร์ในเมืองจากข้อมูลของ Land Rover แทบไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งมันใช้งานได้จริงมากความสามารถและถูกพัฒนาจากทางวิศวกรให้ตรงตามมาตรฐานที่ปลอดภัย
Defender ใหม่ มีความใกล้เคียงกับ Land Rover Discovery ในปัจจุบัน ดังนั้นจะมีแชสซีมาพร้อมช่วงล่างแบบอิสระ ระบบกันสะเทือนได้ถูกพัฒนา (รุ่น110 ที่ตัวถังยาวกว่านั้นมาพร้อมช่วงล่างถุงลมที่สามารถปรับได้มาเป็นมาตรฐาน ในขณะที่รุ่น 90 3 ประตู จะได้รับคอยล์สปริง ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมเป็นตัวเลือกแทน) ดังนั้น Defender ใหม่ จึงมีการปรับเปลี่ยนระบบกันสะเทือนและยกระดับท้องรถให้มีระยะห่างจากพื้นดินมากกว่ารุ่นอื่น ในส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น แบตเตอรี่ไฟฟ้า, ล้ออะไหล่ ได้รับการจัดวางให้เป็นระเบียบพร้อมสำหรับการออกเดินทางได้ดีมากขึ้น
Land Rover ไม่เพียงต้องการผลิตรถที่มีความสามารถมากกว่าคู่แข่งเท่านั้น แต่ต้องการทำให้การขับขี่นั้นง่ายขึ้นด้วย Discovery Defender มีระบบตอบสนองที่ทันต่อภูมิประเทศช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับรถให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่แตกต่างกัน เซ็นเซอร์วัดความลึกในการลุยที่เสมือนจริงจะเตือนเมื่อคุณเข้าใกล้จุดสูงสุด 900 มม. และระบบที่เรียกว่า ClearSight Ground View แสดงพื้นที่ใต้ฝากระโปรงบนหน้าจอที่ติดตั้งมา
ขุมพลังความแรงของเครื่องยนต์มีมาให้เลือกทั้ง เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2,0 ลิตร ความแรงที่ 197 แรงม้า หรือ 237 แรงม้า เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 เช่นกัน ด้วยความแรงที่ 300 แรงม้า และเครื่องยนต์ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ความแรงที่ 400 แรงม้า ทุกขนาดเครื่องยนต์นั้นถูกจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ส่วน Plug-in Hybrid จะพร้อมใช้งานในปลายปี 2020
อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งตื่นเต้นเกี่ยวกับตัวเลขการกำหนดค่าของ Land Roverที่จำนวนตัวเลือกมีการปรับเปลี่ยนใน Defender ใหม่นั้น คุณสามารถกำหนดรถเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ มีชุดการออกแบบ 4 ชุด แถมยังมีเครื่องกว้านไฟฟ้าและล้อเหล็กพ่นสีได้ หากคุณต้องการบอกคนอื่นว่าคุณเป็นคนชอบผจญภัย
หลังจากที่เราได้ลอง Land Rover รุ่นยอดนิยม D240 พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 237 แรงม้า เหมาะกับลักษณะของรถเป็นอย่างดี เจ้ารถคันนี้ไม่ได้มีความแรงเป็นพิเศษเพราะมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาถึง 9.2 วินาที ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่มีรอบต่ำแต่มีการออกตัวอย่างน่าประทับใจ เกียร์ 8 จังหวะไม่เป็นที่น่าพอใจนักในการสับเกียร์ลงเพราะต้องใช้แรงดึงถึง 430 นิวตันเมตรของเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตามคุณสามารถเลือกใช้เกียร์ได้ด้วยตัวคุณเองในโหมดแมนนวล
ดังนั้นจึงทำให้คุณรู้สึกสนุกที่ขับไปตามถนนโล่งๆ ในชนบท ในส่วนของการเลี้ยวให้ความรู้สึกเบาและแม่นยำทำให้ง่ายต่อการควบคุมรถไปในทิศทางที่คุณต้องการมั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น แต่เมื่อเทียบกับรถ SUV ที่พบเห็นได้ตามท้องถนนอย่าง Audi Q7 และ BMW X5 เจ้า Defender ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้ อย่างไรก็ตามหากเทียบกับรถประเภทออฟโรด เช่น Jeep Wrangler และ Toyota Land Cruiser ยังมีความสูสีในด้านการเลี้ยว แต่ Defender ยังไม่ได้จัดอยู่ในประเภทดังกล่าว
ในส่วนของระบบกันสะเทือนแบบถุงลมของ Defender ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมบนถนนในเมืองโดยตัวถังสั่นน้อยกว่า Discovery อีกทั้งยังจัดการเสียงรบกวนจากภายนอกได้เป็นอย่างดี และเมื่อมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวรถ Land Rover สามารถจัดการแก้ปัญหาได้อย่างน่าประทับใจก่อนจะส่งมอบรถให้กับลูกค้า เมื่อรถเปิดการตั้งค่ากันสะเทือนแบบออฟโรดด้วยระบบเซนเซอร์สำหรับการตรวจจับสภาพท้องถนน รถจะสามารถขับเคลื่อนได้ดีเมื่อเจอกับหลุมที่มีความลึก ต่อให้ Defender ไม่ได้มีโครงสร้างที่คล้ายกับ Wrangler (มีแชสซีแยก) แต่มันมีระบบกันสะเทือนเพิ่มขึ้นอีก 70 มม. เมื่อรถของคุณกำลังถูกพื้นหรือหินขูด โดยมีค่าเริ่มต้นไต่ความสูงอยู่ 75 มม. หากเป็น Wrangler คุณต้องหาปุ่มเพื่อล็อคเฟืองท้ายด้วยตนเอง ในขณะที่ระบบของ Defender จัดการให้คุณหมดแล้วและมีกล้อง 360deg ที่ทำให้การเดินทางบนถนนที่แคบเป็นเรื่องง่ายได้
แท้จริงแล้ว Land Rover ใช้เวลาอย่างมากในการพัฒนา Defender ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่ไม่ได้มอบเพียงการผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังมีการตกแต่งภายในที่น่าสนใจอีกเช่นกัน Defender ออกแบบมาให้มองเห็นถนนได้อย่างเฉียบขาดเนื่องจากตำแหน่งการขับขี่ที่ตั้งไว้สูงและรูปทรงแบบเหลี่ยมของรถทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ
พื้นที่สำหรับส่วนศีรษะและที่พักขามีขนาดกว้าง ผู้โดยสารสามารถปรับที่นั่งให้มีความพอดีได้ด้วยตนเอง เพื่อการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย เบาะหน้าสามารถปรับได้ถึง 12 ทิศทิศทาง ตกแต่งด้วยผ้า Ebony Grained และผ้าทอ Tobust Woven Textile ตกแต่งด้วยสี Ebony โดยการทดสอบของเราอยากจะนำเสนอคอนโซลกลางแบบ standard fit สำหรับวางแก้วสองอัน ช่องสำหรับวางโทรศัพท์และกุญแจ ช่องเก็บของที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตามสามารถเปลี่ยนบริเวณคอนโซลกลางเป็นเบาะนั่งเสริมแบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้าของรถคันนี้ แต่คุณต้องจ่ายเพิ่มด้วยราคา 40,000 บาทขึ้นไป
ในตอนนี้คุณยังมีตัวแปร ‘ห้าบวกสอง’ (ที่นั่งแถวสาม 2 แถวที่สามารถกางออกจากส่วนพื้นที่รองเท้า) แต่ก็ควรทราบอีกว่าเบาะนั่งเสริมพิเศษนั้นค่อนข้างแคบ ในทางกลับกันแถวที่สองมีพื้นที่กว้างกว่าและเป็นเรื่องน่าเสียดายเมื่อพับเบาะหลังแล้วมันไม่ได้แบนราบไปซะทีเดียว แม้ว่าแฟนๆ ของ Defender รุ่นเก่าจะชอบในส่วนนี้ก็ตาม ประตูส่วนท้ายของรถที่ตอนนี้ถูกปรับให้เปิดไปด้านข้างแทนที่จะเปิดขึ้นด้านบน จึงทำให้การเข้าถึงพื้นที่ส่วนเก็บสัมภาระค่อนข้างยุ่งยากกว่าปกติเล็กน้อย แต่นั่นยังไม่ใช่อุปสรรค
วัสดุภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกค่อนข้างดี หรูหรามากขึ้น แม้เป็นเพียงรถทดสอบ S-Trim ที่สเปคต่ำกว่าของเรา ประตูและแดชบอร์ดเป็นโลหะพื้นผิวส่วนใหญ่ที่คุณสัมผัสถูกหุ้มด้วยวัสดุยางให้ความรู้สึกทนทาน มีจุดชาร์จ USB,USB C และสำหรับปลั๊ก 12 โวล์ต จำนวนมากภายในรถ ส่วนของพวงมาลัยและหัวเกียร์ถูกหุ้มตกแต่งด้วยวัสดุหนัง
Defender ได้รับการพัฒนาระบบอินโฟเทนเมนต์ ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของ Land Rover ที่ไม่ได้เฉื่อยชาจนคุณรู้สึกรอนานเหมือนติดไฟแดงแล้วไม่อยากใช้มันไปในที่สุด แต่ตอนนี้มันรวดเร็วมากขึ้นอย่างชัดเจน ตอบสนองได้ดีมาพร้อมกับระบบรองรับ Apple CarPlay และสมาร์ทโฟน Android Auto ที่ถูกติดตั้งมาเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว
ในด้านระบบความปลอดภัยที่ Defender จะมอบให้ เมื่อรถของคุณเกิดออกนอกเลนโดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจแต่ก็หมดห่วงด้วยระบบรักษารถให้อยู่ในเลน หรือหากคุณเข้าใกล้ความอันตราย เบรกไม่ทัน เขาจึงมีระบบเบรกฉุกเฉินที่เฉียบคมเพื่อช่วยให้คุณสบายใจขึ้นไปอีกเปราะ ระบบช่วยระบุป้ายจราจร จำกัดความเร็วโดยอัตโนมัติ ช่วยผู้ขับขี่ที่อาจจะมองไม่ทันป้ายบางอย่างบนถนน เช่น ป้ายนี้ที่กำหนดความเร็วในช่วงนั้น หรือป้ายบอกทางที่ขนาดเล็กจนอาจจะมองข้ามได้
ส่วนสำคัญของรถประเภทออฟโรดสายลุยอย่าง Defender นี้ คงพลาดไม่ได้กับระบบ Wade เซนเซอร์ ตรวจจับระดับความลึกของน้ำ ในส่วนนี้ถือว่าทำได้ดี ส่วนที่ทันสมัยมากขึ้นของรถคือ ระบบช่วยจอด 360 องศา ที่ปกติรถบางรุ่นบางคัน อาจจะมีเพียงแค่กล้องมองหลังและกล้องรอบคันแบบ 3D ทำให้คุณมอง คาดการณ์สถานการณ์ในขณะนั้นได้อย่างแม่นยำ ถือได้ว่าระบบต่างๆของออฟโรดสายลุยตัวนี้ เฉียบขาด ทันสมัยด้านเทคโนโลยีขึ้นจริงๆ
แทบไม่ต้องคิดเลยหากจะต้องเสียเงินซื้อเพราะว่า Defender ตัวนี้ เป็นหนึ่งในรถออฟโรดที่มีออปชั่นหลากหลาย ความสามารถมากที่สุดจากยอดการขายปัจจุบันพร้อมราคาที่ใกล้เคียงกับรุ่นระดับกลางอย่าง 110 D240 โมเดล SE Trim ที่มีตัวเลือกบางอย่างจะทำให้คุณอยากกลับมาซื้อในราคา 3,000,000 บาท ที่มากกว่าตัวรุ่นท็อปสเปกอย่าง Wrangler ประมาณ 500,000 บาท แม้ว่ายังจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนักแต่ก็มีราคาใกล้เคียงกับ Land Rover และคุณยังสามารถซื้อ Audi Q7 7 ที่นั่ง SUV หรูได้ในราคาที่เหมาะสมกว่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเรากำลังเก็บข้อมูลจากความสงสัยว่าผู้ซื้อ Defender ส่วนใหญ่ชอบรถ SUV 5 ที่นั่งที่มีความทนทานและประสิทธิภาพสูง ซึ่ง Defender ล่าสุดนี้อาจเป็นไอคอนใหม่ของคุณสมบัติที่กล่าวมาได้เลย