Overview Of Car
Toyota C-HR HEV GR Sport GR Sport 2022 สวยเกินต้าน และให้การขับขี่ที่เร้าใจอย่างไร้ขีดจำกัด เฉี่ยว คม ดุดัน ไม่ใช่แค่ดีไซน์ แต่คือสไตล์การขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีสปอร์ตจากสนามแข่งให้สัมผัสที่แตกต่าง สะท้อนตัวตนของคนที่หลงไหลในสมรรถนะการขับขี่แบบสปอร์ต ปรับปรุงการออกแบบทั้งภายนอก และภายในภายใต้แนวคิด GR Sport
Toyota C-HR HEV GR Sport 2022 ใหม่ มีการตกแต่งภายนอกเพิ่มความเป็นเรซซิ่ง และภายในที่พรีเมียมแต่ยังดูเรซซิ่งเช่นกัน สิ่งที่ได้มาอย่างจัดเต็มเลยคือชุดแต่ง GR Sport อีกทั้งยังมีช่วงล่างที่ปรับแต่งใหม่ ได้แก่คอยล์สปริงและโช๊คช็อคแอบซอร์บเบอร์
ถ้าคุณจะต้องการเลือกรถสักคนเพื่อต้องการนำมาตัดสินใจเปรียบเทียบกับรุ่น GR ก็ต้องเปรียบกับโคโรล่าครอส GR Sport เพราะทั้ง 2 รุ่นนี้ ขายความเป็น GR Sport และ Hybrid เหมือนกัน แต่ราคาจะต่างกันประมาณ 60,000 บาท ซึ่งเราก็สามารถตัดสินใจได้ตามการใช้งานที่เหมาะสมได้เลย โดยในวันนี้ทีม What Car? Thailand ก็จะพาคุณไปสัมผัสรุ่น C-HR HEV GR Sport กัน
เราจะมาเริ่มต้นกันที่เครื่องยนต์กันก่อนเลย ซึ่ง C-HR HEV GR Sport ใหม่ เป็นเครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 1.8 ลิตร ในรุ่นนี้ให้กำลัง 98 แรงม้า ทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า 53 kW เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับไฟฟ้าจะได้กำลัง 122 แรงม้า และแรงบิดรวมกัน 163 นิวตันเมตร ส่วนแบตเตอรี่ใช้แบบ Nickel metal Hydride มีจุดแข็งนเรื่องของความคงทน แต่แรงอัดของแบตเตอรี่น้อยไปนิดนึงทำให้ แต่ก็เพียงสำหรับการใช้งานในเมืองหรือนอกเมืองในบางเวลา
ระบบช่วงล่างด้านหน้าจะเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตัท ส่วนด้านท้ายอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone) ซึ่งทั้งด้านหน้าและหลังมาพร้อมเหล็กกันโคลง
มาตามดูกันในส่วนของด้านหน้า กระจังหน้าจะกลมกลืนกันไปทั้งหมดและเป็นสีดำเงา ลักษณะของกระจังหน้ายังคงถูกสร้างขึ้นบน Platform Toyota New Global Architecture (TNGA) เหมือนกับ Toyota C-HR ในรุ่นปกติ แต่พอมีสเกิร์ตและคิ้วด้านหน้าด้านหน้ามันดูเข้ากันสมกับเป็นรถเรซซิ่ง ในส่วนของสเกิร์ตดูโฉบเฉี่ยวมีความเป็นเรซซิ่งมากกว่ารุ่นปกติ อีกทั้งไฟตัดหมอกมาใหม่เป็นแบบ LED และมีสัญลักษณ์ GR ที่บ่งบอกความเป็น GR Sport ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมาพร้อมเซ็นเซอร์ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง อยู่บริเวณด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
โลโก้ของโตโยโต้ามาในรูปแบบกระจกตามความต้องการของตลาด ถัดมาที่ไฟหน้า กรอบของไฟฟ้าเป็นกรอบแบบเดิม ส่วนไฟข้างในเป็นไฟโปรเจคเตอร์ Full LED ไฟเลี้ยว LED และไฟ Day time running แบบ LED เต็มระบบ ซึ่งตัวนี้จะเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางวัน และไฟหน้าสามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ พร้อมปรับสูง-ต่ำแบบอัตโนมัติอีกด้วย
ล้อแม็กในรุ่นนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่น Premium Safety ที่มีขนาด 17 นิ้ว ซึ่งในรุ่น GR Sport มีขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมลวดลายเฉพาะของ GR Sport เป็นสีทูโทนรมดำเงา ยางเป็นเกรดพรีเมียมที่มีขนาด 225/50 R18 ซึ่งเมื่อดูแล้วให้ความรู้สึกเต็มซุ้มล้อมีความเป็นเรซซิ่ง
ด้านข้างก็ยังคงเหมือนรุ่น C-HR รุ่นปกติ ในรุ่นนี้นอกจากสเกิร์ตหน้าและหลังแล้วก็ยังมีด้านข้างทั้งซ้ายและขวา ซึ่งสเกิร์ตทำให้รถดูเตี้ยลงแต่ไม่ได้เตี้ยลงจริงๆ ถือว่าเป็นการหลอกตาที่แนบเนียนมาก สเกิร์ตเป็นสีดำเงาสลับกับดำด้านสามารถกันพวกกรวดทรายที่อาจจะกระเด็นมาจากล้อรถ โดยสเกิร์ตตัวนี้จะหนานูนออกมาทำให้ดูบึกบึนและแข็งแกร่งบนความเป็นสปอร์ต มือจับที่ประตูรถเป็นสีดำสีเดียวกับตัวรถ มาพร้อมกระจกมองข้างที่เป็นสีบรอนซ์ซึ่งในรุนนี้จะทำสีทูโทน ซึ่งมีสีขาหลังคาสีดำ สีแดงหลังคาสีดำ และสีดำหลังคาสีบรอนซ์ กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวแบบ LED ซึ่งสามารถปรับพับไฟฟ้าแบบอัตโนมัติและสามารถปรับแบบแมนนวลได้ ในส่วนของกระจกรถเป็นไฟฟ้าทั้ง 4 บาน ซึ่งเป็นระะบบออโต้แบบนิรภัยกันหนีบ
ถัดมาที่หลังคาเป็นสีบรอนซ์เงาตัดสลับกับสีดำ ซึ่งเราชอบมากเพราะสีดำดูให้คสวามรู้สึกหรูหราไปกับความสปอร์ตและความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าสีขาวและสีแดง อีกทั้งมีเสาอากาศแบบครีบฉลามเสริมความเรซซิ่ง และไฮไลท์สำคัญคือมือจับด้านหลังที่ออกแบบเนียนเรียบไปกับตัวประตูซึ่งถือว่าสวยที่สวย ตามมาด้วยสปอยเลอร์ที่ลาดยาวไปตามหลังคา โดยในปกติก็มีอยู่แล้วแต่รุ่น GR sport เป็นสีทูโทนเลยทำให้ดูเด่นขึ้นมา อีกทั้งยังมีไฟเบรก LED ดวงที่สามที่ฝังอยู่กับตัวสปอยเลอร์ด้านบนที่ช่วยในเรื่องของแอโรไดนามิกและมีที่ปัดน้ำฝนด้านหลังมาให้เพราะก่อนหน้านี้ฝนตกทำให้เราได้ใช้งานจริงซึ่งถือว่าใช้งานได้ดี การออกแบบที่ไฟท้ายเป็นการใช้ไฟ LED แบบเต็มระบบทั้งไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟหรี่ ซึ่งตัวไฟท้ายให้มิติที่ดูสปอร์ตมากขึ้นด้วยโคมสีดำ ถัดมาที่โลโก้โครเมียมเงาบ่งบอกถึงรุ่น C-HR และโลโก้โตโยต้าที่ไม่ใหญ่แบบด้านหน้าและโลโก้ไอบริดแสดงขึ้นเครื่องยนต์ และที่สำคัญที่สุดคือสัญลักษณ์ GR Sport ที่แสดงความเป็นสปอร์ตและเรซซิ่งมากขึ้น ถัดลงมาที่กันชนซึ่งก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักจากตัวปกติ มีตัวสะท้อนแสงมาให้ มีเซ็นเซอร์มาให้ 4 จุด ดูเนียนไปรถไม่ได้ดูเป็นการเจาะรู ถัดมาที่สเกิร์ตด้านท้ายซึ่งมีความพิเศษเพราะมันมี Diffuser โดยรวมแล้วด้านท้ายสวยสมส่วนกับด้านหน้า
สเปครถยนต์
Body Style : | SUV |
Description: | รถ SUV 5 ประตู |
Engine: | เบนซินไฮบริด 1.8 ลิตร 1,798 ซีซี |
Fuel Consumption: | 24.4 กม./ลิตร (ข้อมูลอ้างอิงจาก ECO Sticker) |
Fuel Type: | เบนซินไฮบริด |
Make: | Toyota C-HR |
Max Power: | 98 แรงม้า |
Max Torque: | 142 นิวตันเมตร |
Model: | Toyota C-HR GR Sport 2022 |
Price Guide: | 1,189,000 บาท |
Release Date: | 23/5/2022 |
0-100 km/h: | 12.24 วินาที |
Transmission: | เกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อม Shift Lock |
การขับขี่
C-HR GR Sport มีอัตราเร่งจาก 0- 100 กม. ด้วยเวลา 12.24 วินาที และอัตราการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 24.24 กม./ลิตร ซึ่งเป็นข้อมูลของ Eco Sticker ถือว่าประหยัดมากเลยทีเดียวหลังจากที่ได้ทดลองขับในเมืองและนอกเมือง
ในระหว่างการขับความเร็วเฉลี่ย 100 กม./ชม. ความประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 18-20 กม./ลิตร ก็ถือว่าประหยัดในระดับหนึ่ง หากเราใช้ความเร็วสูงๆ ก็จะอยู่ที่ประมาร 18 กม./ลิตร ซึ่งก็ยังพอรับได้และจากที่ได้ลองใช้โหมด Eco ก็ถือว่าประหยัดพอสมควรสำหรับการที่เราอยู่ในเมืองที่เจอรถติดก็เฉลี่ยถึง 20 กม./ลิตร หากเราขับในโหมด Normal ความประหยัดก็จะลดลงโดยเฉลี่ยประมาณ 15-16 กม./ลิตร ซึ่งก็ต้องแล้วช่วงเวลาหรือความหนานแน่นของท้องถนนด้วย
เมื่อเราได้ลองขับขี่ความรู้สึกที่สัมผัสได้คือพวงมาลัยค่อนข้างเบาในความเร็วที่เราใช้ในเมืองนั้นคือความเร็วต่ำ การเลี้ยวตามซอกซอย C-HR คันนี้ทำได้ดีพอสมควรเพราะตัวไซส์เป็นขนาดเล็กกระทัดรัดและวงเลี้ยวก็แคบใช้ได้ ส่วนเรื่องโหมดของการขับขี่มีมาให้ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Sport โหมด Normal และโหมด Eco ซึ่งโหมดที่เราใช้มากที่สุดคือโหมด Normal ก็ถือว่าโหมดนี้ตอบสนองตามการขับขี่ของผู้ใช้งานก็คคือไม่ได้อืดหรืออาการย้วยของคันเร่ง ส่วนโหมด Eco ก็จะรู้สึกหน่วง ๆ หน่อยเวลาเหยียบคันเร่งเมื่อเหยียบไปก็ต้องรอสักพักหนึ่งเพราะตัวนี้ก็จะดึงพลังงานแบตเตอรี่มาใช้งานก่อน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะด้วยตัวมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยที่ทำงานคู่กับเครื่องยนต์ทำให้เมื่อเหยียบแล้วแรงบิดมาเร็ว ในขณะที่เราวิ่ง 80-100 กม. มีเสียงลมเข้ามาบ้างเล็กน้อย
ต่อไปเราจะใช้โหมดสปอร์ตซึ่งเสียงเครื่องจัด ๆ มาทันที รอบก็มาทันที่เช่นกัน มันค่อนข้างตอบสนองได้ดีในเรื่องของคันเร่งและแรงบิดก็มาในทันที ส่วนแรงลมก็เข้ามาพอสมควรในอัตราการวิ่ง 100-120 กม. แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ากระจกหน้าเป็นแบบซับเสียงทำให้พวกเสียงลมปะทะก็ค่อนข้างลดลงไปทีเดียว ในเรื่องของทัศนวิสัยในการขับขี่มีการออกแบบมาได้ดี เราได้ปรับตำแหน่งของเบาะนั่งในอยู่ในตำแหน่งมาตรฐานซึ่งทำให้เราเห็นทางข้างหน้าชัดจนและมองเห็นรถข้างหน้าอีก 2-3 คัน ถือว่าให้ความปลอดภัยดี พวกรถสูง ๆ หรือ SUV จะให้ความมั่นใจกับเราเมื่อเราขับรถไปตามตามจังหวัดหรือขับเร็ว ๆ เราจะกะระยะได้มากขึ้น ส่วนในเรื่องการมองกระจกมองข้างก็ชัดเจนเพราะได้มีการออกแบบเสา A ได้ค่อนข้างที่จะเหมาะสมและก็มีส่วนของกระจกที่เสิรมเข้ามาที่เสา A ทำให้เรามองเห็นได้กว้างขึ้นและในส่วนของกระจกมองหลังอาจจะมีอุปสรรคเล็กสักนิดเพราะว่าการออกแบบค่อนข้างเล็กและแคบ แต่จริงๆ มันก็เพียงพอสำหรับการเดินทางในเมืองและนอกเมือง แต่ถ้าใครที่ขับรถใหญ่ ๆ อาจจะต้องปรับตัวกันสักเล็กน้อย
รุ่นนี้มีการปรับเซตคอยล์สปริงค์และโช็คแอบชอบเบอร์ซึ่งจากการใช้งานในเมืองมันมีความนุ่มนวลพอสมควรเลยแต่ความกระด้างก็ไม่ได้หายไปหมดเพราะในรุ่นนี้ใช้ล้อแม็กขอบ 18 นิ้ว โดยต่างจากรุ่นปกติที่ขอบ 17 นิ้ว โดยรวมช่วงล่างน่าประทับใจ
พวงมาลัยคมแต่ยังความสมูทไม่ใช่ว่าพอหักพวงมาลัยแล้วหน้ารถสั่น มันก็มีช่วงฟรีให้เราได้ผ่อนคลายกันบ้างไม่ได้คมจัดเหมือน Mazda CX-30 ในส่วนของเบรครุ่นนี้เป็นดิสเบรค 4 ล้อ ขนาดใหญ่ ระยะเบรคเมื่อมาในความเร็ว 100-120 กม. เบรคค่อนข้างสั้นพอสมควรให้ความรู้สึกมั่นใจในความเร็วสูงและในความเร็วต่ำ ส่วนในเรื่องระบบความปลอดภัยในรุ่นนี้มีระบบเตือนมุมอับสายตามาให้ทั้งกระมองซ้ายและขวา เมื่อสักครู่มีรถขับผ่านไปด้านขวาตัวสัญญาณเตือนก็ขึ้นมาที่ขอบมุมกระจกและหากเราเผลอออกนอกเลนโดยไม่เปฺิดไฟเลี้ยวก็จะทำการเตือนรวมทั้งประคองกลับเข้ามาให้อยู่ในเลนด้วยทั้งซ้ายและขวา อีกทั้งมีระบบ Adaptive Cruise Control สามารถปรับคมาเร็วแปรผันตามคันหน้าและคันนี้จุดเด่นของเขาก็คือถึงจุดหยุดนิ่งด้วย ถือว่าใช้ได้ทีเดียวซึ่งจะใช้เรดาห์ที่อยู่หน้ารถเพื่อจับรถคันหน้า ตัวของเรดาห์จับรถคันหน้าจับความเร็วคันหน้าและแปรผันความเร็วตามคันหน้ารวมไปถึงหยุดตามคันหน้าอีกด้วย ซึ่งน่าประทับใจสุดๆ
สุนทรียภาพขณะเดินทาง
ต่อไปเราไปดูที่ด้านในกันบ้าง ก่อนอื่นเลยเรามาชมตัวกุญแจรถกัน โดยตัวกุญแจเป็นพลาสติกมีความเงาปนอยู่ อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบาแต่มันดูไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ แต่สามารถมองข้ามจุดนี้ไปได้เพราะน้ำหนักที่เบาพกพาง่ายและใช้งานได้ง่ายและมีกุญแจอีก 1 ดอกซ้อนไว้สำหรับกรณีจำเป็นต้องใช้ ซึ่งแค่นี้ก็ครบจบแล้ว
ภาพรวมของด้านในมีความเป็นเรซซิ่งพอสมควรซึ่งจะเป็นห็นได้ชัดเจนเลยคือแดชบอร์ดด้านมีสีดำรับกับสีดำเงาหรือที่เรียกว่าเปียโนแบล็ค ซึ่งเราชอบเลยทีเดียวเพราะถ้าเป็นรุ่นปกติด้านหน้าจะมีสีน้ำตาลและแผงขอบประตูที่เป็นเกล็ดๆ 3 มิติ ก็จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ที่รองแขนก็เป็นสำน้ำตาลเข้มเช่นกันแต่พอเป็นสีดำในรถกลับดูหรูหรา ดูมีความสปอร์ตเพิ่มเข้ามา
เริ่มจากปุ่ม Start เป็นแบบ Push ซึ่งมีสัญลักษณ์ของ GR Start อยู่ด้วย ถัดมาที่หน้าจอระบบสาระบันเทิงเป็นแบบหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับ Android Auto และ Apple CarPlay ได้ แต่เราต้องมีสายเชื่อมถึงจะสามารถเชื่อต่อได้ แต่หากจะเชื่อมต่อกับบลูทูธก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เมื่อลองใช้แบบใช้งานได้ง่าย ถือว่าคล่องตัว ความเร็วจากระบบสัมผัสและความละเอียดของจอถือว่าใช้ได้แต่ไม่ได้ถึงกับดีมากนัก และเราก็สามารถเปิดเพลงผ่าน spotify ได้ด้วย ลำโพงมีให้ 6 จุดด้วยกัน ส่วนเรื่องของเสียงก็ถือว่าชัดเจนโอเคเลย และก็ยังสามารถเชื่อมต่อกับ Toyota T connect ได้ด้วย ซึ่งตัวนี้ก็เป็นตัวที่คอยบอกเราในเรื่องของการเช็คระยะตามระยะทางต่าง ๆ จากศูนย์บริการ
เบาะนั่งวัสดุที่ใช้เป้นหนังสลับกับวัสดุ PVC ตัวนี้เดินด้วยด้ายสีเทาไม่ใช่สีแดง มันก็จะดูกลกลมกลืนกับตัวเบาะนั่งและมีการปั้มสัญลักษณ์ GR แบบขึ้นรูป ไม่ใช่เป็นการปักเย็บเหมือน GR ในกระบะ การที่มีสัญลักษณ์นี้ก็เป็นการบ่งบอกว่าเป็นรุ่น GR Sport เบาะของเขาก็ยังคงเหมือนตัวรุ่นปกติทั่วไป เบาะเป็นอีกจุดที่เราชอบเพราะมันโอบกระชับและตัวหนุนหัวดูมีความเป็นสปอร์ตกลมกลืนกันดี การปรับเบาะไม่ใช่แบบไฟฟ้าอย่างโคโรล่า GR Sport แต่สามารถปรับได้ 6 ทิศทาง สามารถเอนเบาะ เลื่อนขึ้น-ลงได้ ซึ่งจะเป็น 4 ทิศทาง สำหรับผู้โดยสารและ 6 ทิศทาง สำหรับคนขับแต่ที่พิเศษเลยคือมีปุ่มดันหลังที่นั่งคนขับมาให้ทำให้ขณะขับขี่ไม่เมื่อยหรือปวดหลังเพราะถ้าเวลาเรานั่งจะสังเกตได้ว่าจะมีส่วนเว้าของหลังทำให้นั่งไม่เต็มเบาะ ปุ่มดันหลังนี้จะทำให้การขับขี่สบายขึ้น สรีระการนั่งถือว่านั่งสบายสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า
พวงมาลัยก็ปรับได้ 4 ทิศทาง ซึ่งเหมาะสำหรับคนตัวสูงหรือตัวใหญ่ ซึ่งพวงมาลัยเป็นหนังแท้สลับกับหนังเจาะรู เมื่อจับแล้วรู้สึกกระชับมือ มีการเดินด้ายเป็นสีดำเข้ากับส่วนอื่นๆภายในรถ อีกทั้งเป็นพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นโดยด้านซ้ายเป็นเรื่องของการปรับบังคับระบบ infotainment รับ-วางโทรศัพท์และระบบสั่งการด้วยเสียงด้วย ส่วนด้านขวาเป็นเรื่องของระบบความปลอดภัยต่างๆ อีกทั้งยังมีก้านตัว Adaptive Cruise Control ที่เป็นเอกลักษณ์ของโตโยต้า และก็เปิด-ปิดระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน มีระบบเปิด-ปิดเซ็นเซอร์ต่างๆ เช็คระยะทาง เช็คความสิ้นเปลืองน้ำมัน ในส่วนของก้านปัดน้ำฝนเป็นแบบปัดอัตโนมัติซ้ายเป็นเรื่องของพลังงานแบตเตอรี่ ไฮบริดต่างๆ แล้วก็มาตรวัดความร้อนน้ำในหม้อน้ำ ด้านขวาเป็นเรื่องของความเร็วสูงถึง 220 กิโลเมตร และมาตรวัดระดับเชื่อเพลิง
การออกแบบตกแต่งต่างๆยังคุมโทนสีดำ ตัวบุผ้าหลังคาก็ยังเป็นสีดำ ยังคงมีลวดลายเอกลักษณ์แบบ C-HR ในรุ่นปกติ มีมือจับมาให้เช่นกันซึ่งแน่นอนว่าเป็นสีดำเพื่อคุมโทน เป็นแบบ Total Look มีไฟแผนที่และไฟเก๋งมาให้ ที่กันแดดมาพร้อมกระจกแต่งหน้าและไฟส่องสว่างทั้งฝั่งผู้โดยสารและผู้ขับขี่ กระมองหลังเป็นออโต้เวลาขับขี่รู้สึกสบายตาทันที ระบบแอร์เป็นจอดิจิตอลแต่เป็นปุ่มสัมผัส แอร์ตัวนี้สามารถปรับแยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา แต่จุดเด่นของแอร์ตัวนี้อยู่ที่ระบบปรับอากาศนาโนมาให้ด้วย ซึ่งระบบนี้เป็นระบบกรองอากาศ รวมถึงสามารถฟอกอากาศได้ด้วยทำให้หมดห่วงเรื่องแอร์มีกลิ่น หรือเชื้อโรคแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม ถัดมาที่คอนโซลกลาง หัวเกียร์เป็นแบบโครเมียมมีลักษณะเงาๆด้านๆ มีที่วางแกวน้ำขนาดใหญ่มาให้ 2 จุด ในรถคันนี้มีเบรกมือไฟฟ้าซึ่งบรกมือไฟฟ้าจะทำงานอัตโนมัติอยู่ตลอดเมื่อเรากดสตาร์ท เราจะปลดเบรกมือก็ต่อเมื่อเราจะออกรถหรือใส่เกียร์ D เท่านั้น อีกทั้งยังมีปุ่ม EV Mode มาให้ ซึ่งโหมดนี้เงียบมากเวลาขับขี่ และมี Auto Brake Hold เมื่อเราเบรกติดไฟแดงแล้วรู้สึกขี้เกียจเหยียบเบรกเราสามรถใช้ Auto Brake Hold ได้ วึ่งจะทำงานปลดล็อกก็ต่อเมื่อที่เราเหยียบคันเร่ง มีโหมดกันลื่อนไถลมาให้ซึ่งเราแนะนำว่าอย่ากดปิดเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้มีไฟ ambient light มาให้อีกด้วย ถ้าเป็นตอนกลางคืนไฟจะเป็นสีฟ้าในช่องวางแก้วน้ำ ช่องมือจับ แผงประตู ในส่วนของที่วางแขนใหญ่พอสมควรมาพร้อมกับ Power outlet ให้ 1 จุด โดยรวมแล้วสำหรับคนขับกับผู้โดยสารด้านหน้ายังให้ความรู้สึกสบาย เพดานศรีษะเหลือๆ
เราไปต่อกันที่ด้านหลังซึ่งทางโตโยต้าบอกว่ามีจุดศูนย์ถ่วงต่ำทำให้รถข้างนอกดูเล็กแต่ข้างในกลับไม่ได้แคบอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ได้สบายมากมายขนาดนั้น เมื่อนั่งแล้วคนที่สูง 180 ซม. บริเวณเข่ายังเหลือ ส่วนศรีษะเหลือประมาณ 1 กำปัน ตัวหมอนรองศีรษะไม่ได้ปรับขึ้นเลยแต่กลับพอดี แต่สิ่งที่เป็นจุดด้อยอย่างหนึ่งของ C-HR คือกระจกมองข้างเล็กแต่ดีไซน์เข้ากับข้างนอก บริเวณประตูยังคงคุมโทนสีดำและที่แผงประตูด้านข้างมีที่วางแก้วน้ำมาให้ 2 จุด ที่เปิดประตูเป็นแบบโครเมียมแต่ก็ยังคงดูกลมกลือกับสีดำในบริเวิณอื่น ในส่วนของวัสดุเบาะนั่งด้านหลังก็เป็นเหมือนด้านหน้าที่ใช้หนังสลับกับ PVC เดินด้ายสีเทาแต่ไม่มีที่วางแขนมาให้ ส่วนการพับเบาะที่ด้านหลังปรับได้ 40:60 สามารถพับลงเพื่อเก็บของได้มากขึ้นและด้านท้ายมาพร้อมกับแผงผนังกั้นของมาให้เป็นสีดำเผื่อที่คนข้างนอกมองเข้ามาข้างในแล้วจะไม่เห็นและเรื่องคามปลอดภัยก็ต้องพ้นเข้มขัดนริภัยซึ่งคันนี้ให้มา 3 จุด ครบถ้วน เรารู้สึกนั่ง 2 คน กำลังดีถ้า 3 คนจะรู้สึกอึดอัดไปหน่อย ยกเว้นว่าเป็นเด็กก็จะสามารถนั่งได้สบายๆ อีกทั้งยังมีที่ใส่คาร์ซีทสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กอีกด้วย
C-HR ออกแบบมาอย่างครบถ้วนและค่อนข้างดีตั้งแต่ต้น มีการออกแบบให้เป็นแนวเรซซิ่งเพื่อให้เหมาะสมกับความเป็น GR และยังคุมโทนสีดำซึ่งใครชอบสีดำคันนี้ถือว่าตอบโจทย์มากในรุ่น GR Sport
ถัดมาที่ด้านท้ายกันบ้างซึ่งประตูท้ายรถไม่ใช่ไฟฟ้าทำให้สิ่งนี้กลายเป็นจุดด้อยอีก 1 จุด ในรุ่นนี้เมื่อกดปลดล็อกประตูจะไม่ขยับขึ้นเลยทำให้ต้องใช้แรงในการยกประตูขึ้นแต่ก็ยังดีที่เมื่อเปิดขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้วตัวโช็คจะทำงานทำให้ประตูท้ายค่อยๆยกขึ้น เมื่อเปิดขึ้นจะเห้นว่าด้านท้ายมีความขนาดใหญ่ในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้น ทางโตโยต้าจะมีชุดซ่อมยางมาให้ มีหูจับสำหรับใส่ตาข่ายกันของกลิ้งไปมา เมื่อเราลองปรับเบาะลงจะสามารถใส่ของที่มีลักษณะยาวได้ และถ้าแผงกั้นสัมภาระเกะกะก็สามารถอดออกได้ ถัดมาที่เรื่องของระบบความปลอดภัยกันบ้างทางโตโยต้าให้มาอย่างจัดเต็มใน Toyota safety sense ได้แก่
- ระบบป้องกันล้อล็อก ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC
- ถุงลมเสริมความปลอดภัย
- ระบบ SRS สัญญาณเตือนกะระยะด้านหน้า ท้ายและที่มุมกันชน 8 จุด
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมระบบ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-Speed Range
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน
สรุปความน่าใช้
หากคุณเป็นคนที่ชอบขับขี่ ชอบในเรื่องความสนุกหรือในเรื่องความแม่นยำ พวงมาลัยหรือการควบคุม ในรุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบ รถคันนี้ก็จะให้ความนุ่มหนึบและนุ่มนวลกว่ารุ่นปกติ แต่ถ้าคุณคาดหวังว่ารุ่น GR Sport ที่มีการตกแต่งให้สปอร์ตมากขึ้นแล้วช่วงล่างมันต้องมีความฮาร์ดคอที่จะสามารถรับรู้ทุกพื้นผิวถนนซึ่งเราขอบอกเลยว่าคันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยโตโยต้าทำรุ่นนี้ขึ้นมาเพื่อปรับแต่งช่วงล่างให้เป็นรถครอบครัวมากยิ่งขึ้นและแน่นอนว่าหากเป็นรถครอบครัวเราไม่ได้โดยสารไปเพียงคนเดียวจึงทำให้การขับขี่ต้องนุ่มนวลพอสมควรแต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ทิ้งช่วงล่าง ช่วงล่างยังมีความแม่นยำ ช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบ Double Wishbone แน่นอนว่าอยู่ในรถสปอร์ตที่มีการปรับแต่งช่วงล่างเพื่อให้มีสมรรถนะสูงๆ เมื่อขับขี่ก็ยังมีความคล้ายเดิมเพียงแต่ว่าเพิ่มเติมความนุ่มนวลขึ้นมาและความไวของพวงมาลัย
หากต้องบอกว่า Toyota C-HR HEV GR Sport คันนี้เหมาะกับใคร บอกได้เลยว่าเหมาะกับคนที่ชอบเรื่องการขับขี่และเน้นใช้งานปกติ 1- 2 คน นั่งเพียงด้านหน้าเท่านั้นหรืออาจจะเป็นบุคคลที่สร้างครอบครัวใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีลูกและโดยสารไปกับแฟนหรือภรรยา อีกทั้งยังเหมาะกับผู้หญิงที่ชื่นชอบในการขับขี่และดีไซน์ความสปอร์ตของรถแต่ยังคงเน้นเรื่องความประหยัดอยู่ ซึ่ง C-HR คันนี้ก็คุ้มค่าน่าสนใจเพราะว่าเพิ่มเติมในเรื่องของสเกิร์ตมารอบคันทำให้ดูเตี้ยลง สปอร์ตโฉบเฉี่ยวขึ้น
Toyota C-HR HEV GR Sport 2022 ราคาอยู่ที่ 1,118,900 บาท เพิ่มจากรุ่น Premium safety 50,000 บาท แต่เรานำมาเปรียบเทียบกับโคโรล่า ครอส GR Sport ราคาจะแพงกว่า C-HR GR Sport อยู่ที่ 60,000 บาท ซึ่งใครที่ชอบในเรื่องของดีไซน์ การขับขี่ บังคับควบคุม สรรถนะ ช่วงล่างขับมันๆ ประหยัดและคล่องตัวในเมืองต้อง C-HR GR Sport คันนี้เท่านั้น แต่ถ้าคุณชอบความใหญ่โตของห้องโดยสารและมีครอบครอบครัวไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ ผู้สุงอายุหรือเด็กต้องเป็นโคโรล่า ครอส GR Sport เท่านั้นเพราะด้านหลังนั่งสบาย เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถเอนได้ อีกทั้งยังมีความกว้างขวางของ Head room และ Leg room มากพอสมควร รวมไปถึงห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายก็มีมาให้อย่างจุใจสำหรับนักเดินทางที่เป็นสายครอบครัว
The Review
Toyota C-HR GR Sport 2022
C-HR HEV GR Sport ใหม่ มีการตกแต่งภายนอกและภายในเพื่อเพิ่มความเป็นเรซซิ่งมากขึ้น ซึ่งต่างจากรุ่นปกติที่มีอยู่ก่อนแล้ว โดยปี 2022 โตโยต้าได้เพิ่มรุ่น GR Sport เข้ามาในไลน์เพื่อให้เราได้มีตัวเลือกมากขึ้น อีกทั้งยังมีช่วงล่างที่ปรับแต่งใหม่อีกด้วย
PROS
- ขับขี่ง่าย
- สะดวกสบายในการใช้งานจริง และการใช้ในชีวิตประจำวันในเมือง
- มีการแต่งสไตล์ GR รอบคันแบบจัดเต็ม
- ภายในตกแต่งเท่และพรีเมียม
- มี toyota sensing และระบบความปลอดภัยครบครัน
- ช่วงล่างดี ยึดเกาะเยี่ยมมีความนุ่มนวล
CONS
- ไม่มีกล้องรอบคัน
- ภายในไม่ได้กว้างขวางมาก คนตัวใหญ่อาจรู้สึกอึดอัด
- ห้องโดยสารตอนหลังไม่ปลอดโปร่งเท่าที่ควรเพราะกระจกแคบลง
- สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบครัน
- แต่ง GR Sport แต่การใช้งานจริงไม่ได้ดุดัน หากใครที่ชอบความดุ C-HR HEV GR Sport อาจไม่ใช่คำตอบ
Review Breakdown
-
Driving
-
Engine&Trans
-
Fuel Consumption
-
Practicality
-
Price and Features
-
Design
-
Saftey
Toyota C-HR GR Sport 2022 DEALS
We collect information from many stores for best price available