การขับรถท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มืดมิดในเวลากลางคืนมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายต่อผู้ขับขี่ มีหลายปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ ภาวะของสายตาและการมองเห็นในเวลากลางคืน ปัญหาการจราจรแออัดในชั่วโมงเร่งด่วน และสภาพร่างกายที่อ่อนเพลียและเหนื่อยล้า การขับรถในเวลากลางคืนนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตสูงกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ถึง 3 เท่า
รถรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้พัฒนาและติดตั้งเครื่องมือเพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ ตัวอย่างเช่นไฟเบรกที่ใช้หลอดแอลอีดี รวมถึงไฟส่องสว่างขณะขับขี่ในเวลากลางวันแบบแอลอีดี ทำให้สามารถมองเห็นรถยนต์ได้อย่างชัดเจนในทุกช่วงเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
ไฟเบรกแบบแอลอีดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการชนทางด้านหลังของรถยนต์ได้ เนื่องจากไฟส่องสว่างจะสว่างเต็มที่เร็วกว่าหลอดไฟประเภทหลอดไส้ร้อนแบบธรรมดา เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงจะใช้ระยะเบรกมากกว่า 60 เมตร ดังนั้นการที่รถยนต์ของคุณมีไฟเบรกแบบแอลอีดีจะช่วยเตือนให้ผู้ที่ขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของคุณเห็นรถของคุณได้เร็วขึ้น ซึ่งช่วยให้ระยะห่างในการหยุดรถมีมากขึ้น
นอกจากรถยนต์ที่ติดตั้งไฟเบรกแบบแอลอีดีแล้ว นี่คือเคล็ดลับ 9 ข้อสำหรับการขับรถยนต์ในเวลากลางคืนปลอดภัยยิ่งขึ้นที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้ง่ายๆ
1.หรี่ไฟที่แผงหน้าปัด
หากรถยนต์ของคุณมีสวิตช์หรี่ไฟแผงหน้าปัด คุณควรใช้สวิตช์นี้ เพราะความสว่างที่เกินความจำเป็นของแผงหน้าปัดแอลอีดีและหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ที่แสดงผลระบบอินโฟเทนเมนท์สามารถรบกวนผู้ขับทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง และการหรี่ไฟที่แผงหน้าปัดช่วยกำจัดแสงสะท้อนบนกระจกได้ช่วยให้ตาของคุณสามารถปรับแสงให้เหมาะสมกับความมืดบนเส้นทางข้างหน้า ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัด แสงสว่างอื่นๆ ภายในรถยนต์ เช่น ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารเป็นตัวการสำคัญที่จะคอยรบกวนทัศนวิสัยของผู้ขับได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือควรปิดไฟเหล่านั้นในขณะขับรถยนต์
2.ควรใช้ไฟหน้าอย่างเหมาะสม
เมื่อขับรถไปต่างจังหวัด ผู้ขับมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟสูง แต่ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ควรเปลี่ยนเป็นไฟต่ำเมื่อมีรถยนต์สวนมา นอกจากนี้คุณควรใช้ไฟต่ำเสมอเมื่อขับรถตามหลังรถยนต์คันอื่น มิเช่นนั้นจะทำให้คนขับรถคันข้างหน้าของคุณมองไม่เห็นเส้นทาง
3.ใส่แว่นตากันแสงสะท้อน
แว่นสายตาหรือแว่นอื่นๆ นั้นเพิ่มพื้นผิวที่มีการสะท้อนแสงระหว่างสายตาของผู้ขับและถนนได้ ดังนั้นการเลือกใส่แว่นตาที่เหมาะสมจะช่วยทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นในเวลากลางคืนดีขึ้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการเลือกแว่นตาที่ใช้เลนส์ที่เคลือบสารกันสะท้อน (Anti-reflective coating หรือ AR-coating) นี้จะช่วยลดแสงที่เกิดจากการสะท้อนภายในผิวเลนส์ของแว่น และปล่อยให้แสงผ่านเข้ามาได้มากขึ้น
4.ควรรักษาความสะอาดของรถยนต์
ควรทำความสะอาดไฟหน้า ไฟท้าย ไฟสัญญาณต่างๆ กระจกหน้าต่าง และกระจกรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยควรทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง หรืออาจจะบ่อยกว่านั้นหากมีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ กระจกหน้ารถยนต์ที่ดูสะอาดในช่วงกลางวัน อาจเผยให้เห็นรอยขีดข่วนที่อาจทำให้เกิดแสงสะท้อนในเวลากลางคืน ควรพกผ้าไมโครไฟเบอร์หรือหนังสือพิมพ์ไว้ในรถยนต์ เพื่อเช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ติดกระจกหน้ารถยนต์และกระจกหน้าต่าง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสและจับผิวด้านในของกระจกหน้ารถยนต์ กระจกหน้าต่างด้านข้าง หรือกระจกอื่นๆ ด้วยมือเปล่า เพราะความมันจากผิวจะทำให้กระจกรถยนต์เป็นรอยเปื้อนได้ ซึ่งจะเห็นเป็นฝ้าที่กระจก เมื่อมีแสงไฟจากภายนอกหรือภายในรถยนต์มากระทบ
5.ปรับตั้งไฟหน้ารถยนต์และกระจกให้พร้อมอยู่เสมอ
แม้ว่าไฟหน้ารถยนต์จะได้รับการปรับตั้งมาอย่างถูกต้องจากโรงประกอบรถยนต์แล้วก็ตาม แต่การมีช่างเทคนิคคอยทำการตรวจสอบการฉายลำแสงจากไฟหน้ารถยนต์ เพื่อให้มั่นใจว่าไฟหน้ารถยนต์จะส่องถนนในทิศทางที่ถูกต้องโดยที่ไม่แยงตาผู้ขับรถสวนมา เช่นเดียวกันคุณสามารถหลีกเลี่ยงสภาวะ “มองไม่เห็น” โดยการปรับกระจกมองข้างรถยนต์ของคุณลงเล็กน้อย เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นรถยนต์ที่อยู่ด้านหลังโดยไม่มีแสงจ้าจากไฟหน้าของรถคันดังกล่าวสะท้อนมาเข้าตา นอกจากนี้ การปรับกระจกมองหลังภายในรถยนต์ไปที่โหมดกลางคืน หรือ Auto Dim จะทำให้กระจกมืดลงเพื่อป้องกันแสงจ้าเข้าตา
6.ใช้ความเร็วต่ำลงและเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้น
ผู้ขับควรใช้ความเร็วลดลงและทิ้งระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้นหากขับรถในความมืด การกะความเร็วและระยะของรถคันหน้าในเวลากลางคืนเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการรับรู้ความใกล้ไกล การจำแนกสี และความสามารถในการมองเห็นรอบๆ จะตอบสนองช้าลงหากอยู่ในความมืด และปฏิกิริยาการตอบสนองของผู้ขับประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับการมองเห็น แม้ว่าไฟหน้ารถยนต์จะส่องแสงสว่างให้มองเห็นถนนด้านหน้า แต่ไฟต่ำทั่วไปมีระยะส่องสว่างจากด้านหน้ารถยนต์ของคุณ ตั้งแต่ 50-75 เมตร ขณะที่ไฟสูงจะมีระยะส่องแสงสว่างประมาณ 100-150 เมตร เมื่อขับรถยนต์ด้วยความเร็ว ระยะหยุดรถที่ปลอดภัยจะต้องใช้มากกว่า 60 เมตร
7.ระมัดระวังสัตว์ต่างๆ บนถนน
การขับรถยนต์ในเวลากลางคืนบางครั้งผู้ขับอาจต้องพบเจอและชนสัตว์ต่างๆ ที่อยู่บนถนนซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายร้ายแรง แม้ว่าไฟสูงหน้ารถยนต์ของคุณไม่สามารถส่องสว่างได้ไกลเกินกว่าระยะทางที่ใช้หยุดรถหรือบริเวณรอบๆทางโค้ง แต่คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงการชนสัตว์ได้โดยสังเกตจากจุดสะท้อนแสงเล็กๆ จากดวงตาของสัตว์เมื่อโดนแสงจากไฟหน้ารถ จุดสว่างเล็กๆ เหล่านี้มักจะปรากฎอยู่บนถนนทำให้ผู้ขับมีเวลามากขึ้นในการชะลอหรือหยุดรถยนต์ได้ทันเวลา เมื่อพบเจอกับสัตว์ใหญ่ที่อยู่ใกล้ถนนหรือบนถนน วิธีที่ดีที่สุดคือควรขับรถยนต์ให้ช้าลงโดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนเลนหรือขับรถยนต์ออกนอกเลน การหักเลี้ยวพวงมาลัยกะทันหันอาจเพิ่มความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
8.เมาไม่ขับ
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ ทานยาที่แพทย์สั่งจ่าย และสมุนไพรบางชนิดอาจทำให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลง เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้ผู้ดื่มเกิดอาการง่วงนอนและอ่อนเพลียจากฤทธิ์กล่อมประสาท การดื่มแอลกอฮอลล์ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการชนร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตและมีอัตราการเสียชีวิตเกินกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งหมด
9.ห้ามขับรถขณะที่ร่างกายเหนื่อยล้า
การขับรถยนต์ในขณะที่ผู้ขับง่วงนอนเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนได้มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ อุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับความเหนื่อยล้าส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน และความเหนื่อยล้าเป็นปัจจัยสำคัญเกือบ 1 ใน 3 ของอุบัติเหตุรถชนในต่างจังหวัด คนทั่วไปไม่รู้สึกเหนื่อยจากการขับรถยนต์ แต่พวกเขาน่าจะล้าเมื่อขับรถเป็นเวลานานๆ การทำงานหนักหรือพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วมาขับรถก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน ควรทำตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจว่าคุณตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
- ควรนอนหลับให้เพียงพอก่อนจะขับรถ
- ไม่ควรขับรถเกิน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
- ควรหยุดพักเป็นระยะ อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
- สลับกันขับหากเป็นไปได้
- ไม่ควรขับรถยนต์ในเวลาที่คุณรู้สึกง่วงนอน
- หากคุณรู้สึกง่วงให้หาสถานที่ปลอดภัยในการจอดรถยนต์ และงีบหลับประมาณ 15 นาที
- ควรรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายอยู่เสมอด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ และทานของว่างที่ให้พลังงานสูง