เมื่อพูดถึงการขับขี่ออฟโรด หลายๆ คนคงนึกถึงภาพการเดินทางที่แสนสมบุกสมบันแถมทดสอบทักษะนักขับได้เป็นอย่างดี แต่นอกเหนือจากความสนุกและประสบการณ์สุดท้าทายที่ได้รับ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือผู้ขับขี่จะต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญในการผจญภัยแบบออฟโรดเพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองและเพื่อนร่วมท้องถนน เพราะการขับขี่ออฟโรดนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและอาจไม่สะดวกสบายเหมือนการขับรถบนถนนพื้นผิวเรียบทั่วไปเหมือนในชีวิตประจำวัน
ทีมวิศวกรของ Ford Everest ได้แนะนำเทคนิคดีๆ ที่จะทำให้คุณสามารถออกเดินทางบนทุกพื้นผิวที่ท้าทายและขับขี่ได้อย่างปลอดภัยเมื่อออกผจญภัยแบบออฟโรด
1. เตรียมตัวให้พร้อม
การขับขี่แบบออฟโรดนับเป็นเรื่องท้าทายที่เราไม่ควรประมาท ดังนั้น การวางแผนการเดินทางอย่างละเอียด การเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือและเตรียมรถให้พร้อมใช้งานเต็มกำลังจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง แนะนำให้เตรียมเช็คลิสต์สำหรับการเดินทางโดยเริ่มตั้งแต่ เติมน้ำมันให้เต็มถัง เตรียมเชือกสำหรับลากรถ ยางสำรอง ชุดอุปกรณ์การเปลี่ยนยาง เครื่องปั๊มลมแบบพกพา น้ำดื่ม ไฟฉาย และอื่นๆ
ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน Ford Everest มาพร้อมระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC® และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 ในกรณีที่มีอุบัติเหตุ และยังมีระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถที่ยังคงใช้งานได้เมื่อออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้คุณสามารถติดต่อโลกภายนอกเพื่อขอความช่วยเหลือได้ทุกที่ทุกเวลา
2. ลดแรงดันของยาง
การลดแรงดันลมยางเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรด อีกทั้งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารตลอดระยะเวลาการเดินทาง นอกจากนี้ ข้อดีในการลดแรงดันของยางนั้นมีอยู่มากมาย เช่น
- หากพื้นผิวยางสามารถสัมผัสพื้นผิวของถนนได้มากเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้รถสามารถกระจายน้ำหนักได้สมดุลมากเท่านั้น
- ยางจะสามารถดูดซับแรงกระทบได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยปกป้องล้อและส่วนอื่นๆ ของยานพาหนะเมื่อขับเคลื่อนบนถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ
- การลดแรงดันของยางจะมอบความรู้สึกของการขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเมื่อออกผจญภัยแบบสมบุกสมบัน ยางที่อ่อนเล็กน้อยจะช่วยยึดเกาะถนนที่มีพื้นผิวขรุขระและสามารถลดแรงกระแทกได้ดีในเวลาเดียวกัน
โดยฟังก์ชั่นระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) ใน Ford Everest จะทำหน้าที่คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ และเตือนผู้ใช้งานเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำมันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย
3. ขับรถด้วยความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การขับรถเร็ว หมายถึง คุณจะมีเวลาตอบสนองน้อยลงต่อสิ่งรอบข้างที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และมักจะใช้เวลานานกว่าเมื่อคุณต้องการจะหยุดรถ ความเร็วจะเพิ่มความเสียหายต่อยานพาหนะมากขึ้นในกรณีที่คุณขับรถข้ามสิ่งกีดขวางหรือเมื่อปะทะกับสิ่งใดก็ตาม ในทางกลับกัน การขับรถในอัตราความเร็วต่ำจะช่วยให้ระบบกันกระเทือนรับมือกับแรงกระทบได้ดีกว่า ทำให้การขับขี่นั้นนุ่มนวลและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คุณยังมีเวลามากพอที่จะตรวจสอบสิ่งรอบข้าง และมีเวลาไตร่ตรองก่อนจะตอบสนองกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
เพื่อให้คุณขับรถทางไกลได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) จะช่วยควบคุมความเร็วตามที่คุณกำหนด และจะรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าให้อัตโนมัติ โดยระบบจะช่วยเบรกและเร่งความเร็วให้ตามระยะห่างจากรถคันหน้า โดยที่คุณไม่ต้องคอยเหยียบเบรกและคันเร่ง เป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมเมื่อต้องเดินทางระยะไกล
4. เลือกเส้นทางที่ดีที่สุดทุกครั้ง
ทุกครั้งที่ต้องออกเดินทาง ควรศึกษาเส้นทางให้ละเอียดเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง พยายามศึกษาว่าในเส้นทางนั้นๆ มีจุดไหนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เช่นทางโค้ง ทางเลี้ยวหักศอก ทางชัน และอื่นๆ เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อให้คุณได้สนุกกับประสบการณ์ออฟโรดแบบขั้นสุด
ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ Ford Everest อย่างระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน ทำให้การขับรถลงภูเขาที่ลื่นและลาดชันง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม บวกกับความสามารถในการลุยน้ำสูงถึง 80 ซม. ทำให้คุณมั่นใจได้ว่า ต่อให้บุกป่าฝ่าดงแค่ไหน คุณก็จะได้รับความปลอดภัยตลอดเส้นทางเมื่ออยู่ในรถคันนี้
5. ทำความเข้าใจในเรื่องการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน
พื้นผิวถนนที่แตกต่างกันจำเป็นต้องใช้เทคนิคและฟังก์ชั่นการขับขี่ที่แตกต่างกันด้วย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะใน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ จะทำให้การผจญภัยของคุณง่ายขึ้น เพียงปรับโหมดให้เหมาะกับสภาพพื้นผิวต่างๆ ที่คุณขับในแต่ละครั้ง
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะหรือ Terrain Management System (TMS) ของ Ford Everest มีทั้งโหมดปกติ โหมดโคลน โหมดทราย และโหมดหิน ทำงานร่วมกับระบบล็อกเฟืองท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้าเพื่อให้บุกตะลุยไปได้ทุกที่ ไม่ว่าสภาพถนนจะเป็นแบบไหน เพียงหมุนปุ่มปรับโหมด คุณก็สามารถสนุกกับการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดได้ตลอดทริป