มิถุนายนเป็นเดือนที่หลายๆ คนน่าจะกำลังเริ่มต้นวางแผนในการท่องเที่ยวเพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน อากาศกำลังสบาย จึงเหมาะกับกับการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติไม่ว่าจะท่องเที่ยวชมป่าเขาเขียวชอุ่ม ล่องแพสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบที่อ่างเก็บน้ำ หรือจะขับรถลุยเข้าสวนเกษตรกรรมทานผลไม้สดๆ จากต้น
อย่างไรก็ดี การขับรถท่องเที่ยวในหน้าฝนต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างมากเนื่องจากสภาพแวดล้อมและสภาพถนนที่เปลี่ยนไป รวมถึงวิสัยทัศน์การมองเห็นถนนของผู้ขับขี่ และความสามารถในการควบคุมรถยนต์ด้วย รวมถึงพฤติกรรมของผู้ขับขึ่เช่น การขับรถเร็วเบนถนนเปียก การขับจี้ตูดรถคันข้างหน้ามากเกินไปจนไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะหยุดรถในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น วันนี้ What Car? มีข้อแนะนำดี ๆ 5 ข้อที่จะช่วยให้การขับรถท่องเที่ยช่วงหน้าฝนปลอดภัยยิ่งขึ้น
1.เตรียมรถให้พร้อม
เรื่องง่ายๆ ที่หลายคนมองข้าม ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจเช็ค ดูแลรถยนต์ และเข้าศูนย์บริการอย่างสม่ำเสมอ โดยควรให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ ได้แก่
- ใบปัดน้ำฝน ต้องพร้อมใช้งาน ปัดน้ำได้หมดจดไม่ทิ้งคราบไว้บนกระจก ซึ่งปกติใบปัดทั่วไปจะมีระยะเวลาใช้งานประมาณ 1 ปี ถ้าเริ่มรู้เห็นว่าปัดน้ำออกไม่เกลี้ยงควรเปลี่ยนใหม่
- น้ำฉีดกระจก เตรียมไว้ในกรณีที่มีดินหรือโคลนกระเด็นใส่กระจกหน้าด้วยเหตุนี้เอง จึงควรเช็คปริมาณน้ำฉีดกระจกและเติมน้ำสะอาดในถังน้ำฉีดกระจกให้ถึงขีดที่กำหนดทุกเดือน
- ไฟหน้า-หลังรถ ช่วยให้มองเห็นข้างหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นและให้รถคันอื่นมองเห็นรถของคุณ
- สภาพยาง เพื่อให้ล้อรถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ควรเปลี่ยนยางรถทุก 4-5 ปี เนื่องจากโดยทั่วไปอายุของยางมักจะไม่เกิน 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต หรือควรเปลี่ยนยางเมื่อสภาพไม่อำนวยต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย เช่น โครงสร้างของยางชำรุด ความลึกของดอกยางต่ำกว่า 3 มิลลิเมตร เป็นต้น
2.วิธีขับรถไม่ให้ไถล
เนื่องจากฝนตกทำให้ถนนเปียกและลื่น รวมถึงการยึดจับของยางกับถนนจะลดลงเมื่อขับเร็วขึ้น ดังนั้น การขับรถเร็วเกินความเหมาะสมในขณะที่ถนนเปียกจะส่งผลให้รถเสียหลักและไถลลื่นได้ ควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งไม่ควรขับเกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเหินน้ำของรถ ป้องกันการลื่นไถลและเพื่อที่ผู้ขับจะสามารถควบคุมรถได้
3.รับมือกับฝนตกหนักจนมองไม่เห็นถนน
หากฝนตกในช่วง 10 นาทีแรก ควรเริ่มลดความเร็ว หากฝนตกหนักเกินกว่าที่ผู้ขับขี่จะสามารถมองเห็นถนนและข้างทางและไม่สามารถขับรถต่อได้อย่างปลอดภัยได้ ผู้ขับขี่ควรหาจุดจอดรถที่ปลอดภัย และโทรแจ้งสถานการณ์ต่อคนใกล้ชิดหรือคนรู้จัก
4.ห้ามเบรกกะทันหัน
ถนนลื่นเป็นเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อฝนตก การเบรกกะทันหันบนถนนเปียกอาจส่งผลให้เบรกไม่อยู่ เสียการควบคุมรถ จนเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ผู้ขับขี่จึงควรทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากกว่าปกติ หรือราว 2 เท่าของระยะทิ้งห่างเมื่อขับรถในสภาพอากาศปกติ เพื่อให้สามารถหยุดรถได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องเบรกอย่างกระทันหัน และหลีกเลี่ยงการชนคนเดินถนนหรือรถคันอื่นบนท้องถนน
5.ขับรถลุยน้ำยังไงไม่ให้รถดับ
เมื่อพบว่าถนนที่ขับไปมีน้ำท่วมขังหรือแอ่งน้ำ ให้สังเกตระดับความลึกของน้ำจากฟุตบาทและสภาพแวดล้อมข้างทาง หรือจากรถคันข้างหน้า เพื่อประเมินความลึกและสถานการณ์ ซึ่งถ้าระดับน้ำไม่สูงมาก คุณสามารถขับผ่านไปได้โดยในเบื้องต้นควรปิดแอร์ และใช้เกียร์ต่ำ แต่ถ้าระดับน้ำสูงเกินและฝืนขับลุยต่อไปก็อาจส่งผลให้น้ำเข้าเครื่องยนต์และเกิดความเสียหายต่อรถได้
นอกจากการขับรถอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษแล้ว การเลือกขับรถที่มีฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยก็สามารถช่วยให้การขับขี่ในสายฝนปลอดภัยยิ่งขึ้นได้ เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program หรือ ESP) ที่สามารถปรับเบรกและกำลังของเครื่องยนต์ ช่วยรักษาสมดุลของรถในกรณีฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการลื่นไถลออกข้างทาง ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดิน Autonomous Emergency Braking System with Pedestrian Detection ซึ่งสามารถช่วยตรวจจับคนเดินถนนและยานพาหนะด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างเรดาร์และกล้องหน้า โดยระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานทันทีเมื่อประเมินว่าอาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้น ช่วยลดและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและความรุนแรงของอุบัติเหตุได้