ฮอนด้า เอชอาร์-วี นับเป็นรถยนต์ที่สำคัญรุ่นหนึ่งของฮอนด้า ในฐานะผู้บุกเบิกตลาดเอสยูวีขนาดกลางในประเทศไทยและมีบทบาทในการขับเคลื่อนการเติบโตของเซกเมนต์ในปัจจุบัน อีกทั้งเติมเต็มความต้องการของตลาดเอสยูวีให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ครั้งนี้ ฮอนด้า เอชอาร์-วี เจเนอเรชันที่ 2 พร้อมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการยานยนต์อีกครั้ง ด้วยการมอบคุณค่าใหม่ระดับพรีเมียมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทั้งดีไซน์ที่สปอร์ตล้ำสมัย โดดเด่นในทุกมุมมอง โดยที่ได้พัฒนาภายใต้แนวคิด “AMP UP Your Life” โดยจะเป็นยนตรกรรมที่ผสานทั้งฟังก์ชันการใช้งานและสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและพาคุณไปค้นพบตัวตนใหม่ในฐานะของพาร์ตเนอร์ขึ้น
เพื่อเป็นการทดสอบและดูความสามารถของ Honda HR-V eHEV บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้เชิญทีมงาน What Car? ร่วมเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะทางกว่า 240 กิโลเมตร เพื่อทดสอบสมรรถนะ ‘ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่’ และเพื่อไปทดสอบระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) รวมไปถึงเรื่องระบบของเครื่องยนต์ การประหยัดน้ำมันและสิ่งสำคัญคือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของผู้ขับขี่และผู้โดยสารซึ่งเราจะได้ลองใช้กันว่าเป็นอย่างไร
การออกแบบใหม่จากความตั้งใจของผู้ออกแบบ
รุ่นที่ใช้ขับขี่กันวันนี้คือรุ่น RS เป็นรุ่นท็อป ซึ่งทางฮอนด้ามีหลังคากระจกมา โดยใช้ระบบ Low-E Glass Roof สามารถกรองแสง UV 90% โดยบอกมาว่ากั้นความร้อนแต่เมื่อใช้งานจริงมีความร้อนเข้ามาอยู่บ้าง จากที่ได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนคุณขับรถยนต์ที่กระจกติดฟิล์มประมาณ 80 % เมื่อเอามือจับดูมันจะให้คาวมรู้สึกอุ่น ๆ อยู่บ้าง ส่วนการแพร่กระจายของความร้อนก็เหมือนก็เหมือนอยู่ในรถที่กระจกติดฟิล์ม ซึ่งเราได้สอบถามวิศวกรผู้ออกแบบชาวญี่ปุ่น บอกกับเราว่าความตั้งใจที่แท้จริงของเค้าก็คือการออกแบบที่มันสามารถช่วยให้ทั้งผู้โดยสารและผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงประสบการ์ณมุมมองใหม่ๆ บ้าง ไม่ใช่รถแบบเดิม ๆ ซึ่งหลังคากระจกแบบที่เปิดได้เหมือนรถยุโรปทั่วไปมันจะทำให้เสียพื้นที่ในส่วนของกระจก มันจะบดบังการมองเห็นของผู้โดยสารตอนท้ายไปและตั้งใจทำให้มีพื้นที่การมองเห็นได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงมีเรื่องราวของคลิปรีวิวในประเทศไทยสื่อออกมาว่าปิดยากแต่ถ้าคนที่ซื้อไปไว้ใช้งานจริงก็จะสามารถติดตั้งและถอดเก็บได้ชำนาญขึ้นเอง นักออกแบบเค้ายังกล่าวอีกว่าตั้งใจทำเป็นแผ่นปิดแบบนั้นเพราะหากใส่ตัวม้วนเก็บแบบด้านหน้ามันก็จะต้องลดขนาดของวิวการมองเห็นบรรยากาศท้องฟ้าออกไปอีก และต้องการให้ส่วนกระจกด้านหลังผู้โดยสารเปิดไว้ตลอดแต่ถ้าไม่ต้องการเป็นครั้งคราวก็สามารถปิดได้ นี่เป็นความตั้งใจที่อยากจะสื่อสารกับผู้ใช้รถยนต์ฮอนด้าจริงๆ จากปากชาวญี่ปุ่นผู้ออกแบบ HR-V e:HEV
ฟีเจอร์ใหม่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน
อีกฟีเจอร์หนึ่งก็คือระบบปรับอกาศของ Honda HR-V eHEV เป็นระบบ Air Diffusion System ตัวปรับองศาของลมแบบใหม่มี 2 ระดับ ปรับแบบหมุนให้ตรงและหมุนแบบให้กระจายเป็นลมโกรก หมุนเวียนอยู่รอบรถก็จะทำให้รถมีความเย็นที่ทั่วถึงและที่สำคัญคือแอร์ไม่ปะทะมือทำให้ไม่ต้องปรับองศาแอร์เลย แค่หมุน Diffusion ก็จบ ซึ่งเป็นแบบแยกอิสระซ้ายขวา ที่นั่งข้างคนขับก็มีเช่นกันซึ่งสามารถปรับได้ตามความต้องการและมาพร้อมด้วยช่องปรับอากาศตอนหลัง (เฉพาะรุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS) จึงช่วยให้ภายในห้องโดยสารเย็นทั่วถึง แม้ว่าจะรู้สึกอุ่นที่ด้านบนหลังคาบ้างก็ตาม
สมรรถนะเครื่องยนต์
สัมผัสแรกที่ได้ขับ Honda HR-V eHEV คันเร่งถือว่าตอบสนองได้ไหว เครื่องยนต์เป็นระบบ eHEV ก็คือมีมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว มอเตอร์ที่ใช้พลังงานกับใช้ชาร์จจะแยกกัน ช่วงที่กดคันเร่งรอบสูงช่วง 80-120 กม. รอบมาอย่างชัดเจนแต่เราจะได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ที่กวนเราและเสียงดังพอสมควร เสียงลมก็มีเข้ามาบ้างที่ช่องหน้าต่าง ส่วนเสียงที่ได้ยินชัดเจนเลยคือเสียงอย่างที่บดกับถนนแต่ถ้าวิ่งในความเร็วต่ำ เช่น 60-80 กม. เสียงเครื่องยนต์จะเงียบ ซึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 18.2 กม./ลิตร ถือว่าประหยัดในขั้นหนึ่งเพราะว่าเราขับความเร็วสูงด้วย ในส่วนของด้านหน้าเป็นช่วงล่างแบบ McPherson Strut อิสระ ด้านหลังเป็น Torsion Beam ในตำแหน่งด้านหน้าที่คนขับดีแต่ความรู้สึกด้านท้ายจะมีอาการเด้งเล็กหน่อย ซึ่งผู้โดยสารด้านหลังจะรู้สึกได้
เส้นทางที่เราเดินทางเป็นทางเรียบ ช่วงล่างถือว่ากลาง ๆ เอาอยู่ในความเร็วสูง 100-140 กม. มีความนิ่งอยู่ การเข้าโค้งพวงมาลัยแม่นยำในระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้งานได้ปกติดีทั่วไป อาจจะได้ไม่ครบเท่ากับแบรนด์อื่นแต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีและยังดีกว่ารุ่นก่อนในทุกด้าน นอกจากนี้สัมผัสของพวงมาลัยดี วงเลี้ยวไม่กว้างมาก กระชับมือ เปลี่ยนเลนในความเร็วสูงสามารถเอาอยู่ ในส่วนของเบาะนั่งปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราชอบเพราะตั้งแต่ที่ขับมา 80 กม. ยังไม่รู้สึกเมื่อย ส่วนโหมดในการขับขี่มีทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ ECON Mode Normal Mode และ Sport Mode
ECON Mode เป็นโหมดที่เราใช้งานเมืองเพราะเป็นโหมดประหยัด ซึ่งเรายังไม่ได้ลองเลยว่ามันจะทำการประหยัดได้สูงสุดตามที่ฮอนด้าได้บอกมาหรือเปล่าแต่ที่เรามาตลอดคือ Normal Mode ในช่วงกดคันเร่ง การชะลอ เรื่องของเกียร์มีความสมูทมากเพราะว่าเป็นเกียร์ไฟฟ้าเป็น E-CVT ถือว่าช่วงรอยต่อแทบจะไม่รู้สึกเลย ในโหมดนี้ถือว่าใช้งานดีทั่วไป ขับทางไกลได้ มีปรับ Sport Mode บ้าง ซึ่งในโหมดนี้รอบของเครื่องยนต์และกำลังของเครื่องยนต์มันจะสูงขึ้นมา เอาไว้ใช้เมื่อต้องการเร่งความเร็วสูงหรือแซง
ไปต่อกันที่ตัวหน่วงความเร็ว เราเหมือนเปลี่ยนเกียร์เพราะไม่ต้องเบรกเยอะ พอข้างหน้าเบรกเราก็ชะลอแค่นี้พอ ในส่วนของแป้นเบรกลบและแป้นเบรกบวกนั้นก็คือเพิ่ม-ลดความเร็ว
สรุปความน่าใช้
หลังจากที่ได้ลองขับ Honda HR-V eHEV รุ่น RS สิ่งที่รู้สึกได้คือคันเรื่องตอบสนองดี พวงมาลัยและช่วงล่างปานกลาง ในส่วนเรื่องประหยัดน้ำมันเหมือนที่เราใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งไม่ได้ประหยัดน้ำมันเท่าไหร่ ส่วนในเรื่องของโหมดต่าง ๆ ทั้ง ECON Mode Normal Mode และ Sport Mode ก็สามารถใช้ในการขับขี่ประจำวันได้
เรื่องของระบบความปลอดภัย เราได้ลองใช้ระบบ Cruise Control ซึ่งตัวเซ็นเซอร์ด้านหน้าของ Honda Sensing ตอบสนองได้ไว สมูทมากและเมื่อคันหน้าออกตัวแต่เรายังหยุดนิ่งไม่ออกตัวไป ระบบจะช่วยเตือนให้เราเหยียบคันเร่งซึ่งแตะเบา ๆ เพื่อเข้าสู่ในโหมด Cruise Control ก็ยังตามคันหน้าไปแบบสมูท
ในเรื่องไฮไลท์ของรถคันนี้คือตัว Panoramic Glassroof ทุกคนสงสัยว่ามันเหมาะกับถนนเมืองไทยไหม ซึ่งเราขอตอบเลยว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่นักแต่สิ่งที่ได้เลยคือความสวย ความเท่ หากขับกลางคืนเยี่ยมเลยทีเดียวแต่ถ้ากลางวันจะมีความอุ่น ๆ และเรื่องของระบบปรับอากาศก็มีเรื่องของ Diffusion ที่มาช่วยในการปรับเรื่องของแรงลมโกรกรอบรถทำให้อุณหภูมิในรถคงที่และยังเร่งความเย็นได้อย่างรวดเร็ว และหากถามว่ารถคันนี้เหมาะใคร เราคิดว่าเหมาะกับคนทุกคนไม่ว่าจะมีครอบครัวหรือไม่มีครอบครัวเพราะการใช้งานทำกิจกรรมต่างๆ และการเดินทางทำได้ดี จะเดินทางคนเดียวหรือมีคุณพ่อคุณแม่เดินทางไปด้วยก็ได้เพราอย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเบาะนั่งสบายไม่เมื่อยตัว ทำให้คนในครอบครัวสะดวกสบายเวลาเดินทางไปรถคันนี้และเบาะของฮอนด้าพับได้ 3 แบบ ซึ่งถืออว่าตอบโจทย์มากสำหรับมีกิจกรรมหรือใช้งานนอกเมืองบ้างเล็กน้อย
การที่เราไปออกทริปครั้งนี้เราได้เจอกับ HR-V รุ่นก่อนอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือมิติของตัวรถ ความกว้าง ความยาวและความสูง ตัวรุ่นใหม่จะใหญ่กว่าและจุคนได้มากกว่า นั่งสบายกว่า อีกทั้งเครื่องยนต์ยังดีกว่าแต่ราคาก็สมน้ำสมเนื้อ ในตัวใหม่มีการพัฒนาขึ้นทั้งกระจังหน้า ไฟหน้า และตัวรถ ซึ่งตัวเก่าเป็นรถญี่ปุ่นแต่รุ่นใหม่นั้นออกไปทางยุโรป สำหรับคนที่เป็นเจ้าของตัวเก่าอาจคิดหนักว่าจะอัปเกรดดีไหม ซึ่งมีมีให้เลือกถึง 3 รุ่น ได้แก่รุ่น E EL และ RS ซึ่งทั้ง 3 รุ่นก็มีราคาที่แตกต่างกัน ก็ต้องชั่งน้ำหนักกันว่าเหมาะกับรุ่นไหนตัวไหนมากกว่ากัน แต่ถ้าเทียบระหว่างคู่แข่งต่าง ๆ ก็อยู่ที่ความชอบของแต่ละคนว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน ถ้ากำลังตัดสินใจเลือกรถครอสโอเวอร์สักคันที่มีระบบไฮบริดหรือว่าระบบ HEV ตัวนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง