Owner’s Favourite “ดีเจภูมิ” หรือ คุณภูมิใจ ตั้งสง่า

Proud to be Poom

เมื่อพิธีกรฝีปากกล้า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนาม “ดีเจภูมิ” หรือ คุณภูมิใจ ตั้งสง่า ได้คุยโวกับเราถึงรถยนต์คู่ใจที่ใช้ไปไหนมาไหนอย่างเจ้า Lamborghini Gallardo มาดูกันเถอะว่า อะไรคือเหตุผลโดนใจที่เจ้า super car คันดังกล่าว ทำให้ชายหนุ่มมากความสามารถผู้นี้รู้สึกถูกใจและใช่เลย

OWNER’S PROFILE 

คุณภูมิใจ ตั้งสง่า

อายุ 35 ปี

อาชีพ นักจัดรายการวิทยุ, พิธีกร

รถยนต์ที่ใช้ Lamborghini Gallardo 

“เชื่อมั้ยว่า ตอนที่ผมมีเงินสดในบัญชีกว่า 20 ล้าน ไม่มีใครสนใจผมเลยสักคน เขามองว่า ผมก็แค่ดีเจธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่พอวันที่ผมจ่ายเงินค่าบ้านไปประมาณ 10 ล้าน แล้วก็ซื้อเจ้า Lamborghini Gallardo คันนี้มาอีกในราคาพอๆ กัน จนผมเหลือสตางค์ในบัญชีเพียงแค่ 50,000 บาทเท่านั้นแหละ ทุกคนกลับมองผมว่า พี่ภูมิหล่อ พี่ภูมิดี พี่ภูมิเก่งกันหมดเลย 

ใน Instagram ของผมนะ จากที่มีคนติดตามกด like เพียงพันกว่าๆ หลังจากที่ได้เจ้ารถคันนี้มา ยอด like ก็เพิ่มขึ้นถึง 8,000-9,000 คน ทุกคนต่างบอกว่า ความคิดผมดีเลิศ วิถีชีวิตผมยอดเยี่ยม ทั้งๆ ที่ผมเขียนเรื่องชีวิตมาเป็นปีๆ ไม่เคยมีใครอ่าน แต่พอผมได้มันมาเท่านั้น งานยิ่งเข้า คุณค่าของผมก็ยิ่งเปลี่ยนไป”

จากคำให้การซึ่งถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดียนี้เอง หากจะเรียก Lamborghini Gallardo คันนี้ว่า ‘ตัวเงินตัวทอง’ ก็อาจจะดูไม่เป็นมงคลเท่าไหร่นัก

แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ไปซะแล้วว่า เพียงเพราะรถยนต์สีดำทะมึนหนึ่งคัน กลับส่งให้เกือบทุกอย่างในชีวิต เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งๆ ที่เจ้าของยนตรกรรมตัวแรงคันนี้ ชายหนุ่มซึ่งในวันที่มีการสนทนากับเราปรากฎกายในชุดภูมิฐาน ดูเป็นผู้ที่เปี่ยมพลัง และมากด้วยความสามารถ คุณภูมิใจ ตั้งสง่า หรือ ‘ดีเจภูมิ’ บอกกับเราว่า “ผมซื้อมันมาเพราะประชดสังคม” เท่านั้น

ไม่ต้องตกใจครับ ที่คุณอ่านผ่านไป นี่คือถ้อยคำที่พิธีกรฝีปากกล้าบอกกับเรามาเช่นนั้นจริงๆ ว่าแต่ประชดสังคมที่ว่า ประชดประเด็นไหนกันล่ะ? ดีเจภูมิได้เล่าทีเด็ดให้เราฟังดังต่อไปนี้

“พอดีผมได้เงินมาถึงจุดๆ หนึ่ง คือมีเงินอยู่ก้อนหนึ่งนั่นแหละ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะซื้อมันมาหรอก แต่มีคนปรามาสผมไว้เยอะ แม้ว่าผมจะไม่ได้อินกับคำดูถูกเหล่านั้นเท่าไหร่นัก ทว่าบางทีก็หมั่นไส้เหมือนกันนะ เพราะทำอะไรก็เหมือนจะผิดไปเสียหมด และประจวบเหมาะกับตอนนั้นมีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 10 ล้าน ก็เลยเอาวะ ซื้อมาเล่นๆ สักคันก็แล้วกัน เท่านั้นแหละ ชีวิตเปลี่ยนเลย”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้ เราอาจจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหมือนเป็นการให้เกียรติแก่เหตุผลจริงๆ ที่ผู้เล่าได้ถ่ายทอดแก่ผู้ฟัง ถึงอย่างนั้น เมื่อได้เป็นเจ้าของ และได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับมันไปสักพัก ดีเจภูมิกลับแสดงความภูมิใจต่อรถยนต์คันนี้ออกมาอย่างจริงใจให้เรารู้ ซึ่งถึงแม้เรื่องราวจะไม่ใช่สตอรี่อารมณ์รักแรกพบคล้ายกับในละคร แต่ก็อย่างที่หลายๆ คนทราบ ชีวิตจริงๆ แม้อาจจะเริ่มต้นไม่เหมือนกัน ทว่ามันก็สามารถลงเอยแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างในซีรี่ย์ที่ทำให้ผู้คนอินหลายๆ เรื่องได้

“ตอนแรกซื้อมาก็เฉยๆ นะ เพราะมันเป็นรถมือสอง แต่ก่อนนี้จะซื้อแต่มือหนึ่งตลอด ทว่าต่อมาก็รู้สึกภูมิใจ แล้วก็รักมัน รถคันนี้นำพาความรู้สึกดีๆ มาให้เยอะแยะ  ผมสามารถพูดได้เลยว่า นี่คือผลพลอยได้จากความสำเร็จของผม อย่างไรก็ตาม ผมจะพูดอยู่เสมอว่า สิ่งที่คุณเห็นอยู่ มันเป็นเพียงแค่จุดหมายปลายทาง แต่ความสำเร็จ มันคือการเดินทางต่างหาก

ผมไม่ได้ตื่นขึ้นมา แล้วก็ได้ครอบครองมันเลยนะ ผมค่อยๆ ก้าว ค่อยๆ เก็บประสบการณ์ ค่อยๆ เก็บเงิน หาเงิน หาโอกาส เหนื่อยนะ แต่ไอ้ระหว่างทางแบบนี้นี่แหละ คือความสำเร็จที่ผมพูดถึง ซึ่งเมื่อผมเก็บได้ หาได้ ผมก็แค่ซื้อมันมา”

เอาล่ะ … ได้ยินได้ฟังมาก็พอสมควร ถึงเรื่องราวที่รถยนต์คันนี้มอบให้ ภายหลังจากที่ได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเกือบหนึ่งปี ทีนี้มาดูกันบ้างดีกว่าว่า หลังจากที่ได้อยู่กับมัน ใช้งานมัน และขับขี่มัน ดีเจฝีปากกล้าผู้นี้จะพูดถึงมันในแต่ละแง่มุมเอาไว้อย่างไรกันบ้าง

สมรรถนะเครื่องยนต์

“รถยนต์คันนี้มันไม่เหมือนกับคันอื่นๆ ที่ผมมี อนุภาพความรุนแรง ความดุเดือด และความบ้าระห่ำของมันเนี่ยให้อารมณ์ถึงใจวัยโจ๋มาก คือลึกๆ แล้ว ผมเป็นคนรักความเร็วอยู่บ้างนะ และคันนี้มันก็ให้ฟิลลิ่งแบบนั้นได้ แตกต่างกับรถคันอื่นๆ ที่มันไม่ถึง

ทั้งนี้ กับเรื่องสมรรถนะของมันเนี่ยถือว่าสุดยอดมาก เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุดถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 560 แรงม้า ซึ่งสำหรับผมแล้วมันคือขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เกิดมาเคยนั่ง เหยียบทีนี่ขี้แตกเลยครับ

ด้านในส่วนของระบบเกียร์ คันนี้จะเป็นเกียร์ออโต้ แล้วก็มี paddle shift ซึ่งผมว่า โดยรวมแล้วมันใช้งานง่ายเลยล่ะ แต่ส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยได้ใช้ไอ้เจ้า paddle shift สักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะใช้ไม่ค่อยเป็น อย่างไรก็ตาม ระบบเกียร์ออโต้ที่ผมใช้ประจำก็มีอาการกระชากให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งถ้าใช้ paddle shift ก็คงไม่เกิดอาการแบบนี้ เนื่องจากเราจะเป็นฝ่ายควบคุมมันทั้งหมดนั่นเอง”   

การขับขี่และการควบคุมรถยนต์

“รถยนต์คันนี้นับว่าสมบูรณ์แบบเลยครับ โดยเจ้า Lamborghini Gallardo เนี่ยจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เพราะฉะนั้น เรื่องของการเกาะถนน เรื่องของออกตัว รวมไปถึงเรื่องของการเข้าโค้งเนี่ย คือใส่เท่าไหร่ก็ไม่มีหลุด ซึ่งผมคิดว่า มันจะแตกต่างกับรถยนต์ super car อย่างของ Ferrari อยู่บ้าง ซึ่งกับเจ้าม้าลำพอง มันจะให้อารมณ์เหมือนพยศหน่อยๆ คือเวลาออกตัวหรือเข้าโค้ง มันจะหลุดง่าย แม้ว่านี่ถือว่าเป็นเสน่ห์ของมันก็ตาม

สำหรับในส่วนของพวงมาลัยนั้น รถยนต์คันนี้ก็มีพวงมาลัยที่ตอบสนองดีมาก น้ำหนักของมันก็จัดว่าเบา ไม่มีปัญหาเลยไม่ว่าจะขับขี่ในเมืองหรือว่าต่างจังหวัด ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับเรื่องของช่วงล่างที่ก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกันครับ แต่ผมก็จะหลีกเลี่ยงเวลาเจอกับถนนที่ขรุขระเสมอนะ อย่างไรก็ดี  ผมคิดว่ามันเป็นรถยนต์ super car ที่ใช้งานในทุกวันได้เลยล่ะ”  

เบื้องหลังพวงมาลัย

“เรื่องทัศนวิสัยการมองเห็น สำหรับผมแล้ว รถยนต์คันนี้ถือว่าโอเคเลยนะ แม้ว่าจะมีจุดบอดที่เยอะกว่ารถยนต์ทั่วไปอยู่พอสมควรก็ตาม ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับเบาะนั่ง คือจริงๆ แล้ว มีรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งใช้รถรุ่นเดียวกัน เคยขู่ผมอยู่ว่า เบาะนั่งแบบ bucket seat ในรถประเภทนี้ส่วนใหญ่ เวลานั่งแล้วจะรู้สึกไม่สบายเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ดี รถยนต์ของผมจะไม่ใช่แบบนั้น มันจะออกแนวแบบ luxury seat หรือเบาะนั่งแบบดีๆ ที่ปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งให้ความสบายค่อนข้างมากทีเดียว” 

ระบบสาระบันเทิงและอุปกรณ์ต่างๆ  

“รถยนต์คันนี้แทบไม่มีอะไรเลยครับ คือมันก็เป็นไปตามสไตล์ของรถยนต์ประเภทนี้นั่นแหละ จริงๆ แค่เบาะนั่งปรับระดับได้ที่ผมติดตั้งเอาไว้เนี่ย หลายคนก็เลือกที่จะไม่เอาแล้ว คนที่เล่นรถยนต์ super car มักจะชอบอะไรที่เปลือยๆ เปล่าๆ เพราะพวกเขาเน้นหนักไปที่เรื่องของน้ำหนักที่เบาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม กับเจ้า Lamborghini Gallardo ของผม มันจะถูกขับเน้นเรื่องของความสบายด้วย ดังนั้น วิทยุจึงต้องมี ซึ่งตำแหน่งการจัดวางของปุ่มปรับต่างๆ ก็โอเค คือแม้ว่าจะต้องหันหน้าออกจากถนนบ้าง แต่ภาพรวมก็ได้อยู่”

คุณภาพและความน่าเชื่อถือ

“ภายในผมเฉยๆ นะ มันไม่ค่อยมีอะไรอย่างที่บอก ถึงอย่างนั้น รถยนต์คันนี้จะโดดเด่นที่ภายนอก เพราะผมไปเสริมแต่งใหม่เยอะเหมือนกัน อย่างไรก็ดี ถ้าจะให้ว่ากันเรื่องของภายในล่ะก็ แม้ว่าจะมีการตกแต่งด้วยหนัง แต่ผมว่ามันไม่ค่อยทนทานสักเท่าไหร่นะ ยกตัวอย่างเช่น ผ้า Alcantara เนี่ยก็เริ่มแย่แล้ว จึงจำเป็นต้องเปลี่ยน เป็นต้น”

ความปลอดภัยและระบบกันขโมย

“Lamborghini Gallardo คันนี้จะมาพร้อมกับกล้องมองหลังที่ถูกติดตั้งเอาไว้ให้ เพราะว่ากระจกมองหลังมองไม่เห็นอะไร นอกจากนี้ มันยังมีระบบปรับโหมดการขับขี่มาให้ทั้งสิ้น 3 โหมด ได้แก่ Normal Mode, Sport Mode และ Corsa Mode ด้วย ซึ่งอย่างหลังสุดเนี่ยจะเอาไว้สำหรับการลงสนามแข่งโดยเฉพาะ ขณะที่ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี หรือ Traction Control, ระบบเบรก ABS รวมไปถึงถุงลมนิรภัย ก็จะถูกติดตั้งเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งหมดก็จะประมาณเท่านี้แหละครับ” 

ความสุนทรีย์ในการขับขี่

“เสียงท่อของรถยนต์คันนี้ทำให้ผมประทับใจมาก คือเรื่องท่อเนี่ยผมสั่งนำเข้ามาจากอเมริกาเลย ซึ่งให้ความกังวาลและเพราะแบบสุดๆ อย่างไรก็ดี ในเรื่องของเสียงลมนั้น คันนี้นี่เนี๊ยบเลยครับ แต่ก็มีเสียงแกร็งๆ นิดหน่อยมาให้ได้ยินเหมือนกัน อันนี้ผมก็ไม่ทราบว่า มันคืออะไร ซึ่งให้ช่างดูก็หาไม่เจอ ขณะที่เสียงถนนก็น้อย นั่งคุยกับเพื่อนนี่ ไม่มีปัญหาเลย เช่นเดียวกับเสียงเครื่องที่ก็เข้ามาไม่มาก ถึงขนาดต้องเปิดหน้าต่าง ถ้าต้องการจะได้ยินมัน”

พื้นที่และการใช้งานจริง

“อยากจะบอกว่า มันใช้ขนอะไรไม่ได้เลยครับ คือต้องบอกว่า ด้านหน้าเนี่ยมันจะมีคล้ายๆ กับ ‘หลุม’ เล็กๆ อันหนึ่ง ซึ่งอาจจะเก็บกระเป๋าถือเล็กๆ สักใบ หรือของน้อยๆ อย่างกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสักตัวสองตัวได้เท่านั้น นอกเหนือไปจากนี้คงไม่ไหวครับ”

การซื้อและการเป็นเจ้าของ

“ผมซื้อรถยนต์คันนี้มาสิบล้านนิดๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้ต้องบอกว่าคุ้มค่ามาก ราคาก็ยังไม่ตกเท่าไหร่ มือสองยังคงอยู่ที่ประมาณสิบสี่ล้านอยู่เลย ถึงอย่างนั้น หากว่ากันถึงค่าน้ำมันล่ะก็ ผมต้องบอกว่า มันซดแหลกกินจุมาก ทั้งนี้ ผมเติมอยู่เต็มถังก็จะราวๆ สี่พันบาท ซึ่งสี่พันบาทนี้ก็จะวิ่งได้ประมาณไปกลับสนามบินสุวรรณภูมิสองรอบนั่นเอง”

OWNER’S POINT