Overview Of Car
Mini รุ่นพิเศษจำนวนจำกัด 60 คันในไทย เสริมภาพลักษณ์ภายนอกให้โดดเด่นและเท่ยิ่งขึ้น มาพร้อมการขับขี่แบบ Go-Kart Feeling อันเป็นเอกลักษณ์ ให้คุณสนุกสนานในทุกจังหวะที่กดคันเร่ง ราคา 2,859,999 บาท
เมื่อพูดถึงรถที่บ่งบอกถึงตัวตนและสไตล์ของเจ้าของได้มากที่สุดคงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่า Mini อีกแล้ว นี่คือรถที่แค่มองก็รู้สึกได้ถึงความสนุก ขี้เล่น น่ารัก และเป็นมิตร จนมันสามารถครองใจผู้คนทั่วมายาวนานกว่า 60 ปี Mini ธรรมดาที่เป็นทรงแฮทช์แบ็กก็จัดว่าโดเด่นแล้วเมื่อโลดแล่นบนท้องถนน แต่ความโดดเด่นนั้นจะดับเบิ้ลขึ้นไปอีกเมื่อเจอกับ Mini Cooper S ที่มีคำว่า Oxford Edition ต่อท้าย
Mini Cooper S Oxford Edition คือการอัพเกรดเพิ่มความพิเศษลงไปให้เป็นมากกว่ารถ Mini ที่คุณเคยเห็นด้วยการการตกแต่งใหม่รอบคันและสีตัวถังพิเศษเรียบหรูในสไตล์ผู้ดีอังกฤษ โดย Mini รุ่นพิเศษนี้มีเพียง 60 คันในเมืองไทย เปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วที่งาน Motor Expo 2018 แต่…แต่…ยังขายไม่หมดนะขอบอก ที่สำคัญคือมีให้เลือก 2 ตัวถังทั้งแบบ 3 ประตูและ 5 ประตู อยากจะเด่นแบบไหน เชิญได้เลย
และวันนี้เราอยู่กับ Mini Cooper S Oxford Edition ตัวถัง 5 ประตูสุดหล่อ ราคาค่าตัว 2,859,999 บาท พื้นฐานของมันคือ Mini Hatch เจนเนอเรชั่นล่าสุด F57 ที่เพิ่งถูกปรับโฉม (LCI) ให้มีความสดใหม่ เพิ่มลูกเล่นเก๋ๆ เข้าไปให้ชวนมองมากขึ้น รายละเอียดหลายๆ อย่างยังคงความคลาสสิกไว้ ซึ่งมันเป็นดั้งเสน่ห์ที่แฟนๆ มินิต่างหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น ไปดูกันดีกว่าว่าเจ้า Oxford Edition คันนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
สเปครถยนต์
Body Style: | Hatchback |
---|---|
Description: | แฮทช์แบ็กขนาดเล็ก 4 ประตู 5 ที่นั่ง |
Engine: | เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร TwinPower Turbo |
Fuel Consumption: | 17.4 กม./ลิตร (ค่าโรงงาน) |
Fuel Type: | เบนซิน |
Make: | MINI |
Max Power: | 192 แรงม้า ที่ 4,700 รอบต่อนาที |
Max Torque: | 280 นิวตันเมตร ที่ 1,250 – 4,000 รอบต่อนาที |
Model: | Mini Cooper S 5-Door Oxford Edition |
Price Guide: | 2,859,999 บาท |
Release Date: | พฤศจิกายน 2018 |
0-100 km/h: | 6.8 วินาที |
Transmission: | เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด |
ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์
Mini Cooper S Oxford Edition ที่คุณเห็นอยู่นี้ใช้พื้นฐานตัวถัง เครื่องยนต์ และฟังก์ชั่นต่างๆ จากรุ่นแฮทช์แบ็ก 5 ประตูทั้งหมด การตกแต่งภายนอกของรถคันนี้ใครเห็นก็ต้องเหลียวมอง เริ่มตั้งแต่เรือนร่างสีน้ำตาล Pure Burgundy ตัดด้วยหลังคาและกระจกมองข้างสี Melting Silver พร้อมด้วยอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษของ Oxford Edition ประกอบด้วย ล้ออัลลอยลายขอบ 17 นิ้ว สีดำลาย Cosmos Spoke แถบสติกเกอร์คู่สีดำ เอกลักษณ์ของ MINI Cooper S ที่ฝากระโปรงหน้าและประตูท้าย
ไฟหน้าทรงกลม กรอบไฟเปลี่ยนจากโครเมี่ยมมาเป็นสีดำ Paino Black เพิ่มลูกเล่นเป็นไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลท์ LED แบบวงแหวนซึ่งเป็นไฟเลี้ยวในตัวด้วย กรอบกระจังหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำเงา Paino Black แปะตรา S เพื่อบ่งบอกว่านนี่คือรุ่น Cooper S เหนือกระจังขึ้นไปเป็นตราโลโก้ Mini ที่เพิ่งปรับดีไซน์ใหม่ในรุ่น LCI นี่เอง ดูทันสมัย เรียบง่าย มินิมอล ถัดขึ้นไปเป็นช่องรับอากาศบนฝากระโปรงหน้าที่เพิ่มภาพลักษณ์ความดุดันได้เป็นอย่างดี กันชนหน้ามีช่องรับอากาศสี่เหลี่ยม 2 ช่อง พร้อมไฟตัดหมอกทรงกลมลงตัวกับหน้าตาโดยรวมของรถ
มือจับประตูและฝาปิดถังน้ำมันเป็นสีดำ Paino Black บริเวณไฟเลี้ยวตรงแก้มข้างประทับตรา Oxford Edition บ่งบอกตัวตนชัดเจน ไฟท้าย LED รูปธงยูเนียน แจ็ค แห่งประเทศอังกฤษเป็นความโดดเด่นที่ขับไปที่ไหนก็มีแต่คนมองและรู้ทันทีว่านี่คือ Mini กรอบไฟเปลี่ยนจากโครเมี่ยมเป็นสีดำ Piano Black เสริมความสปอร์ตด้วยกันชนท้ายลายตะแกรงรังผึ้งสีดำเว้ารับปลายท่อคู่ตรงกลางอย่างสวยงาม และสปอยเลอร์สีเดียวกับหลังคา
รุ่นตัวถัง 5 ประตูเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้า-ออกรถของผู้โดยสาร ระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 72 มม. ช่วยให้พื้นที่เบาะหลังไม่คับแคบเหมือนรุ่น 3 ประตู พื้นที่เหนือศีรษะก็เพิ่มขึ้น ห้องเก็บสัมภาระท้ายใหญ่ขึ้น การออกแบบที่ดีทำให้เจ้า Oxford Edition มีรูปร่างที่สมส่วนและดูสปอร์ต
ภายในพิเศษกว่าที่เคย
ภายนอกว่าเจ๋งแล้ว ภายในก็เจ๋งไม่แพ้กัน ความพิเศษของเจ้า Mini Oxford Edition ก็คือการใช้เทคโนโลยี 3D Printing หรือการพิมพ์แบบ 3 มิติ พิมพ์ป้ายชื่อรุ่น Oxford Edition มาปักไว้ตรงด้านข้างของเบาะ แถมบริเวณแดชบอร์ดฝั่งผู้โดยสารยังตกแต่งด้วยพลาสติกลายคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมลวดลายที่เน้นคาแร็กเตอร์สไตล์รถอังกฤษด้วยไฟเรืองแสงลายธงยูเนียนแจ็ค มันจะแสดงสีตามไฟบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ตอนกลางคืนจะโดดเด่นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ที่พวงมาลัยยังแปะตราธงชาติยูเนียนแจ็ค รวมถึงด้านหลังของหมอนรองศีรษะก็เป็นลายธงยูเนียนแจ็คด้วย แสดงตัวตนเป็นรถอังกฤษอย่างเต็มภาคภูมิ
ลายละเอียดอื่นๆ ยังคงเหมือนกับรุ่นแฮทช์แบ็ก 5 ประตู เราชอบการออกแบบที่แฝงไปด้วยลูกเล่นที่ดูสนุกสนาน กล้าคิดกล้าทำ ไม่ว่าจะเป็นมือจับประตู หน้าจอระบบสาระบันเทิง แผงหน้าปัด ปุ่มเครื่องปรับอากาศ แผงปรับประจกหน้าต่าง แผงควบคุมที่คอนโซลกลาง ช่องแอร์ ที่เท้าแขนต่างๆ ทุกอย่างเล่นกับวงกลมดูเป็นธีมเดียวกันทั้งห้องโดยสาร วงแหวนไฟ LED รอบหน้าจอกลางจะเปลี่ยนสีไปตามเมนูบนหน้าจอ และแสดงผลแบบ Interactive เช่นเพิ่มระดับเมื่อเพิ่มวอลลุ่ม เป็นต้น มีไฟบรรยากาศหลายสีให้เลือกปรับได้ตามอารมณ์
ในความทันสมัยก็ยังแฝงความคลาสสิกเอาไว้อย่างน่าปรบมือ ที่เห็นได้ชัดก็คือหน้าปัดที่ยังเป็นเข็มแบบเข็มอนาล็อกอยู่ รวมถึงเบาะนั่งที่ต้องปรับด้วยมือทั้งหมด และก้านเบรกมือขนาดใหญ่ จุดที่เราชอบอีกอย่างคือปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์สีแดงที่มีลักษณะเป็นสวิตช์งัดขึ้น-ลงคล้ายกับรถแข่งโบราณ ให้อารมณ์เก่าๆ ได้พอสมควร
แม้การออกแบบจะเต็มไปด้วยลูกเล่นแต่คุณภาพวัสดุและงานประกอบไม่ใช่เล่นๆ ทุกอย่างละเอียดและประณีตตามมาตรฐานรถยุโรปสมกับราคาค่าตัว ตกแต่งด้วยวัสดุซอฟต์ทัชจำนวนมากทั้งบนแดชบอร์ดและแผงประตู ตัดด้วยชิ้นส่วนสีดำเงา Piano Black พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมด้วยปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและควบคุมความเร็ว น่าเสียดายที่ไม่มีแพดเดิลชิฟท์มาให้
Mini Oxford Edition ของเรามาพร้อมกับความบันเทิงเต็มรูปแบบ โดดเด่นด้วยหน้าจอระบบสาระบันเทิงแบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ, Apple CarPlay, Android Auto มีช่องเสียบ USB 2 ช่อง ฟังก์ชั่นใช้งานครบครัน มีระบบนำทาง Navigation และรองรับการเชื่อมต่อผ่านแอพฯ MINI Connected จุดที่น่าสังเกตุคือระบบเสียง Harman Kardon ถูกตัดออกไป คุณภาพเสียงที่ได้จึงเป็นรองรุ่นแฮทช์แบ็ก
จากการใช้งาน หน้าจอกลางของ Mini Oxford Edition มีความคมชัด สีสันสดใส หน้าตาเมนูสวยงามใช้งานง่าย ระบบมีความลื่นไหลมากๆ การควบคุมทำได้ง่ายผ่านแป้นหมุนที่คอนโซลกลางเหมือนรถ BMW อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจก็คือ Head-up display ที่จะคอยแสดงผลความเร็วที่ขับรวมถึงแสดงผลระบบนำทางซึ่งใช้งานจริงแล้วสะดวกมาก
มาต่อกันเรื่องพื้นที่ ด้วยความที่ Mini Oxford Edition นั้นแทบจะเหมือนกับ Mini Hatch 5 Door ในทุกๆ ส่วน พื้นที่ภายในก็เช่นกัน คุณจะเข้า-ออกรถได้อย่างสะดวกสบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตำแหน่งนั่งขับไม่ต่ำมากทำให้ไม่ต้องก้มตัวมุดเข้ามา (ยกเว้นจะตัวสูงมากๆ) ทัศนะวิสัยหน้ารถดี กระจกมองข้างทรงกลมทำให้บางจังหวะมองแล้วยังไม่ค่อยเคลียร์ มุมมองผ่านไหล่ไปกระจกบานหลังชัดเจน พื้นที่เบาะหน้ามีเพียงพอกับคนตัวสูง 180 ซม. ตัวเบาะนั่งเป็นแบบปรับมือทั้งหมด มีความนุ่ม นั่งสบายและโอบกระชับลำตัวได้ดี พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง สูง-ต่ำ-เข้า-ออก
พื้นที่เบาะหลังนั่ง 2 คนได้สบายๆ ถ้าคนตัวสูงมานั่งยังมีที่ว่างช่วงศีรษะและที่ว่างช่วงขาเหลือๆ พนักพิงปรับเอนได้ ตัวเบาะนุ่ม นั่งสบาย เบาะหลังตัวกลางไม่เหมาะกับการนั่งนานๆ เพราะแคบและมีช่องวางแก้วมาบังตรงช่วงขา
พื้นที่เก็บสัมภาระของ Mini Oxford Edition ใหญ่พอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เดินทางไกล 1 – 2 คนยังพอไหว ขอบห้องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ พื้นห้องค่อนข้างลึก พนักเบาะหลังพับแยกได้แบบ 60/40
สนุกทุกครั้งที่กดคันเร่ง
ทันทีที่กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงทุ้มๆ ของเครื่อง เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ลั่นออกจากท่อคู่อย่างไพเราะน่าฟัง เห็นรถคันเล็กๆ แบบนี้แต่แท้จริงแล้วพาฝูงม้ามาด้วยถึง 192 ตัว กับแรงบิด 280 นิวตันเมตร ลองนึกดูว่าเมื่อวางเท้ากดคันเร่งแล้วจะมันส์ขนาดไหน
ไม่รอช้า เราพาเจ้า Mini Oxford Edition มุ่งหน้าออกนอกเมืองทันที เมื่อกดคันเร่งคุณจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงอันหนักหน่วงพร้อมกับเสียงท่อดังกระหึ่มอยู่ด้านหลัง มันเป็นอะไรที่เร้าใจอย่างมาก เกียร์ 1 ลากรอบขึ้นไปสูงประมาณ 5 พันรอบ ก่อนจะตบเข้าเกียร์ 2 โดยไม่มีรอยสะดุด รถพุ่งทะยานจากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ได้อย่างรวดเร็ว มันตื่นเต้นเร้าใจกว่าที่เราคิดไว้พอสมควรเลยล่ะ
ที่ความเร็วเดินทางทาง การคิ๊กดาวน์ต้องกระแทกแป้นคันเร่งไปจนสุด รอจังหวะนิดนึงก่อนที่เกียร์จะชิฟท์ลงต่ำพร้อมกับรอบเครื่องที่ดีดขึ้นสูง จากนั้นคุณจะรู้สึกถึงแรงดึงที่น่าประทับใจ การเร่งแซงตอบสนองได้รวดเร็วจนคุณไม่ต้องกังวลว่าจะแซงไม่พ้นรถพ่วง 18 ล้อ
เกียร์ DCT 7 สปีดให้อารมณ์ดิบและสนุกสนานอยู่แล้วเป็นทุนเดิม มันมีความฉลาด ฉับไว ตอบสนองดีไม่ว่าจะขับด้วยกลวิธีแบบไหน จังหวะเปลี่ยนเกียร์มีความนุ่มนวลไร้ซึ่งรอยต่อ จะมีสะดุดเล็กๆ ก็ตอนจังหวะลดเกียร์ที่ความเร็วต่ำ ซึ่งไม่ทำให้เสียอารมณ์แต่อย่างใด ถ้าอยากได้ฟีลลิ่งแบบสปอร์ตที่เข้มข้นขึ้นไปอีก ให้คุณดันเกียร์มาที่ M และใช้การควบคุม +/- ด้วยตัวเอง นั่นแหละคือความสุขของคนที่รักการขับขี่อย่างแท้จริง จะลากรอบหรือทำเอนจิ้นเบรกเท่าไรก็ได้ ซึ่งการตอบสนองของเกียร์ในตำแหน่ง M นี้ก็ฉับไวไม่มีดีเลย์
รถยนต์ Mini ของแท้ต้องให้ความรู้สึกแบบ Go-Kart Feeling ซึ่งเจ้า Oxford Edition ของเราก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คุณจะรู้สึกได้ถึงความแน่น หนึบ กระด้าง แต่ยังไม่เท่าตัวแฮทช์แบ็ก 3 ประตู ทุกแรงสะเทือนบนพื้นถนนทั้งรอยปะ รอยต่อต่างๆ หลุม ร่อง เนิน คุณจะรับรู้ได้หมด แต่ช้าก่อน ที่เราบอกไปมันไม่ใช่ข้อเสีย ทั้งหมดนี้คือเอกลักษณ์ของรถ Mini ที่แฟนๆ เข้าใจและหลงใหลจนเป็นที่มาของคำว่า Go-Kart Feeling ความแข็งกระด้างพวกนี้ก็มาพร้อมกับความหนึบแน่นเกาะถนนเสมือนติดกาวไว้ที่ล้อ คุณสามารถใช้ความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ รวมถึงการมุดเปลี่ยนเลนก็ทำได้อย่างกระฉับกระเฉง ยิ่งเข้าโค้งยิ่งรู้สึกเลยว่าหนึบมาก อาการโยนมีน้อย รถไหลผ่านโค้งได้แบบเนียนกริบ บอกเลยว่าถ้าขับบนถนนลาดยางใหม่ๆ ที่ผิวทางยังเรียบอยู่ล่ะก็ความรู้สึกเหมือนขับในสนามดีๆ นี่เอง
ระบบบังคับเลี้ยวของ Mini Oxford Edition ปรับเซ็ตมาแบบสปอร์ตจากโรงงาน คุณจะรู้สึกได้ถึงความหนักตั้งแต่ความเร็วต่ำ การหมุนควงพวงมาลัยขณะถอยจอดอาจต้องออกแรงหน่อย ระยะฟรีพวงมาลัยที่น้อยทำให้การควบคุมทิศทางหน้ารถทำได้ง่ายและค่อนข้างไว ตอบสนองต่อการหักเลี้ยวได้แม่นยำ พอใช้ความเร็วสูงจะรู้สึกได้ทันทีว่าพวงมาลัยหนักแน่นและมั่นคง จากความหนืดที่ค่อนข้างมากเกินไปในความเร็วต่ำพอเป็นความเร็วสูงจะรู้สึกว่าพอดี ส่งผลต่อการควบคุมขณะเข้าโค้งที่จะรู้สึกว่าขับง่าย เที่ยงตรงและแม่นยำ
แป้นเบรกของ Mini Oxford Edition ตอบสนองได้ดี มีแรงต้านการเหยียบเป็นธรรมชาติ ระยะฟรีไม่มากทำให้กะน้ำหนักการเหยียบได้ง่าย มีความนุ่มนวล การหน่วงความเร็วสัมพันธ์การน้ำหนักการเหยียบ เบรกหนักๆ จากความเร็วสูงก็เอาอยู่หมด
เรื่องการป้องกันเสียงอยู่ในเกณฑ์ดีตามาตรฐานรถแฮทช์แบ็ก ถ้าเอาไปเทียบกับพวกรถหรูคงสู้ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่นี่คือรถวัยรุ่น มันต้องมีเสียงให้รู้สึกเร้าใจหน่อย ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. คุณจะเริ่มได้ยินเสียงลมลอดเข้ามาตามขอบหน้าต่าง เสียงถนน เสียงยาง ก็เริ่มดังขึ้นตามมา ถึงตอนนี้คุณอาจต้องเพิ่มวอลลุ่มเพื่อจะฟังเพลงโปรดแบบชัดๆ หรือต้องเริ่มพูดคุยกันด้วยระดับเสียงที่ดังขึ้นจากปกติ
Mini Oxford Edition ของเรามี 3 โหมดขับขี่คือ GREEN, MID และ SPORT เราขับ MID เป็นหลักซึ่งก็ให้อารมณ์ความสนุกได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว พอกด SPORT ปุ๊ปความเร้าใจก็เพิ่มขึ้นทันทีเพราะเครื่องยนต์และเกียร์จะเปลี่ยนนิสัยเป็นดุดันยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ทำงานที่รอบสูงขึ้น เกียร์ไวขึ้น ลากรอบยาวมากขึ้น เสียงท่อที่หล่ออยู่แล้วก็ยิ่งหล่อขึ้นไปอีก พวงมาลัยที่หนักขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ช่วงล่างก็จะแข็งขึ้นอีกเล็กน้อย
สรุปความน่าใช้
Mini Oxford Edition คือความโดดเด่นที่ไม่ว่าขับไปที่ไหนก็มีแต่คนเหลียวมอง มันคือรถที่ได้รับการตกแต่งให้แสดงตัวตนความเป็นรถอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งหล่อ ทั้งเท่ ทั้งดูดี เหมาะกับผู้ขับที่ชอบความมีสไตล์มากกว่าประโยชน์ใช้สอย ถ้าคุณเลือกเป็นเจ้าของ รับรองเลยว่าคุณจะไม่เกร่อแน่นอนเพราะเวอร์ชั่นนี้มีเพียง 60 คันในไทย
ด้านการขับขี่ Mini Oxford Edition ยังคงเป็นรถที่ขับสนุกและขับมันส์ตามสไตล์ Go-Kart Feeling ที่เปรียบดั่งเอกลักษณ์ของตน รถคันนี้พร้อมมอบความสุขให้กับผู้เป็นเจ้าของทุกครั้งที่เปิดประตูเข้ามานั่งหลังพวงมาลัยพร้อมกับสตาร์ทเครื่องและขับออกไปโลดแล่นบนท้องถนน ความเล็กและความคล่องแคล่วทำให้มันขับดีทั้งในเมืองและออกต่างจังหวัด มันเป็นรถที่เหมาะกับคนที่ชอบขับขี่อย่างแท้จริง
เราไม่อยากพูดถึงความคุ้มค่ากับราคาค่าตัว 2,859,999 บาทเพราะนี่คือเวอร์ชั่นพิเศษที่เหมาะกับการเก็บสะสมในโรงรถ ซึ่งผู้ใช้รถ Mini ส่วนใหญ่มองว่ามันเป็นมากกว่ารถใช้งาน มันคือของมีค่า มันคือคุณค่าทางจิตใจ คนที่ชอบยังไงก็คือชอบ และ Mini Oxford Edition ก็พร้อมจะเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ดีตลอดไป
The Review
Mini Cooper S Oxford Edition
ขับสนุก ปราดเปรียว ว่องไว คล่องตัว ได้ฟีลแบบรถโกคาร์ทขนานแท้ เสริมด้วยความโดดเด่นจากการตกแต่งภายนอกและภายในห้องโดยสารที่มีแบบนี้เพียงแค่ 60 คันเท่านั้นในเมืองไทย
PROS
- ฟีลลิ่งการขับขี่แบบโกคาร์ท ขับสนุก ปราดเปรียวและคล่องตัว
- เครื่องยนต์ทรงพลัง อัตราเร่งจี๊ดจ๊าด เสียงท่อกระหึ่มเร้าใจ
- ตกแต่งแบบพิเศษ มีเพียง 60 คันในเมืองไทย
- สีตัวถังพิเศษ สีน้ำตาล Pure Burgundy
- ภายในอารมณ์ดิบและคลาสสิค
- ห้องโดยสารตอนหลังนั่งสบาย
- ห้องเก็บสัมภาระจุได้เยอะ (สำหรับรถขนาดเล็ก)
CONS
- ถ้ามองหาความสบาย เงียบ ขับขี่นุ่มนวล มองข้ามไปได้เลย
- ระบบความปลอดภัยมีน้อย
- ระบบช่วยขับขี่มีน้อย
- ไม่ประหยัด
Review Breakdown
-
Driving
-
Engine & Trans
-
Fuel Consumption
-
Practicality
-
Price and Features
-
Design
-
Saftey