BMW X5 และ BMW X6 มีกำหนดส่งมอบรถในเดือนกรกฎาคมนี้ คู่แข่งจะได้รับการเปลี่ยนแปลงสไตล์เล็กน้อย ควบคู่ไปกับระบบส่งกำลังแบบเบนซินและดีเซลที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้มีรูปแบบของการใช้พลังงานไฟฟ้า
การปรับเปลี่ยนอื่นๆ ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Mercedes-Benz User Experience (MBUX) ที่อัปเดตพร้อมฟังก์ชันการอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ over-the-air และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ใหมม่
GLE Coupé ได้รับชุดแต่งสไตล์ AMG Line ที่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในกันชนหน้า, กระจังหน้าธีมเพชร, กาบซุ้มล้อแบบไล่โทนสี, กาบบันไดสไตล์เฉพาะตัว รวมถึงไฟหน้าและไฟท้ายที่ปรับเปลี่ยนในทำนองเดียวกัน อีกทั้งมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกของ Mercedes-Benz GLE ได้แก่ กันชนหน้าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่, ไฟหน้า LED ที่ปรับเปลี่ยน, การออกแบบล้อใหม่และไฟท้ายที่ปรับปรุงใหม่
นอกจกานี้ภายในมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นใหม่จาก S-Class พร้อมปุ่มสัมผัส ชุดสี และการตกแต่งแบบใหม่ มาพร้อมระบบปฏิบัติการ MBUX ยังได้รับการปรับปรุงด้วยซอฟต์แวร์ใหม่ ทำให้ GLE มีฟังก์ชั่นร่วมสมัยมากขึ้น รวมถึงมุมมองกล้องใหม่และกราฟิกข้อมูลสำหรับรุ่นที่ระบุด้วยแพ็คเกจเสริม Off-Road และยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบใหม่ ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบแอ็คทีฟ Mercedes-Benz Distronic และแพ็คเกจที่จอดรถใหม่พร้อมรองรับกล้อง 360 องศา
Mercedes ยังได้เพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่ให้กับอุปกรณ์เสริม Trailer Assistant ซึ่งจะควบคุมมุมบังคับเลี้ยวโดยอัตโนมัติ ตอนนี้สามารถเคลื่อนที่ถอยหลังได้สูงสุด 90 องศา ผ่านส่วนควบคุมในหน้าจอสัมผัสส่วนกลางขนาด 12.3 นิ้ว และความสามารถในการลากจูงสูงสุดของรถยังคงอยู่ที่ 3,500 กก.
สิ่งใหม่สำหรับ GLE คือฟังก์ชันสมาร์ทโฮมของ Mercedes ระบบจะเชื่อมต่อเครือข่าย SUV ใหม่กับที่อยู่ที่เลือกโดยใช้ WLAN และเซ็นเซอร์ ทำให้ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบได้ว่ามีใครอยู่ที่บ้านหรือไม่ผ่านข้อความ “Hey Mercedes มีใครอยู่บ้านไหม” คำสั่งเสียง นอกจากนี้ยังช่วยให้ไฟ ม่าน เครื่องทำความร้อน และเครื่องใช้อื่นๆ สั่งงานได้จากระยะไกลจากรถ SUV
GLE ที่ปรับโฉมใหม่จะมีเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลแบบไฮบริดสามรุ่น รวมถึงระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริดแบบเบนซิน-ไฟฟ้าและดีเซล-ไฟฟ้า และขุมพลัง AMG ในรุ่นที่สืบทอดต่อจากรุ่นท็อปของ GLE 63 S
ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ขุมพลัง ที่ได้ทำการพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Integrated Starter Generator เพื่อให้ทำงานในลักษณะ Mild-hybrid แรงดันไฟฟ้า 48V ในรุ่น GLE 450 4MATIC GLE 300 d 4MATIC และ GLE 450 d 4MATIC
ในขณะที่รุ่น Plug-in hybrid อย่าง GLE 400 e 4MATIC ที่เพิ่มเข้ามาใหม่เสริมทัพรุ่น GLE 350d e 4MATIC มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จล่าสุดของ Mercedes ซึ่งเครื่องยนต์ M254 มาแทนที่ M272 ซึ่งให้กำลัง 249 แรงม้า และแรงบิด 351 นิวตัน-เมตร อีกทั้งทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งระบบเกียร์ซึ่งพัฒนาเป็น 134 แรงม้า และ 441 นิวตัน-เมตร ให้กำลังรวมที่ 375 แรงม้า ซึ่งมากกว่าเดิมประมาณ 47 แรงม้า และ 601 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 31.2 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 92-105 กิโลเมตร
ในส่วนของ AMG มีสองรุ่นในกลุ่ม GLE ที่ปรับโฉม ได้แก่ GLE 53 และ GLE 63 S ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ แถวเรียงเทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตร (M256) ของ GLE 450 ที่มีแรงม้า 429 แรงม้าเท่าเดิม แต่ได้เพิ่มมีแรงบิดให้กับรุ่น 53 4MATIC+ อีก 41 นิวตัน-เมตร รวมเป็น 560 นิวตัน-เมตร สิ่งนี้อ้างว่าช่วยลดเวลา 0.3 วินาที ในเวลา 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหลือ 5.0 วินาที พร้อมกับความเร็วสูงสุดที่ควบคุมไว้ที่ 249 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ยังไม่รวมแรงบิดอีก 250 นิวตัน-เมตร EQ Boost จากมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator (ISG) กำลังสูงสุดชั่วขณะ 22 แรงม้า) ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+
เช่นเดียวกับรุ่นพี่ 63 S 4MATIC+ ที่ก็ได้รับกำลังเสริมจาก ISG รุ่นเดียวกัน แต่ให้พละกำลังรวมที่ทรงพลังกว่าด้วยเครื่องยนต์ เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 612 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ ตามเคย