Mercedes-Benz GLB 200 AMG DYNAMIC เป็นรุ่นที่อยู่ในช่วงรอยต่อของ GLA และ GLC โดยใช้แฟลตฟอร์มเดียว กับ GLA
รุ่นนี้มีฐานล้อ 2.8 เมตร ซึ่งจะเท่ากับฐานล้อของ GLC โดยรุ่นนี้ใช้ชุดแต่งแบบ AMG Package ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 2,990,000 บาท และอีกหนึ่งรุ่นคือ Progressive โดยราคาอยู่ที่ 2,899,000 บาท ซึ่งต่างกัน 91,000 บาท
ทางด้านเครื่องยนต์ใช้งานเครื่องตัวเดียวกันกับ A200 หรือ GLA 200 รุ่นอื่นๆมาพร้อมกับ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.3 ลิตร กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 7G-DCT 7 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 210 km/h และ ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ประมาณ 15 กิโลเมตรต่อลิตร และมีความเร็ว 0-100 กม./ชม. ที่ 9.1 วินาที
ถ้าใครเคยเห็นรุ่น GLS รุ่นพี่ใหญ่ก็จะเห็นว่าเหมือน GLS ขนาดย่อส่วนลงมาและมีความดุดันในเรื่องของกระจังหน้าและไฟหน้าที่ออกแบบเป็นเหลี่ยมมีความคล้ายครึ่งกับ GLS ในส่วนมิติตัวถังของ GLB มีความกว้างของตัวถังอยู่ที่ 1.8 เมตร ความยาว 2.6 เมตร และความยาวจากหลังคาถึงพื้น 1.6 เมตร
กระโปรงรถจะเห็นได้ว่ามีเส้นสายที่เป็นสองเส้นคู่โดยจะเรียกว่า Power Dome ซึ่งเป็นการออกแบบดีไซน์ของ Mercedes-Benz ยุคหลัง ซึ่งไม่ว่าจะเป็น GLE หรือ GLS ก็จะเห็นเส้นสายตัวนี้เช่นกันที่จะมาเสริมเรื่อง Aero Dynamic และความสวยงามทำให้รถดูมีความพริ้วไหวมากขึ้น
จุดเด่นของ AMG line รุ่นนี้ก็คือกระจังหน้าจะมีความโดดเด่นพิเศษเป็นลาย Diamond grill จะเป็นลักษณะคล้ายรังผึ้งแบบสามมิติ ไฟหน้าเป็น LED Projector ซึ่ง เป็น LED High Performance โดยเวลาฝนตกไฟก็จะพุงตัดเม็ดฝนออกไปทำให้เราเห็นทัศนวิสัยด้านหน้าได้ไกล อีกทั้งเวลากลางคืนก็ส่องสว่างได้กว้างไกลเช่นกัน ในรุ่นนี้เป็นไฟปรับสูงต่ำอัตโนมัติ ด้านข้างไฟหลักเป็นไฟ Day time running นอกจากนี้มี Bumper ด้านหน้าเป็นตัวรับลมด้วยช่วยในเรื่องของการระบายความร้อนและ Aero Dynamic อีกทั้งมีชายขอบด้านหน้ารถที่เป็นโครเมียมที่ดูสวยงาม
ถัดมาที่ราวหลังคาซึ่งคันนี้มีแร็คหลังคามาให้ด้วย เป็นสีโครเมียมแบบด้านเจาะสามตำแหน่งทำให้ดูแข็งแรง ถ้าหากใครเป็นสายแคมป์ปิ้งหรือสายเดินทางเราสามารถเอาตัวที่เป็นแร็คหลังคามาใส่ได้แต่ไม่น่าจะเกิน 100 กิโลกรัม มาพร้อมกับเส้นสายโครเมียมที่ชายขอบหน้าต่างและชายขอบประตูถึงแม้ว่าจะเป็นสไตล์เอสยูวีหรือคอสโอเวอร์แต่ก็ยังเสริมความหรูหรามากับเส้นโครเมียม
ล้อและยางของ GLB รุ่นนี้มาพร้อมกับลายแม็ก five twin Spoke ที่จะเป็นเหมือนรูปดาวมีการรมดำสลับกับโครเมียมโดยมีขอบขนาด 19 นิ้ว และใช้ยาง 235/50 R19 ทั้งล้อหน้าและหลัง อีกทั้งมีดิสก์เบรคขนาดใหญ่แต่ไม่มีรูระบายอากาศทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยส่วนตัวแล้วเราชอบแม็กลายนี้เพราะรู้สึกว่ามันเข้ากับตัวรถนอกจากนี้มาพร้อมกับขอบซุ้มล้อที่เป็นพลาสติกเป็นแบบเข้ารูปไปกับตัว Body รถดูแข็งแรง
กระจกมองข้างมาพร้อมกับไฟเลี้ยว LED แต่ไม่มีกล้องมองรอบคันมาให้ ส่วนกระจกมองข้างฝั่งคนขับก็จะเป็นตัดแสงอัตโนมัติซึ่งเราชอบเพราะว่าจะช่วยในเรื่องของแสงที่แยงตา ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นปรับอัตโนมัติเมื่อเราถอยหลังกระจกก็จะปรับองศาเองเข้ามาในตัวรถ
นอกจากนี้มีประตูที่ออกแบบให้ยาวตั้งแต่หลังคาจนถึงชายขอบด้านล่างของรถ ซึ่งขอบด้านล่างเป็นขอบพลาสติกที่เอาไว้กันพวกเศษกรวดเศษกันกระแทกต่าง ๆ และก็ยังมีตัวเส้นโครเมียมขนาดใหญ่ พี่พาดยาวตั้งแต่ประตูของผู้โดยสารตอนหน้าไปถึงประตูผู้โดยสารตอนหลัง โดยขอบพลาสติกนี้เป็นเกรดพรีเมียมหรือ ABS ทำให้เป็นรอยยาก ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้ไปลองขับมาเศษโคลนไม่กระเด็นเลอะมาถึงตัวรถแต่มันจะมาหยุดอยู่ที่ขอบพลาสติกตัวนี้ แต่ขอบพลาสติกนี้จะเป็นชิ้นเดียวกับตัวรถเลย มาพร้อมมือจับประตูเป็นสีเดียวกับตัวรถตับสลับกับโครเมียมซึ่งเป็นแบบ keyless go และสำหรับตอนที่ 3 ของที่นั่งก็ยังมีกระจกทำให้สามารถมองเห็นออกมาได้ด้วย
ด้านท้ายมีการออกแบบดีไซน์ที่เหมือนกับสปอยเลอร์ แต่จริง ๆ เป็นการออกแบบที่ทำให้รถดูไม่สูงจนเกินไป มาพร้อมกับไฟเบรกดวงที่สาม ก้านปัดน้ำฝนและโลโก้ Mercedes-Benz รุ่น GLB 200 อีกทั้งมีไฟท้ายเป็นชุดไฟท้ายแนวนอนมีเส้นสายด้านในซึ่งมีลักษณะคล้าย GLS โดยไฟท้ายจะถูกแบ่งเป็นสองก้อนโดยมาพร้อม LED ทั้งหมดและมีไฟตัดหมอกหลังมาในฝั่งขวา กรอบไฟสวยและเส้นไฟเลี้ยวดูมีมิติสวยงามและสว่างชัดเจน มาพร้อมกล้องมองหลังที่ถูกซ่อนไว้แต่เมื่อเราใส่เกียร์ถอยหลังกล้องตัวนี้จะโผล่ออกมา
ฝาประตูท้ายเป็นแบบเปิดปิดไฟฟ้า ซึ่งสามารถใช้ kick sensor ได้ นอกจากนี้เรายังตั้งค่าระยะการเปิดท้ายรถได้อีกด้วยหมายความว่า ถ้าเราเปิดท้ายรถขึ้นเราสามารถกดหยุดในระยะที่เราต้องการและกดค้างไว้จนมีเสียงแล้วพอเราเปิดครั้งต่อไปท้ายรถก็จะเปิดในระยะที่เราได้กำหนดไว้ในก่อนหน้านี้
กันชนด้านท้ายเป็นแบบชิ้นเดียวซึ่งจะมีโครเมียมกันรอยมาให้ด้วย ทำให้ดูรู้หรา พอแดดสะท้อนลงมาเกิดเป็นเงาก็ดูมีมิติมากขึ้น ในส่วนอื่นก็เป็นพลาสติกคิดจะช่วยกันเศษหินเศษกรวดต่าง ๆ อีกทั้งมีเซ็นเซอร์มาให้ 4 ตำแหน่ง และมีทับทิมไฟสะท้อนแสงมาให้ อีกทั้งมีดิฟฟิวเซอร์ขนาดใหญ่ทำให้ดูมีความสปอร์ตมากขึ้น มาพร้อมท่อไอเสียโครเมียมทรงวงรีทั้งสองฝั่งแต่เป็นแบบหลอก
สเปคเครื่องยนต์
Body Style | SUV |
Description | รถ SUV 5 ประตู |
Engine | เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.3 ลิตร |
Fuel Consumption | 15 กม./ลิตร |
Fuel Type | เบนซิน |
Make | Mercedes-Benz GLB 200 |
Max Power | 163 แรงม้า |
Max Torque | 250 นิวตันเมตร |
Model | Mercedes-Benz GLB 200 AMG DYNAMIC |
Price Guide | 2,990,000 บาท |
Release Date | 6 ตุลาคม 2565 |
0-100 km/h | 9.1 วินาที |
Transmission | เกียร์ Dual Clutch 7G-DCT 7 จังหวะ |
การขับขี่
ในเรื่องของการขับขี่ในเมืองขับง่ายพอสมควร รุ่นนี้มีโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Comfort และ Sport ซึ่งเราได้เริ่มขับออกมาได้ระยะหนึ่งพอสมควรโดยเราเริ่มเดินทางจากในเมืองออกมานอกเมือง ในระหว่างการเดินทางเราได้ใช้โหมด Eco ซึ่งโหมดนี้เป็นพวงมาลัยแบบไฟฟ้าทำให้มีพวงมาลัยที่น้ำหนักเบาพอสมควร ในการบังคับควบคุมในเมืองทำได้ง่ายทีเดียวอละไม่ต้องออกแรงเยอะด้วย สำหรับคุณผู้หญิงที่คิดจะใช้รถคันนี้บอกได้เลยว่าเหมาะมากๆ พวงมาลัยเป็นไฟฟ้าจะสามารถปรับได้ 2 ระดับ คือ Comfort และ Sport ซึ่ง Comfort จะเบาสบาย ขับง่าย ในรุ่นนี้มีช่วงล่างแบบธรรมดาไม่ใช่แบบไฟฟ้าทำให้ไม่สามารถปรับได้ ซึ่งทำอัตราสิ้นเปลือง 13 -15 กม./ลิตร ถ้าขับนอกเมือง
หากใช้อัตราเร่งตั้งแต่ 20 -70 กม./ชม. ขึ้นไปควรใช้โหมด Eco เพราะจะประหยัดน้ำมันที่สุด เพราะวา่ในขณะออกตัวเมื่อเหยียบคันเร่งจะมีช่วงปล่อยไหลของรอบเครื่องยนต์ทำให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าโดยแรงเครื่องยนต์ที่ยังเหลืออยู่ตอนที่เราปล่อยคันเร่งและมีเรื่องระบบ Start/Stop เข้ามาด้วย โดยเราสามารถกดปุ่มนี้ได้ขับขี่ในเมืองก็จะช่วยลดภาระเครื่องยนต์และประหยัดเชื้อเพลิงได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งเกียร์ 7 จังหวะ ทำได้สมูทและรื่นไหลได้ดีทีเดียว
ในโหมด Comfort ขับได้เรื่อย ๆ ไหลๆ เมื่อเร่งแซงจะมีระยะรอรอบพอสมควรและมีเสียงเครื่องยนต์เข้ามา พวงมาลัยที่ปรับแบบ Comfort ไว้จะมีฟรีค่อนข้างเยอะพอสมควรแต่ก็ไม่ได้ย้วย ถัดมาที่โหมด Sport สำหรับพวงมาลัยจะหน่วง ๆ หนักๆ ขึ้นมาเพื่อความมั่นคงในการขับขี่ความเร็วสูงโดยรอบมันจะจัดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโหมดนี้เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ๆ ที่ต้องการการเร่งแซงทำให้พวงมาลัยจึงหนักและหน่วงมากขึ้น ความคมในการเปลี่ยนเลนต่างๆ ก็จะมั่นใจมากกว่าโหมด Comfort
การขับขี่ที่ 70-100 กม.ชม. ไม่ได้นานเลยประมาณ 4-5 วินาที ซึ่งไม่ได้ช้าและกระโชกโฮกฮากจนเกินไป ตอนที่เหยยีบคันเร่งหลังไม่ได้ติดเบาะขนาดนั้นเพราะเกียร์ 7 จังหวัดจะค่อย ๆ ตัดมาแบบนุ่มนวลซึ่งดีมาก ในส่วนของเรื่องเสียงเราได้ยินแต่เสียงยางบดถนนและตรงเสาเอก็ไม่ได้มีเสียงเข้ามาถ้าไปต่างจังหวัดใครที่ชอบขับเร็ว ๆ แรง ๆ เน้นให้ขับเป็นโหมด Sport แต่ถ้าขับเรื่อย ๆ สบาย ๆ ปรับเป็นโหมด Comfort และพวงมาลัยอาจจะปรับเป็น Sport ก็ได้
เมื่อลองเบรกจากการขับที่ 100 กม./ชม. โดยไม่ได้กระทืบเบรกมากเป็นการค่อย ๆ เหยียบให้มันจมซึ่งทำได้ดีในอัตราความเร็ว 100-120 กม./ชม. เพราะจานเบรกค่อนข้างใหญ่และเป็นดิสก์เบรกทั้งล้อหน้าและหลัง
สุนทรียภาพขณะเดินทาง
แผงประตูด้านหน้าฝั่งคนขับจะเห็นได้ว่าการตกแต่งเป็น AMG line มีลักษณะเป็นหนังสีดำตัดสลับกับเดินด้ายสีแดงและมีแทรกลาย Carbon Kevlar ในรุ่นนี้เป็นเบาะปรับไฟฟ้าที่ละเอียดซึ่งสามารถปรับได้ 8 ทิศทาง และมี Memory จดจำตำแหน่งคนนั่งได้ 3 ตำแหน่ง มาพร้อมมือจับประตูโครเมียม ภายในรถจะตกแต่งเป็น AMG line ตัดสลับกับ Carbon Kevlar และโครเมียมด้านให้ความหรูหราที่แฝงไปด้วยความดุดัน
GLB นั้นมีหน้าจอกลางขนาด 10.25 นิ้วที่ รองรับระบบสัมผัส ซึ่งเป็นหน้าจอยาวรวมไปกับหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ มาพร้อมกับ MBUX ตัวใหม่ล่าสุด จอกลางรองรับ Android Auto , Apple CarPlay มาพร้อมระบบเนวิเกเตอร์แบบเรียลไทม์
พวงมาลัยสามารถปรับได้ 4 ทิศทาง หุ้มด้วยหนังเดินด้ายแดงดีไซน์ท้ายตัดรูปตัว D แต่ยังคงเป็นแบบเก่าอยู่ ฝั่งด้านขวาเป็นระบบการขับขี่ต่าง ๆ สามารถเข้าไปปรับเซตค่าต่าง ๆ ที่ในจอมาตรวัดได้เลยและยังมีปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control มาให้ อีกทั้งมาพร้อมกับระบบ Speed Limit ฝั่งซ้ายเป็นระบบ Infotainment ต่าง ๆ ที่จอกลาง เกียร์มาในรูปแบบก้านที่อยู่หัวมือซึ่งการย้ายมาตรงนี้เพราะต้องการเพิ่มพื้นที่ของคอนโซลกลางให้มีพื้นที่การใช้งาน นอกจากนี้ยังมาพร้อม Paddle Shift
ช่องแอร์เยอะทีเดียว สำหรับแอร์ด้านหน้ามีลมแอร์ที่แรงมีดีไซน์ที่เรียกว่า ไอพ่น อิงค์เจ็ท บริเวณแดชบอร์ดจะมีไฟเรืองแสงมาให้ด้วยไปจนถึงขอบประตู ที่วางขาและมาถึงคอนโซลกลางโดยมีให้เลือกถึง 64 เฉดสี ถัดลงมาบริเวณคอนโซลกลางมี่ที่วางของและช่องเสียบ USB-C มาให้และตำแหน่งวางกุญแจ ในส่วนของ Touch Pad จะช่วยในเรื่องการควบคุมหน้าจอ Infotainment มาพร้อมปุ่ม Direct Key ต่างๆ อีกทั้งยังรวมระบบโหมดการขับขี่ต่าง ๆ รวมไปถึงมีปุ่มกล้องที่ช่วยเรื่องการจอดรถมาพร้อมปุ่มการเข้าไปตั่งค่ารถยนต์ทั้งภายนอกและภายใน นอกจากนี้มีตัวรองข้อมือมาให้ด้วย โดยภาพรวมในการตกแต่งเป็น Gloss Black ดำเงาทำให้เสริมความดุดัน หรูหราเข้ามา
เบาะเป็นหนัง ใช้วัสดุ Artico ตัดสลับ Dinamica Microfibre ทำออกมาได้สวยงาม ซึ่งดีไซน์ออกมาเป็นทรงสปอร์ต ปรับได้ 8 ทิศทาง และมาพร้อมกับปุ่มดันหลังทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยข้างคนขับ นอกจากนี้ยังสามารถปรับรับน่องได้อีกด้วยแต่เป็นแมนนวล ถัดมาที่ที่วางแขนเมื่อเปิดขึ้นจะมีช่องเสียบ USB-C มาให้ และใส่ของได้และมีขนาดค่อนข้างใหญ่วางของแขนได้สบาย
ด้านบนไม่มีหลังคาพาโนรามิกซันรูฟและหุ้มผ้าสีดำทำให้ดูสะอาดตา ในส่วนของไฟส่องสว่างด้าหน้าเป็นแบบคริสตัล LED มาพร้อมปุ่มบริการของ Mercedes-Benz ที่มีไว้สำหรับช่วยเหลือผู้ขับขี่และปุ่ม SOS นอกจากนี้มีกระจกมองหลังตัดแสงมาให้ด้วยซึ่งจะมีเซ็นเซอร์ที่เกี่ยวกับระบบความปลอดภัยอยู่ในตำแหน่งนี้ด้วย ในตำแหน่งของเบาะนั่งทำให้รู้สึกเหมือนโซฟา เหมือนเป็นรถเอ็มพีวีเมื่อนั่งแล้วขาจะถูกทิ้งลงไปข้างล่างเหมือนโซฟาทำให้ขับทางไกลสบาย สำหรับคนที่สูง 180 ซม. ฝั่งคนขับนั่งแล้ว Head Room ยังเหลือเยอะ
สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมีขอบประตูตกแต่งแบบเดินด้ายแดงและมีมือจับเป็นโครเมียม ในส่วนของเบาะแถวที่สองสำหรับคนที่สูง 180 ซม. จะเห็นว่าหลังคาสูง Head Room ยังเหลืออีกเยอะ สำหรับเบาะด้านหลังเป็นหนังกลับสลับกับหนังและเดินด้ายแดงให้สัมผัสที่นุ่มสบาย แต่ในช่วงน่องอาจจะไม่ได้พอดีขามากนักสำหรับคนตัวสูง ตัวเบาะยังสามารถปรับได้อีกเยอะถ้าเราเลื่อนบอกไปข้างหลังอีกจะทำให้เหลือพื้นที่ในการวางขาเพิ่มมากขึ้นและมีที่วางแขนมาให้ด้วยขนาดกำลังพอดีมาพร้อมกับที่วางแก้วที่เป็นวัสดุแบบ soft touch ในส่วนของเข็มขัดนิรภัยมีมาให้ทั้งหมด 3 ตำแหน่งและมีที่ล็อกเบาะเด็ก Isofix มาให้ทั้งซ้ายและขวา ซึ่งที่นั่งเบาะแถวที่สามก็มีมาให้เช่นกัน ในรุ่นนี้ไม่มีแอร์หลังมาให้แต่สำหรับการทำความเย็นก็ยังสามารถใช้ได้ถ้ารถเคลื่อนตัวไปซักระยะหนึ่งแล้วเปิดลมแอร์แบบออโต้แต่แถวสามต้องรอจากแถวสองไปก็อาจจะใช้เวลาในการทำความเย็นพอสมควร นอกจากนี้มีพอร์ต USB บริเวณตรงคอนโซนกลางที่วางแขนผู้ขับขี่ด้านหน้า
สำหรับแถวที่สามหากจะขึ้นไปนั่งต้องพับเบาะแถวสองลงก่อนโดยจะมีเชือกอยู่ที่ด้านข้างเบาะเพื่อให้พับลงและเลื่อนเบาะไปข้างหน้าเพื่อก้าวไปนังแถวที่สาม ซึ่งสามารถพับได้ทั้ง 3 เบาะ มันก็จะค่อนข้างลำบากสักนิดในการขึ้นไปนั่งแถวที่สามอีกทั้งพื้นที่ในการวางขามีนิดเดียว ซึ่งเบาะมีลักษณะเป็นแนวหลุม สำหรับคนสูง 180 ซม. นั่งแล้วไม่ได้รู้สึกสบายมันจะเหมาะสำหรับเด็กที่อายุตั้งแต่ 3-10 ขวบ มากกว่าหรือว่าจะเป็นคนที่อาจจะตัวเล็กสักหน่อยแต่ทั้งนี้ก็ยังมีที่วางแก้วน้ำมาให้รวมไปถึงเข็มขัดนิรภัย นอกจากนี้ยังมีเบาะพนักพิงที่สูงทำให้ไม่เมื่อยคอแต่ก็จะเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ขับขี่ที่จะมองมาด้านหลัง
ถ้าพับเบาะนั่งแถวสามลงไปและแถวสองนั่งปกติก็จะสามารถเก็บได้ประมาณ 630 ลิตร แต่หากเราพับทั้งแถวสองและสามลงจะเห็นได้ว่าพื้นที่เก็บสัมภาระใหญ่มากเลยทีเดียวโดยมันสามารถจุได้ประมาณ 1,800 ลิตร และที่เราได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าเบาะนั่งมีลักษณะเป็นหลุมทำให้เมื่อเวลาพับเบาะลงมันจะมีลักษณะระนาบเป็นทางยาวต่อเนื่องกัน หากใครที่ชอบทำกิจกรรมสามารถขนของใส่จักรยานหรือว่าเอาเบาะยางปูนอนได้เลย
ระบบความปลอดภัย
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
- โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติแบบแอคทีฟ Active Brake Assist
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
- ไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน Adaptive Brake Light
- ระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- ระบบจำกัดความเร็ว
- ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ASSYST
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tyre Pressure lose warning
- ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Attention Assist
- เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด PARKTRONIC
- ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
- ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างป้องกันศีรษะ 4 ตำแหน่ง
- ถุงลมนิรภัยหัวเข่าคนขับ
สรุปความน่าใช้
Mercedes-Benz GLB 200 AMG DYNAMIC สามารถที่จะทำความเร็วได้ดีพอสมควรทั้งที่มันมีน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะแต่มันกลับขับขี่ได้อย่างสมูท และในส่วนของอัตราเร่งก็ถือว่าทำได้พอใช้ในรถระดับครอสโอเวอร์แบบ 7 ที่นั่ง สำหรับโหมด Eco ที่ใช้ในเมืองเฉลี่ยแล้วทำได้ระมาณ 14-15 กม./ลิตร และเมื่อนอกเมืองนอกเมืองและใช้โหมด Comfort ที่ขับเร่งบ้างตั้งแต่ 80-120 กม./ชม. เมื่อเร่งทำความเร็วก็มีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ประมาณ 16 กม./ชม.แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคน
พวงมาลัยไม่ได้คมมากแต่ก็ไม่ได้ย้วยขนาดนั้น มันมีความพอดิบพอดี สำหรับพวงมาลัยที่เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าเราสามารถปรับความไวของพวงมาลัยได้ตามความต้องการของแต่ละคน ซึ่งช่วงล่างเป็นแบบ Comfort ไม่ได้เป็นแบบปรับไฟฟ้าแต่เน้นที่ความนุ่มเป็นสำคัญเพราะรุ่นนี้เป็นรถแบบครอบครัว สำหรับระบบความปลอดภัยมีแค่เตือนเบคกระทันหันและไม่มีระบบ Adaptive Cruise Control หรือความเร็วแปรผันจนถึงจุดหยุดนิ่งกับรถคันหน้า ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายเพราะว่าในรุ่นนี้ราคาก็เกือบ 3,000,000 บาท แล้วซึ่งถ้าให้ระบบ Adaptive Cruise Control มันจะขับสบายในระยะทางไกลมากขึ้นพอสมควร
GLB 200 AMG เป็นตัวประกอบนอกทั้งหมด ทาง Mercedes-Benz เองนำเข้ามาจากประเทศเม็กซิโกทำให้บอดี้มันจะคล้าย ๆ รถเอ็มพีวี เราสามารถใช้แทนเอ็มพีวีได้แต่เป็นสไตล์คอสโอเวอร์แบบยกสูงสามารถลุยได้น้ำท่วมขังฝ่าไปได้ อีกทั้งการขึ้นลงสะดวกถึงแม้ว่ารถจะดูมีบอดี้ที่สูงแต่ตำแหน่งในการก้าวขึ้นลงไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารด้านหลังแถวที่สองขึ้นได้ลงสะดวกไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือคุณพ่อคุณแม่ก็นั่งได้หากมีครอบครัวและไม่อยากใช้รถระดับ GLC
การประหยัดน้ำมันสำหรับเครื่อง 1,300 เทอร์โบ มีอัตราบริโภคน้ำมันเรียกได้ว่าประหยัดพอสมควรประมาณ 15 กิโลเมตร และเป็นรถครอสโอเวอร์แบบยกสูงที่สามารถขับขี่ไปในทางเรียบ ทางขรุขระหรือแม้กระทั่งกรุงเทพน้ำท่วมขังต่าง ๆ ก็สามารถฝ่าไปได้ และข้อดีอีกหนึ่งก็คือคันนี้ถึงแม้จะดูเป็นรถยกสูงแต่กาบประตูที่ก้าวขึ้นลงบอกแบบคล้ายกับรถเอ็มพีวีที่ขึ้นลงสะดวก
หากเราใช้เบาะที่นั่งแถวสามก็จะเก็บของได้น้อยลงซึ่งถือว่าน้อยมากทีเดียวเพราะอยู่ที่ 630 ลิตร คือใส่กระเป๋าก็อาจจะได้แค่ใบเดียวอาจจะต้องเทิร์นสูงขึ้นมาแต่รถก็ยังมีแร็คหลังคามาให้เสริมสำหรับมาให้ใส่สัมภาระที่ด้านบนได้ ส่วนอีกจุดหนึ่งก็คือแอร์ที่ไม่ได้ให้มาในแถวสองซึ่งค่อนข้างที่จะเป็นอุปสรรคสำหรับบ้านเราที่มีอากาศร้อนแต่ถึงอย่างไรก็สามารถที่จะสั่งสตาร์ทรถก่อนที่เราจะมาถึงรถได้ ในส่วนของระบบความปลอดภัยน่าจะมี blind sport มาให้
เราคาดการณ์ว่าหากต้องการรถคันนี้เงินในกระเป๋าของคุณต้องมีงบอย่างน้อย 200,000 บาทต่อเดือน เพราะว่าที่เราดูในตารางคำนวณหากเราดาวน์ 25% สำหรับ Mercedes-Benz GLB 200 AMG DYNAMIC ในราคา 2,990,000 บาท ที่เกือบ 3,000,000 บาท ซึ่งต้องดาวน์ประมาณ 700,000 กว่าบาท และหากผ่อน 48 เดือน แบบสั้น ๆ มีดอกเบี้ยในน้อย คำนวณง่าย ๆ เลยคือต้องจ่ายต่อเดือนประมาณ 50,000 บาท นิด ๆ
The Review
Mercedes-Benz GLB 200 AMG DYNAMIC
Mercedes-Benz GLB ต้องบอกว่ารหัสชื่อรุ่นนี้เป็นครั้งแรกของทางค่ายที่มีการเปิดตัวในรหัสนี้มา ซึ่งโดย GLB นั้นจะมาแทรกตรงกลางระหว่างตัว GLA – GLC โดยเป็น Crossover ที่รองรับการนั่งได้มากถึง 7 ที่นั่งเลยทีเดียว โดยราคาไม่ถึง 3 ล้าน ถือว่าคุ้มค่ากับการเป็น 7 ที่นั่ง
PROS
- ราคาเข้าถึงง่ายเมื่อเทียบกับค่ายอื่นในรถที่เป็น 7 ที่นั่ง
- รถยกสูงทำให้ลุยทางต่าง ๆ ได้ดี
- ประหยัดน้ำมันได้มาก
- รถสูงแต่ขึ้นลงสะดวก
- มีแร็คหลังคาเสริมมาให้
CONS
- ไม่มีหลังคากระจก
- ไม่มีแอร์ในแถวที่สอง
- ไม่มี blind sport
- ไม่มีระบบ Adaptive Cruise Control
- หากไม่พับแถวที่สามลงจะมีพื้นที่เก้บของน้อยมาก
- การขึ้นลงแถวสามลำบาก
Review Breakdown
-
Driving
-
Engine&Trans
-
Fuel Consumption
-
Practicality
-
Price and Features
-
Design
-
Saftey
Mercedes-Benz GLB 200 AMG DYNAMIC DEALS
We collect information from many stores for best price available