Mercedes-Benz AMG GLE 53 4matic+ เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงซึ่งเป็น GLE เจเนอเรชั่นที่ 4 ที่เปิดตัวไปที่งาน Paris Motor Show และได้นำเอามาโชว์ที่ประเทศไทยเมื่อปลายปี 2021 ซึ่งการทดสอบวันนี้เราจะไปดูกันว่ารุ่นนี้จะแตกต่างจาก GLE ธรรมดายังไง
AMG GLE 53 4matic+ เป็นส่วนหนึ่งใน sub-brand ของ Mercedes-Benz ซึ่ง Mercedes-Benz มี sub-brand ทั้งฟมด 3 sub ได้แก่ Mercedes-Benz Maybach, Mercedes-Benz AMG และล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว Mercedes-Benz EQ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้า
Mercedes-Benz AMG GLE 53 4matic+ โดดเด่นด้วยกระจังหน้าซึ่งจะแตกต่างจากรุ่นปกติคือมีลักษณะเป็นโครเมียมแนวตั้งและมีโลโก้ของ Mercedes-Benz ที่มีขนาดใหญ่ รวมไปถึงโลโก้ AMG ที่เป็นสัญลักษณ์ของรุ่นนี้
รุ่นนี้จะมากับ Night Package ที่มีเส้นสายสีดำเงาที่กันชนล่างซึ่งเป็นการเสริมคาวมดุดันเข้ามาเพราะว่าออกแนวเป็น SUV Sport นอกจากนี้มีไฟหน้าเป็น Multibeam LED ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของ Mercedes และจุดเด่นของ GLE คือมีเส้น Day Time Running 2 เส้น อีกทั้งยังสามารถปรับสูงต่ำในขณะที่รถวิ่งสวนมาได้ซึ่งก็คือเป็น Adaptive
ล้อแม็กเป็นลาย 5 แฉก และมีลายโครเมียมสลับกับสีดำด้านให้ความสปอร์ต และมีคาลิปเปอร์เบรกที่มีโลโก้ของ AMG ส่วนเบรกจะเป้นจากเบรกขนาดใหญ่และมีรุระบายความร้อนร่วมด้วย โดยซีรี่ส์ยางล้อหลังจะไม่เท่ากับด้าหน้า ซึ่งด้านหน้าเป็น 45 ส่วนด้านหลังเป็น 40 R 21 ดิสก์เบรกจะเหมือนกับด้านหน้าแต่จะไม่มีรูระบายอากาศ
กระจกมองข้ามสีดำเสริมความดุดันและมีกล้องติดมาให้ด้วยเพราะรุ่นนี้มีเทคโนโลยีกล้องมองรอบคัน ตามมาด้วยมือจับประตูแบบโครเมียมขนาดใหญ่ ซึ่งมือจับในรุ่นนี้เป็น Keyless Go โดยถ้าเรามีกุญแจเราเพียงสัมผัสมือจับประตูก็จะสามารถปลดล็อกรถได้ นอกจากนี้มีกาบบันไดข้างประตูรถที่เป็นโครเมียมมาพร้อมแล็คหลังคาสีดำ ซึ่งทำให้เห็นว่าเป็น SUV สปอร์ตที่สามารถขับไปลุยได้พอสมควร
ท้ายรถมีสปอร์ยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ตามาด้วยรหัส GLE 53 และที่ขาดไม่ได้เลยคือเครื่องหมาย AMG ซึ่งแสดงว่ารุ่นนี้เป็น GLE AMG รุ่นที่มีสมรรถนะสูงไม่ใช่ GLE ธรรมดา ส่วนไฟเบรกจะเป็นรุ่นใหม่คือ Block LED ลงมาที่ด้านล่างของรถจะมี diffuser ที่จะช่วยในเรื่องของ Aero Dynamic และยังมีท่อคู่รมดำแนวสปอร์ต มีสัญลักษณ์ AMG สำหรับท่อคู่นี้เมื่อเราปรับเป็นโหมดสปอร์ตเสียงจะคำรามเพื่อบอกว่าเป็นรถ SUV ที่มีสมรรถนะสูง
สเปคเครื่องยนต์
Body Style | SUV |
Description | รถ SUV 5 ประตู |
Engine | เครื่องยนต์เบนซิน แบบแถวเรียง / 6 สูบ พร้อมเทอร์โบ และอินเตอร์คูลเลอร์ |
Fuel Consumption | 6.5 กม./ลิตร |
Fuel Type | เบนซิน |
Make | Mercedes-Benz AMG |
Max Power | 435 แรงม้า |
Max Torque | 520 นิวตันเมตร |
Model | Mercedes-Benz AMG GLE 53 4matic+ |
Price Guide | 5990000 บาท |
Release Date | 31 กันยายน 2565 |
0-100 km/h | 5.3 วินาที |
Transmission | เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G transmission |
การขับขี่
หลังจากที่ได้ลองขับมาซักระยะหนึ่งโดยเราได้ลองในโหมด Comfort ซึ่งในโหมดนี้เป็นโหมดที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันของรถ Mercedes ขณะที่ขับขี่ปกติถือว่านุ่มนวลเพราะว่าตัวนี้เป็นโช๊คถุงลมปรับแบบอิสระต้องบอกเลยว่านุ่มนวลพอสมควรทีเดียว พวงมาลัยมีการฟรีเยอะกว่าโหมด Sport หรือ Sport+ ที่เราลองโหมดนี้ก่อนก็เพราะว่าหากเราซื้อคันนี้ไปในโหมด Comfort เราจะได้ใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งจะเป็นโหมดที่เราใช้บ่อยที่สุด
โดยเส้นทางที่เราขับคือกรุงเทพ-เขาใหญ่ ก็จะมีช่วงที่เร่งแซงและรถชะลอตัวหรือว่ารถบรรทุกขับหนาแน่นจำนวนมาก การเหยียบคันเร่งนในโหมด Comfort ก็ถือว่าตอบสนองได้ดีขับสบาย แม้ว่าจะเป็นรถใหญ่แต่พวงมาลัยในโหมดนี้ทำได้ค่อนข้างแม่นยำและเบา โดยพวงมาลัยในรุ่นนี้เป็นพวงมาลัยไฟฟ้า
ในโหมดสปอร์ตการเหยียบของคันเร่งถือว่าตอบสนองได้ดี แม้ว่าเราจะแต่แค่เบา ๆ ก็ตาม ซึ่งในตัวนี้จะมีมอเตอร์ที่เราเรียกว่า EQ BOOTS ซึ่งเป็นการทำงานของมอเตอร์จากทำงานในรอบเดินเบาของเครื่องยนต์สันดาปและจะทำงานร่วมกับส่วนต่าง ๆ ของรถที่เป็นไฟฟ้า
ในโหมด Sport+ สิ่งแรกที่รู้เลยก็คือรอบเครื่องจะจัดขึ้นและพวงมาลัยจะหน่วงขึ้นซึ่งช่วงล่างเป็นช่วงล่างแบบถุงลมปรับอิสระก็จะมีความแข็งตัวคือทำให้รถเกาะถนนดีขึ้น มอเตอร์ EQ BOOTS จากทำงานในรอบต่ำด้วยก็จะช่วยให้เพิ่มแรงม้าจากเดิมคือ 434 แรงม้า เพิ่มขึ้นมาอีก 22 แรงม้า และแรงบิดมาจากปกติ 520 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้นมาอีก 250 นิวตันเมตรก็จะทำให้ขับสนุกมากขึ้นในโหมด Sport+ ซึ่งเมื่อเหยียบเร่งแซงอาจจะต้องรอรอบนิดหนึ่ง ในส่วนของท่อไอเสียก็จะมีการปรับแต่งในเรื่องของเสียงเป็นสไตล์ AMG โดยจะเป็นในโหมด Sport และ Sport+ แต่ Sport+ เสียงจะชัดเจนกว่า ถือว่าตอบสนองได้ดีในเรื่องพวงมาลัยถือว่าคมเลยทีเดียวแต่ก็มีช่วงฟรีก็คือทำให้เราไม่ต้องไปจดจ่อกับพวงมาลัยมากเกินไป
ในส่วนของความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทาง Mercedes ได้ลงตัวเลขไว้ 5.3 วินาที ถือว่าใช้ได้พอสมควรเป็นรถเอสยูวีสไตล์สปอร์ตซึ่งแน่นอนว่าผู้ซื้อเองก็คือคนที่ต้องการขับรถเองและใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นรถขนาดใหญ่ที่สามารถพาครอบครัวไปได้
ส่วนระบบการขับขี่ของรุ่นนี้ เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นการควบคุมกระจายแรงหมุนของล้อแบบอิสระโดยกล่องสมองกลตัวนี้จะใช้กำลังการขับเคลื่อนของล้อหลังเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของระบบความปลอดภัยมีระบบเตือนรถมุมอับสายตาที่กระจกมองข้างทั้งสองด้านและระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลนและบังคับให้รถอยู่ในเลน แต่ว่าตัวนี้จะเสียก็คือว่าไม่มีระบบ Cruise Control และไม่ระบบ Adaptive Cruise Control มาให้ ซึ่งระบบตัวนี้ก็จะมีแค่ Speed Limit เท่านั้นเองและจอแสดงผลมาตรวัด Head up display ก็ไม่มีมาให้
จากการขับขี่ในเบื้องต้นจากกรุงเทพมาจนถึงเส้นทางที่มาสระบุรี นครราชสีมาก็มีเส้นทางที่ค่อนข้างหลากหลายแต่เรายังไม่ได้ไปลองในถนนที่เป็นถนนพวกลูกรังหรือว่าออฟโรดว่า GLE ตัวนี้จะตอบสนองในถนนที่เป็นเส้นทางขรุขระขนาดไหนแต่สำหรับการขับขี่โดยรวมแล้วในถนนปกติใช้งานได้ดีตอบสนองได้ดี สำหรับโหมด Sport ก็ใช้บ้างในช่วงเวลาที่เราอยากจะเร่งแซงและในโหมด Sport+ ก็คือเราต้องการรอบจัด ๆ ก็คือเร่งแซงรถรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ต้องการความเร็วแบบเหยียบมาอย่างเร็ว สำหรับ GLB ฒีอัตราการสิ้นเปลืองของน้ำมันของเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบหกสูบแถวเรียงที่มีกำลังของแรงม้า 434 แรงม้า จึงทำให้กินน้ำมันพอสมควรแต่ก็ถือว่าสมส่วนกับแรงม้าและแรงบิดที่ได้มาโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 6.5 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าเราขับแบบประหยัดโหมด Comfort ก็อาจจะได้ถึง 8 กิโลเมตรต่อลิตร
สุนทรียภาพขณะเดินทาง
เมื่อเข้ามาภายในอย่างแรกที่เราเห็นก็คือเบาะขนาดใหญ่ที่ใช้วัสดุ Arica ตัดสลับ Dinamica Microfibre สิ่งที่เราจะเห็นอยู่จะมีสัญลักษณ์ AMG และเดินด้ายแดงซึ่งตัดกับเบาะหนังสีดำทำให้ดูมีความสปอร์ตและสุขุมอยู่ในตัว
ถัดมาเป็นพวงมาลัยทรงสปอร์ตสไตล์เอเอ็มจีซึ่งตัวนี้จะเป็นหนัง Nappa และมี Mark Center สีแดงโดยมีท้ายพวงมาลัยเป็นท้ายตัดที่มีสัญลักษณ์ AMG อยู่ชัดเจนซึ่งส่วนนี้จะเป็นสีโครเมียมตัดสลับกับพวงมาลัยสีดำที่มีโลโก้เบนซ์ดูสวยทีเดียว และมี Paddle Shift มาให้ ซึ่งฝั่งซ้ายของพวงมาลัยจะเป็นเกี่ยวกับการบังคับควบคุมระบบ Infotainment ส่วนด้านขวาจะเป็นเรื่องของระบบการขับขี่หรือระบบความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีหน้าจอมาตรวัดขนาดใหญ่สอง 12.3 นิ้ว ที่แสดงเป็นภาพโดยเราสามารถปรับได้ตามอารมณ์การขับขี่และจะแสดงเรื่องของระบบการขับขี่ต่าง ๆ ด้วย ถัดมาจะเป็นเรื่องของระบบ Infotainment ที่มีขนาดจอเท่ากันคือ 12.3 นิ้ว ในจอนี้จะมีเรื่องของระบบเนวิเกเตอร์นำทางด้วยซึ่ง Maps นำทางตัวนี้เป็นการบันทึกลงในฮาร์ดดิสก์ก็จะมีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราขับคันนี้มาจากกรุงเทพโดยใช้แผนที่ในจอซึ่งก็ให้รายละเอียดทางที่ชัดเจน
ช่องแอร์ที่เราเห็นจะเป็นช่องลักษณะเหลี่ยมเป็นการแยกอิสระ ฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าจะมีอยู่ทั้งหมด 6 ช่องด้วยกัน โดยทางฝั่งคนขับจะเป็นช่องใหญ่ ส่วนตรงกลางมี 4 ช่องจะสามารถปรับอิสระได้ซ้ายขวาทะให้มีความเย็นทั่วถึง ไล่ลงมาจากช่องแอร์จะเป็นระบบแผงควบคุมปรับอากาศ อีกทั้งมีระบบระบายฝ้ามาให้อีกด้วย ในส่วนของคอนโซนกลางจะมีช่องเสียบ USB ที่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์กับระบบ Infotainment ของรถได้หรือจะเป็นตัวชาร์จไฟก็ได้ และมีช่องเสียบ Power Outlet ให้ด้วยถัดมาจะเป็นที่สำหรับวางแก้วที่มีขนาดใหญ่นอกจากนี้ยังมีตัวล็อกแก้วไม่ให้ขยับด้วย
ต่อไปจะเป็น Touch Pad ซึ่งเราสามารถที่จะควบคุมระบบ Infotainment ผ่านตัว Touch Pad ตัวนี้ได้ ในส่วนฝั่งขวาของ Touch Pad จะเป็นปุ่มควบคุม Radio Media หรือเกี่ยวกับโทรศัพท์ ทางฝั่งขวาจะเป็นปุ่มสำหรับใช้ปรับโหมดการขับขี่ต่าง ๆ ซึ่งโหมดการขับขี่มีทั้งหมด 7 โหมดได้แก่ Sand Trail, Slippery, Individual, Comfort, Sport และ Sport+ และมีปุ่มที่แสดงถึงกล้องมองรอบคันซึ่งจะเห็นชัดเจน โดยกล้องนี้จะช่วยในการถอยจอดทำให้ได้ทุกมุมหรือว่าไปในเส้นทางที่เป็นออฟโรดก็จะสามารถดูได้ว่ามีหลุมมีบ่อไหมหรือมีอุปสรรคอะไรบ้าง ส่วนอีกปุ่มจะไว้สำหรับตั้งค่าเกี่ยวกับรถยนต์ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นปุ่มช่วยเหลือต่าง ๆ นอกจากนี้มีปุ่ม ESP สามารถเปิดปิดได้แต่แนะนำว่าไม่ปิดดีกว่าเพราะว่าเป็นการช่วยเรื่องของเสถียรภาพในการควบคุมรถ ถัดมาเป็นปุ่มสำหรับปรับสูงต่ำของรถโดยปรับต่ำได้ถึง 60 มิลลิเมตร จากความสูงปกติและยกสูงได้ถึง 90 มิลลิเมตร ถัดมาเป็นปุ่มสำหรับปรับโชคอัพ อีกทั้งมีช่องเก็บของที่มีขนาดใหญ่ที่มี USB-C มาให้
มีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟซึ่งเป็นกระจกขนาดใหญ่กินพื้นที่ 80% ของหลังคารถ ทำให้รถดูโปร่งโล่งสบายซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับเมืองไทยแต่ว่าถ้ามีมามันก็ดีเผื่อเราต้องการขับขี่แบบเปิดดูทัศนวิสัยด้านบนสำหรับผู้นั่งหรือเปลี่ยนบรรยากาศในการขับขี่กลางคืนหลังคากระจกนี้ก็จะช่วยในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกที่เราอยากจะปรับเปลี่ยน นอกจากนี้ยังมีไฟ Ambient Light ที่สามารถปรับได้ถึง 64 เฉดสี
ห้องโดยสารตอนหลังมีเบาะที่เป็นเหมือนกับห้องโดยสารตอนหน้า ในส่วนของที่นั่งมีการออกแบบมาค่อนข้างที่จะรับกับแผ่นหลังเมื่อนั่งแล้วรู้สึกพอดีสำหรับคนสูง 180 ซม. เมื่อนั่งแล้วสบายไม่อึดอัดเพราะห้องโดยสารมีขนาดใหญ่นั่งสบาย อีกทั้งมีแอร์ด้านหลังมาให้ด้วยแต่ว่าไม่สามารถที่จะปรับอุณหภูมิได้แต่ปรับเปิดปิดช่องแอร์ได้ และมีช่องเก็บของบริเวณแอร์และที่เสียบสาย USB-C มาให้
แผงประตูการออกแบบก็เหมือนด้านหน้าและมีม่านบังแดดไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารข้างหลังซึ่งให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวและเข็มขัดนิรภัยด้านหลังมีให้มาทั้งหมดสามจุดเป็นเข็มขัดสีแดงแสดงถึงความเป็น AMG นอกจากนี้ก็มีที่ยึดสำหรับเบาะเด็ก isofix สองตำแหน่ง ในรุ่นนี้จะเป็นห้าที่นั่งจะต่างกับรุ่น GLE ปกติ
ด้านท้ายในรุ่นนี้มีฝาท้ายเปิดแบบไฟฟ้าซึ่งจะมีที่เปิดทั้งตรงคนขับหรือจากกดที่ท้ายรถก็ได้ หรือจะกดจากรีโมทก็ได้ ซึ่งพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายใน GLE 5 ที่นั่งมีขนาดใหญ่บรรทุกสัมภาระได้ประมาณ 600 กว่าลิตร และมีแผงบังสัมภาระมาให้ด้วย รุ่นนี้จะไม่มียางอะไหล่มาให้จะมีแค่ชุดซ่อมยางให้
เมื่อได้ลองปรับเบาะลงเราจะได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้นสำหรับคนที่ชอบทำกิจกรรมก็ถือว่าตอบโจทย์ นอกจากนี้ที่ด้านท้ายยังมีปุ่มที่สามารถกดให้รถโหลดลงต่ำได้สำหรับการขนของก็จะทำให้สะดวกมากขึ้น
สรุปความน่าใช้
เมื่อเราได้ลองขับในสภาพถนนที่ระยะทางรวมกว่าเกือบ 200 กิโลเมตรตัวนี้ ถือว่าตอบสนองได้ทันใจรวดเร็ว ความรู้สึกของผมที่ได้ขับเจ้าตัวนี้ผมรู้สึกว่าคันนี้เหมาะกับถนนเมืองไทยเพราะว่าระยะทางที่เราขับมาจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นหลุมบ่อ เส้นทางการทำถนนหรือซ่อมถนนแม้กระทั่งทางลาดชันขึ้นเขาหรือว่าทางโค้งต่าง ๆ เจ้าตัวนี้ตอบสนองได้ค่อนข้างดีแม้กระทั่งผมขับในโหมด Comfort จากในเมืองออกมาไม่ว่าจะเป็นคันเร่งหรือว่าเป็นเรื่องของพวงมาลัยการควบคุมนี้อาจจะไม่คมมากและการแตะคันเร่งอาจจะไม่รถเร็วหรือทันใจเราเท่าไหร่แต่มันตอบสนองได้ค่อนข้างที่จะขับสบาย สำหรับผู้หญิงขับก็ขับได้และยิ่งเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าด้วยแล้วยิ่งขับง่ายขึ้น และเมื่อใช้ความเร็วต่ำด้วยที่เป็นพวงมาลัยไฟฟ้าก็จะปรับให้เบาขึ้นแต่ถ้าเมื่อไหร่เราออกนอกเมืองหรือชานเมืองและใช้เป็นโหมด Sport หรือ Sport+ พวงมาลัยและช่วงล่างก็จะปรับให้มันเฟิร์มขึ้นให้มันแน่นขึ้นพวงมาลัยจะมีความรู้สึกหน่วงขึ้นทำให้เราขับในความเร็วที่มั่นใจมากขึ้น
ในส่วนของเรื่องความคุ้มค่าราคารุ่นนี้อยู่ที่ 5,990,000 บาท ถ้าถามโดยส่วนตัวผมคิดว่าค่อนข้างที่จะตอบโจทย์สำหรับผมเพราะเราได้รถเอสยูวีขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ถือว่าเล็ก อีกทั้งได้เพอร์ฟอร์แมนซ์และสมรรถนะสูงก็คือเป็นตัว AMG และเครื่องยนต์แรงม้าเยอะก็ทีเดียวคือ 434 แรงม้า และแรงบิดสูง นอกจากนี้มีมอเตอร์ EQ Boots เข้ามาช่วยอีกทำให้เราพละกำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น
สำหรับคนที่ชอบขับรถแบบเร็วแต่รู้สึกว่าถ้าขับรถซีดานหรือสปอร์ตจะน่าเป็นห่วงในเรื่องช่วงล่างที่ไม่ตอบสนองหรือว่าไปรูดกับพื้นถนนจนมีผลกับช่วงล่างหรือยางหรือแม็ก ในรุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์มากเพราะเมื่อสักครู่ที่เราได้ลองขับเร่งแซงหรือขนมที่มีขรุขระเราผ่านมาได้อย่างง่ายดายถึงแม้ว่าจะเป็นโหมด Sport หรือ Sport+ ช่วงล่างก็ยังมีการความรู้สึกว่ากำลังดีตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากได้รถครอบครัวคันใหญ่ห้าที่นั่งที่ใช้งานเอง ชอบขับรถค่อนข้างแรงและอยากได้รถแบบเครื่องยนต์แบบสปอร์ตช่วงล่างแบบสปอร์ต และที่สำคัญรุ่นนี้มีระบบอำนวยความสะดวกค่อนข้างเยอะ
The Review
Mercedes-Benz AMG GLE 53 4matic+
Mercedes-Benz AMG GLE 53 4matic+ เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงซึ่งเป็น GLE เจเนอเรชั่นที่ 4 เป็นส่วนหนึ่งใน sub-brand ของ Mercedes-Benz
PROS
- ห้องโดยสารกว้าง
- พื้นที่เก็บสัมภาระมีขนาดใหญ๋
- เครื่องยนต์เร็วแรง
CONS
- ไม่มี Cruise Control
- ไม่มี Adaptive Cruise Control
Review Breakdown
-
Driving
-
Engine&Trans
-
Fuel Consumption
-
Practicality
-
Price and Features
-
Design
-
Saftey
Mercedes-Benz AMG GLE 53 4matic+ DEALS
We collect information from many stores for best price available