Honda Accord 1.5 Turbo EL 2021 เป็นรุ่นปรับปรุงตัวนี้ 2021 ก่อนที่ออกมาเป็นโมเดลเชนจ์ ตัวนี้เริ่มต้นของ Accord เครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบ ไม่ได้มีระบบความปลอดภัย หรือระบบอำนวยความสะดวกอะไรมามากนัก ฮอนด้าเลยนำ 1.5 เทอร์โบมาปรับปรุงในปีนี้ ซึ่งเราจะมาดูกันว่ามีอไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
แน่นอนว่าทีม What car? ต้องไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เราได้มาทดสอบความเร็วแรง และดูความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งเราจะพบกับอะไรบ้างต้องไปดูกัน
โดดเด่นในการออกแบบภายนอก
เริ่มต้นที่กระจังหน้า ดีไซน์ยังคงคล้ายเดิมแต่ดูดุดันขึ้น ตัวโลโก้ฮอนด้าแตกต่างจากฮอนด้าเครื่องยนต์ไฮบริด นอกจากนี้ยังไม่มีกล้องมองหน้ามาให้และเซนเซอร์ก็ไม่มีมาให้ทั้งด้านหน้า รวมถึงด้านหลังด้วย ในส่วนของไฟ Honda Accord 1.5 Turbo EL 2021 เป็น Full LED เต็มระบบ มีไฟ Day time running และเพิ่มไฟตัดหมอกมาให้ซึ่งเป็นแอลอีดีเช่นกันโดยที่ในรุ่นก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ปรับปรุงนั้นไม่มีมาให้ ล้อแม็กขนาด17 นิ้ว ลายแต่กต่างอย่างสิ้นเชิงกับตัวท็อป ตัวนี้จะดูเป็นตรงมากกว่าซึ่งตัวท็อปจะดูโฉบเฉี่ยวมากกกว่าเพราะเป็นรูปใบพัด แต่ก็รุ่นนี้ก็สวยเช่นกัน ยางใช้ขนาด 225/50 R17 ซึ่งขอบจะหนากว่าตัวท็อป ฟิลลิ่งการขับขี่ก็จะต่างกันแต่ไม่น่าจะต่างกันมากเท่าไหร่
ลักษณะของด้านข้างจะเหมือนตัวท็อปแลย อาจจะแตกต่างกันที่ฟังก์ชั่นการใช้งาน ในรุ่นนี้มีเส้นโครเมียมด้านล่างตัดกับเส้นโครเมียมของกระจกด้านบนเป็น curve ลงมา ตัวกระจกมองข้างมีไฟ LED มาให้ ซึ่งไม่มีกล้องมองรอบคันแต่มีกล้อง Honda LaneWatch ซึ่งต่างจากตัวรุ่นก่อนที่จะนูน ๆ ขึ้น โดยที่รุ่นนี้จะฝังลงไปกับตัวรถทำให้เรียบลงไป มือจับเป็นชอบโครเมียมสีเดียวกับตัวถังรถ เป็นระบบสัมผัสซึ่งสัมผัสเปิดปิดได้ทั้งฝั่งคนขับและคนนั่งด้านหน้า
ล้อหลังเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ ไฟเบรกเป็นแอลอีดีแต่ยังเป็นไฟหลอด โลโก้ฮอนด้าเป็นโครเมียมธรรมดา ซึ่งไม่มีโลโก้บอกว่าเป็นรุ่นอะไร รุ่นนี้จุดเด่นคือท่อเป็นท่อคู่มาพร้อมปลอกท่อที่เข้ารูปกับตัวกันชนให้ความสวยงามเหมือนรถยุโรป โดยที่เป็นท่อจริงอีกด้วย ไปต่อกันที่ไฟเบรกซึ่งด้านหลังมีไฟดวงที่สามมาให้ เมื่อเบรกฉุกเฉินไฟดวงนี้จะติดกระพริบเพื่อเตือนรถคันข้างหลังและมีเสาอากาศครีบฉลาม ซึ่งในรุ่นเริ่มต้นไม่มีหลังค่าซันรูฟมาให้
ด้านท้าย สามารถเปิดได้จากรีโมทแต่ไม่ใช่ไฟฟ้าต้องใช้มือในการดึงขึ้น มีขนาดกว้างและใหญ่เหมือนเดิมซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นเท็อปเลย รุ่นนี้มียางไหล่และชุดเปลี่ยนยางมาให้แต่ยางที่ให้มามีขนาดเล็กไม่ได้เป็นขนาดเดียวกันกับขนาดปกติ มีปุ่มกดปลดล็อกเพื่อพับเบาะแต่ไม่ใช่ไฟฟ้าต้องไปพับเองข้างในรถซึ่งไม่ได้พับแยกซ้ายขวาเป็นการพับลงทั้งหมด ทำให้สามาถใส่ของใหญ่ได้ ๆ ซึ่งฮออนด้าซีวิคไม่สามารถเปิดได้
ภายในให้ความสะดวกสบาย
เมื่อเข้ามาด้านในสัมผัสแรกที่รู้สึกเลยคือเบาะของฮอนด้าซึ่งเบาะนั่งเป็นอะไรที่ลงตัวมาก สามารถปรับระดับสูงต่ำหรือตำแหน่งได้หมด และตัวที่นั่งสามารถปรับได้ 8 ทิศทาง นอกจากนี้ยังมีที่รองน่องมาให้และสามารถปรับสูงต่ำได้ มีความจำที่นั่งให้ 2 ที่นั่ง ทำให้สะดวกในกาปรับที่นั่งเมื่อเปลี่ยนคนขับ ปุ่มสตาร์ทเป็น Push Start กระจกเปิดออโต้ได้ทั้ง 2 ข้าง ที่นั่งด้านท้ายก็เป็นออโต้และคันเกียร์คล้าย ๆ เดิมแต่จับกระชับมือมากขึ้น
ต่อไปเราจะไปดูส่วนควบคุมต่าง ๆ ซึ่งปุ่มเปิดปิดหรือควบคุมต่าง ๆ เป็นแบบปุ่มกด โดยที่แอร์สามารถแยกปรับอิสระซ้ายขวาได้ นอกจากนี้ยังมีปุ่ม Sync อุณหภูมิให้เท่ากับฝั่งคนขับด้วย มีตัวไล่ฝ้ากระจกด้านหน้า ในส่วนระบบสาระบันเทิงเป็นจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ซึ่งสามารถเปิดโหมดกลางคืนเพื่อไม่ให้แสบตาได้ รวมไปถึงสามารถปรับระดับความเข้มของแสงได้ มีกระจกมองหลังเป็นกระจกปรับแสงอัตโนมัติซึ่งเป็นส่วนที่เราชื่นชอบเพราะจะช่วยทำในเรื่องการมองกระจกหลังในเวลากลางคืนทำให้ไม่แสบดวงตา พวงมาลัยเป็นแบบสปอร์ต 3 ก้าน วัสดุเป็นหนังอย่างดีจับแล้วกระชับมือ เป็นพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นโดยที่ด้านซ้ายสำหรับควบคุมคอนโทล รับ-วางสายโทรศัพท์และยังมีปุ่มสั่งการด้วยเสียงซึ่งจะไปเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay เป็นการสั่งการด้วย siri มีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง มาถึงด้านขวาของพวงมาลัยเป็นปุ่มควบคุมระบบความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ระบบควบคุมพวงมาลัยเมื่ออกนอกเลน ระบบ Curise Control ในส่วนด้านหลังของพวงมาลัยมี Paddle Shift เอาไว้ใช้เป็นโหมด manual ซึ่งรุ่นนี้ไม่มีตัวแสดงผลที่กระจกเหมือนรุ่นท็อป เบาะเป็นสีน้ำตาลหากตัวรถเป็นสีเข้ม แต่ถ้าเป้นสีอ่อนภายในจะเป็นสำซึ่งจะตัดกับตัวรถ นอกจากนี้ยังมี wireless charger มาให้ด้วย
ด้านหลังไม่มีอะไรแตกต่างจากตัวท็อปเลย พนักพิงหลังนั่งสบาย เบาะทำเป็นหลุมให้เตี้ยหากเป็นผู้สูงอายุอาจจะลำบากในการลุกนั่ง ถัดมาช่องลมแอร์ไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้แต่ปรับซ้ายขวา สามารถเปิด-ปิดได้ ที่วางแขนขนาดไม่ได้ใหญ่มาก สามารถวางแก้วน้ำและมีช่องสำหรับเปิดไปหยิบของข้างหลัง เราชอบหมอนรองคอของ Accord เพราะไม่ได้ดันหัวออกมา นอกจากนี้ยังมีม่านบังแดดมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่มีม่านบังแดดด้านหลังเพราะว่าไม่ได้เป็นรถผู้บริหารเต็มตัว หากผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวอาจจะรู้สึกไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ อีกจุดหนึ่งที่แตกต่างจากตัวท็อปคือปุ่มควบคุมเบาะคนนั่งด้านหน้าไม่ใช่ไฟฟ้า ไม่สามารถปรับได้จากคนนั่งต้องให้คนขับรถปรับให้ ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งจาก Camry นั้น สามารถทำได้ต่างจาก Accord ไม่สามารถทำได้
การขับขี่ยอดเยี่ยม และสมรรถนะเร็ว แรง
Honda Accord 1.5 Turbo EL เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 เทอร์โบ (รุ่น EL) เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว VTEC TURBO ขนาด 1.5 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง และเทอร์โบชาร์จเจอร์จะช่วยอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้ดีขึ้นกว่าเดิมจะมีประสิทธิภาพของการเผาไหม้ดีกว่าเดิมขึ้นเยอะ มีกำลังแรงม้า 190 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 243 นิวตันเมตร ถือว่าแรงบิดใช้ได้ทีเดียว ซึ่งมองแล้วก็เหมือนกับตัวซีวิค 1.5 เทอร์โบ แต่ว่าตัวแคมเบอร์ในรุ่น Accord Turbo มีตัวใหญ่กว่าตัวแรงม้าเลยเพิ่มเป็น 190 แรงม้า มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ที่ 16.4 ลิตร/กม. ถือว่าประหยัดไม่เบาเลย เติมน้ำมันได้สูงสุดอยู่ที่ 85 ลิตร
ได้เวลาทดสอบช่วงล่างกันบ้าง ซึ่งเราได้มีโอกาสทดสอบที่ศูนย์ฝึกอบรมฮอนด้า ซึ่งที่นี่จะมีหลายสถานี ซึ่งสถานีแรกเป็นลูกระนาดเมื่อลองขับผ่านแล้วยังมีความนุ่มนวล แต่กระเด้งในระดับหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะการเซตค่าน้ำหนักของตัวรถหรือเปล่า เวลาที่ลงหลุมก็ซับแรงได้ดี รับได้กับที่ราคา 1,499,000 บาท คล้ายคลึงกับรถยุโรปแต่มีความแตกต่างจากรุ่นไฮบริด ซึ่งรุ่นนี้มีขนาดยางที่หนากว่า มีความเด้งแต่ก็สามถยืดหยุ่นได้ดี ถ้าให้เป็นคะแนนดาว ขอให้ 4 ดาว ซึ่งดีเลยทีเดียว วงเลี้ยวในรุ่นนี้ก็ทำได้ดีใกล้เคียงกับตัวซีวิคตัวใหม่ ถึงแม้ว่าตัวถังรถจะมีมิติ มีความยาวและกว้างอยู่พอสมควร เบื้องต้นก็ซับแรงได้ ไม่ได้กระเด้งเกินไป
เรากำลังใช้ระบบ cruise control ที่ฮอนด้าให้มา ตั้งความเร็วไว้ที่ 80 และตั้งระยะห่างจากรถไว้ที่ 2 ช่วงรถเพื่อความปลอดภัย ซึ่งระบบเร่งความเร็วให้เองตามรถคันหน้าแต่จะไม่เกินระยะที่ตั้งไว้ เมื่อรถจอดก็จะจอดตามรถคันหน้า รถคันหน้าออกตัวก็จะออกตัวโดยที่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งแต่ถ้ามีรถแทรกเข้ามาตัวกล้องและเรดาห์ก็จับได้แม่นทำให้รถชะลอให้ทันทีซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วด้วยการเหยียบคันเร่งได้ระบบจะไม่หยุดทำงาน แต่ระบบนี้จะหยุดทำงานเมื่อเราเหยียบเบรกซึ่งเราก็ต้องเซตใหม่ นอกจากนั้ระบบเตือนเมื่ออกนอกเลนส์ ถ้าความเร็วเกิน 70 กม./ชม. และออกนอนเลนส์ พวงมาลัยจะมีสัญญาณเตือน และช่วยประคองพวงมาลัยรักษาให้อยู่ในเลนส์
โหมดขับขี่มีโหมด Econ และ Sport มีเบรกมือไฟฟ้า และมี Auto Brake Hold ซึ่งสามารถใช้ระหว่างที่รถติด ซึ่งเราจะไปลองโหมด econ กับโหมด sport กัน ซึ่งเราได้เริ่มขับขี่ที่โหมด econ เป็นโหมดประหยัดนั้นเอง โหมดนี้จุดเด่นคือว่าระบบจะทำงานประสานกันทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ เกียร์หรือว่าเครื่องปรับอากาศ จะเป็นการทำงานประสานกันทั้งหมดเพื่อให้ได้ความประหยัดที่สุด เมื่อเหยียบคันเร่งต้องรอพอสมควรเพราะเป็นโหมดประหยัดแต่เมื่อกดหนัก ๆ รอบก็มาเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วโหมดนี้จะขับในเมืองซึ่งเราต้องการความประหยัดสูงสูด โดยที่เครื่องยนต์ 1.5 turbo ได้ถูกเคลมไว้ที่ 16.4 ลิตร/กม. แต่พอขับจริงในโหมด econ สามารถทำได้ประมาณ 14 ลิตร/กม.
ไปที่โหมด sport กันบ้าง หน้าจอมาตรวัดต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อให้ดูสปอร์ตมากขึ้น พร้อมกับอักษร sport ซึ่งเรากำลังขับในทางตรง สังเกตได้เลยว่ารอบมาได้เร็วขึ้น เสียงและพละกำลังมีมากขึ้น ถือว่ารอบมาค่อนข้างไวเพราะว่าเครื่องยนต์ตัวนี้ให้แรงม้ามากกว่าซีวิคและไม่อืดเมื่อเทียบกับน้ำหนักของตัวรถ ถ้าขับไกล ๆ น่าจะสนุกแต่อัตราสิ้นเปลืองก็มากหน่อย หากเราขับในโหมดนี้บ่อย ๆ ก็จะอยู่ที่ 8-9 ลิตร/กม. ถัดมาในเรื่องของวงเลี้ยว ซึ่งวงเลี้ยวแคบทำให้เลี้ยวง่าย ส่วนพวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้า ไม่แตกต่างจากรุ่นท็อปเลย โดยที่พวงมาลัยไม่ได้เบามากแต่ก็ไม่ได้หนักจนรู้สึกเมื่อย ถ้าขับความเร็ว 120 กม. จะรู้สึกหวิวนิดหน่อยแต่ก็มีความนิ่ง ส่วนช่วงล่างจะกระเด้งกว่ารุ่นท็อป โดยที่เราได้ลองนั่งข้างหลังมาสักระยะ ให้ความรู้สึกโยนพอสมควรถ้าคนขับรถขับเร็ว ๆ อาจจะเวียนตัวได้ เราคิดว่ารถคันนี้ตอบโจทย์กับผู้บริหารที่ต้องการขับรถเองเป็นหลักแต่ถ้าต้องการความเร็วต้น ๆ รอบมาไว ก็ต้องเป็นรุ่นท็อปเพราะรอบในช่วงต้นตอบสนองได้ไว ในรุ่นนี้มาไวแต่ช้าก็กว่า อัตราบริโภคน้ำมันเราคิดว่าจะไม่เป็นปัญหาเพราะกลุ่มตลาดของ Accord ไม่ใช่กลุ่มที่จะกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแต่จะเป็นเรื่องของความสนุกและการใช้งานมากกว่าว่า
สรุปความน่าใช้
หลังจากที่ลองขับแล้ว ใน model year หรือรุ่นปรับปรุงปี 2021 ใส่ระบบความปลอดภัยมาแบบครบครัน อย่างระบบ honda sensing ก็มี เช่น ระบบกล้องช่วยตรวจจับการออกนอกเลนส์ ระบบช่วยดึงพวงมาลัยกลับให้มาอยู่ในเลนส์ ระบบเตือนกันชนด้านหน้าพร้อมระบบเบรกฉุเกฉิน แต่ตัวนี้ยังไม่มีกล้องรอบคันมาให้ ซึ่งกล้องรอบคันจะมีอยู่ในรุ่นท็อป ถือว่าน่าเสียดายแต่ถ้าเทียบราคากับรุ่นก่อนปรับปรุงค่อนข้างคุ้มค่า สำหรับคนที่กำลังมองรุ่นเริ่มต้นในราคา 1,499,000 บาท ตัวนี้ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคา แน่นอนว่าเทียบกับตัวท็อปสุดในราคาต่างกัน 300000 บาท แต่ระบบความปลอดภัยมีมาให้ครบ ถ้ามีความสามารถในการซื้อโดยที่ไม่สนความแตกต่างของราคาและอยากได้รถในระดับ D-Segment ซื้อรุ่นท็อปเลยดีกว่า แต่ตัวเริ่มต้นเรามองว่าเหมาะสำหรับรุ่นใหญ่สายซิ่ง เพราะตัว 1.5 สามารถเอาไปแต่งเร่งแรงม้าให้ขับสนุก ขับมัน ซึ่งเหมาะสำหรับคนกลุ่มนี้ และอีกกลุ่มหนึ่งคือคนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหาร หรือผู้จัดการในช่วงอายุ 30-40 ปี