ฟอร์ดเปิดตัว Everest MY2018 อย่างเป็นทางการ ภายนอกปรับไม่มาก ภายในเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ยัดหัวใจใหม่ เติมเต็มความปลอดภัยและความสะดวกสบายยิ่งขึ้น
Everest โฉมปัจจุบันครองใจผู้ใช้รถชาวไทยมาตั้งแต่ปี 2015 เอสยูวีรุ่นนี้ถือเป็นรถที่ครบเครื่องและตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างแท้จริง มาวันนี้ถึงเวลาที่ต้องไมเนอร์เชนจ์ เป็นการไมเนอร์เชนจ์ที่เรียกได้ว่าพลิกวงการ สร้างความอือฮาอย่างใหญ่โตจนค่ายอื่นต้องสะดุ้ง
Everest ใหม่ คือการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกลางไปอีกขั้น ด้วยประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่อย่างเหนือชั้นทั้งทางเรียบและออฟโรด ผสานกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ดีไซน์ที่โดดเด่น และห้องโดยสารที่หรูหราและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
ดีไซน์เพื่อการใช้งาน
รูปลักษณ์ภายนอกของ Everest ใหม่ มีการปรับปรุงไม่มาก มาพร้อมกับกระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ให้ความดุดันและหรูหรายิ่งขึ้น โดยในรุ่นเริ่มต้น Trend เป็นสีดำ รุ่นสูงขึ้นเป็นโครเมียม ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่แบบก้านคู่ (Split-Spoke) ขนาด 20 นิ้วพร้อมยางขนาด 265/50 R20 ไฟหน้า HID เลนส์โปรเจกเตอร์ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติที่ส่องสว่างกว่าไฟหน้าทั่วไป
เสริมภาพความพรีเมี่ยมด้วยหลังคากระจกพาโนรามิกซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า, ไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลท์ แบบ LED ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้าย LED ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างบริเวณข้างตัวรถ
ห้องโดยสารของ Everest ใหม่ ตกแต่งด้วยโทนสีดำ มอบความหรูหราให้แก่ห้องโดยสาร และยังเสริมความโดดเด่นด้วยเส้นสายรอบคัน อีกทั้งเพิ่มความนุ่มนวลของจุดสัมผัสต่างๆ ในห้องโดยสาร เพื่อความรู้สึกหรูหราและสะดวกสบายในการใช้งาน
เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำ เบาะนั่งคนขับและเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถวที่ 2 พับแยกอิสระ 60:40 ปรับเอนและปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ เบาะนั่งแถวที่ 3 พับแยกอิสระ 50:50 ปรับพับด้วยระบบไฟฟ้า
ขุมพลังที่เหนือกว่า
Everest ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ที่สามารถกระจายแรงบิดได้ดียิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งกำลังและเร่งความเร็ว ช่วยให้การขับรถบนทางลาดชันเช่นการขับรถขึ้นภูเขาที่ลื่นและลาดชัน ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยแบ่งเป็น 2 รุ่นและตัดเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 และ 2.2 ลิตรเดิมออกไป
รุ่นแรกเป็นเครื่องดีเซล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที
อีกรุ่นที่สร้างความฮือฮาให้วงการเป็นอย่างมากคือเครื่องดีเซล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร Bi-Turbo เทอร์โบ 2 ตัวแบ่งการทำงานที่ความดันต่ำและความดันสูง ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดมหาศาลที่ 500 นิวตันเมตร
ทั้ง 2 เครื่องยนต์ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ Manual Mode + – ที่หัวเกียร์ นอกจากนี้รุ่นเครื่อง 2.0 ลิตร Bi-Turbo ยังมาพร้อมขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time พร้อมระบบ Terrain Management System และเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential
อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี
Everest ใหม่ มอบความแข็งแกร่งของรถยนต์อเนกประสงค์ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะ คุณภาพของอุปกรณ์อันยอดเยี่ยม และสมรรถนะที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เพื่อมอบประสิทธิภาพและความคล่องตัวเมื่อขับขี่ในเมือง แต่ยังคงความแข็งแกร่งสมบุกสมบันอย่างเหนือชั้นเมื่อขับขี่ออฟโรด
โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำประกอบด้วย ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ผสานระบบเบรกแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป
ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) ทำหน้าที่คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ และเตือนผู้ใช้งานเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำมันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย
ระบบประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ
ตลอดจนกุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และขึ้นลงรถได้สะดวกสบายกว่าเดิม
นอกจากฟีเจอร์ใหม่แล้ว Everest ใหม่ ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นนี้ ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) และกล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า (Rear View Camera and Sensors)
รวมถึงระบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอก (Active Noise Cancellation) ที่มอบห้องโดยสารที่ปราศจากเสียงรบกวน ซึ่งวิศวกรรมออกแบบให้ความสำคัญกับการลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์และระบบเกียร์ พร้อมพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
อัพเกรดระบบสาระบันเทิง
Everest ใหม่ทุกรุ่นย่อยได้รับการติดตั้งระบบสาระบันเทิง SYNC 3 รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบบลูทูธและ USB แสดงผลผ่านหน้าจอทัชสกรีนฟูลคัลเลอร์ขนาด 8.0 นิ้ว และแสดงภาพกล้องมองหลังในตัว ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถเมื่อออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ได้อีกด้วย SYNC 3 ยังมาพร้อมระบบจดจำเสียงและระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทยเพื่อการใช้งานที่คล่องตัวยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ระบบ SYNC 3 ยังได้รับการพัฒนามาขึ้นไปอีกขั้น ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที
Everest ใหม่ได้เพิ่มรุ่น Trend เข้ามาสำหรับตีตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่า รวมแล้ววางจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่นย่อยดังนี้
– รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,799,000 บาท
– รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,599,000 บาท
– รุ่น Titanium เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,439,000 บาท
– รุ่น Trend เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,299,000 บาท
สีตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี รวมถึงสีใหม่ Diffused Silver Metallic และสีมาตรฐาน ได้แก่ Aluminum Metallic, Absolute Black Metallic, Arctic White, Sunset Metallic และ Blue Reflex Metallic
รายละเอียดของแต่ละรุ่นย่อย
รุ่น Trend เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
อุปกรณ์มาตรฐาน ได้แก่
- เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ
- ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา
- ระบบกันสะเทือนหน้า: อิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
- ระบบกันสะเทือนหลัง: คอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกัน
- ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์แบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า
- ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์
- ราวหลังคาและบันไดข้าง
- ล้ออัลลอย 17” พร้อมยางขนาด 265/65 R17
- กุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ท
- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา
- เบาะหนังสีดำ
- ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNCTM 3 ภาษาไทย หน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว พร้อม Bluetooth และ Wi-Fi
- ลำโพง 9 ตัว พร้อมซับวูฟเฟอร์และแอมพลิฟลายเออร์
- ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน
- ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า / ด้านข้าง / หัวเข่าฝั่งคนขับ / และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องมองหลังขณะถอยจอด
รุ่น Titanium เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
อุปกรณ์มาตรฐาน (เพิ่มเติมจากรุ่นเทรนด์) ได้แก่
- ไฟหน้าแบบ HID ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ
- ไฟวิ่งกลางวันแบบ LED
- ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ
- ไฟท้าย LED
- ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี
- อัลลอย 18″ พร้อมยางขนาด 265/60 R18
- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
อุปกรณ์มาตรฐาน (เพิ่มเติมจากรุ่นไทเทเนี่ยม) ได้แก่
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินถนน
- เทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ
- ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ
- ระบบแจ้งเตือนการขับขี่
- หลังคา Panoramic Moonroof
- อัลลอย 20″ พร้อมยางขนาด 265/50 R20
- เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- เบาะแถวที่ 3 พับไฟฟ้า
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
- ระบบแผนที่นำทาง
- ระบบตรวจจับลมยาง
- ระบบตรวจจับรถในจุดอับสายตา
- ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด
รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
อุปกรณ์มาตรฐาน (เพิ่มเติมจากรุ่นไทเทเนี่ยม พลัส เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ)
- เครื่องยนต์ดีเซล 2.0L Bi-Turbo (เทอร์โบคู่)
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ พร้อมระบบ Terrain Management
- เฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน
ลูกค้าที่ซื้อ Everest ใหม่ จะได้รับความคุ้มค่าและความสะดวกสบายด้วยบริการฟรีค่าแรงในการตรวจเช็คตามระยะ สูงสุดถึง 5 ปี หรือภายในระยะ 75,000 กิโลเมตร เพียงเข้าตรวจเช็คระยะทุก 15,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี
Ford Everest MY2018 เปิดให้จับจองแล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการฟอร์ดทั่วประเทศ และพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไป
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.ford.co.th, www.facebook.com/fordthailand, www.twitter.com/fordthailand
Gallery