[First Drive] All-New Subaru Forester ขับสี่ อเนกประสงค์ ลงตัวทุกการใช้งาน

         Subaru อาจเป็นค่ายรถที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าถึงมากนัก ค่ายนี้มีชื่อเสียงมายาวนานและโด่งดังในระดับโลกแต่เพิ่งเริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ จุดเด่นที่สร้างชื่อให้กับ Subaru คือเครื่องยนต์ Boxer สูบนอนซึ่งคิดค้นขึ้นเป็นเจ้าแรกๆ ของวงการ รวมถึงเทคโนโลยีช่วยขับขี่ Eyesight, Subaru Global Platform และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร รถยนต์ Subaru รุ่นใหม่มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ขับขี่ที่ยอดเยี่ยมพร้อมกับการใช้งานที่ครบครันรอบด้าน คุณภาพที่เหนือกว่าจึงมาพร้อมกับราคาค่าตัวที่สูงกว่ารถญี่ปุ่นรุ่นราวคราวเดียวกัน

         ตอนนี้ Subaru เปิดโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยแล้ว โดยรถยนต์รุ่นแรกที่ผลิตที่บ้านเราคือ All-New Subaru Forester แน่นอนว่าประกอบในประเทศราคาค่าตัวก็ต้องถูกลง โดยรุ่น 2.0i-S ที่เราจะมารีวิวในวันนี้ราคาลงมาที่ 1.45 ล้านบาท ถือเป็นราคาที่แข่งขันได้กับกลุ่มรถเอสยูวีขนาดกลางที่มีขายในไทยอย่าง Honda CR-V, Mazda CX-5, Nissan X-Trail แต่เราเชื่อว่าจุดเด่นที่เหนือกว่าของ Forester ดีพอที่จะเอาชนะคู่แข่งทุกคันได้ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นมันต้องผ่านการขับทดสอบของเราซะก่อน

ขับดีทุกสถานการณ์

          Forester ใหม่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Boxer สูบนอน 2.0 ลิตร ไม่มีระบบอัดอากาศ ข้อดีของเครื่องสูบนอนก็คือความสมดุลและจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำจากลักษณะของเครื่องยนต์ที่จะแบนราบ การเคลื่อนที่ของลูกสูบเป็นแนวนอน และตำแหน่งวางเครื่องที่ต่ำใกล้กับพื้นถนนกว่าพวกเครื่องสูบเรียงหรือสูบวี มันเห็นผลในตอนเข้าโค้งที่รถจะนิ่งเกาะถนนและควบคุมง่ายกว่า พละกำลังที่ได้จากขุมพลังบล็อก FB20 คือ 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT ขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive นี่คือเอกลัษณ์ที่ไม่มีค่ายไหนทำ แต่ Subaru เลือกจะแตกต่างในแนวทางของตัวเองจนค้นหาข้อได้เปรียบกว่าคู่แข่งอื่นๆ จนเจอ

          ตัวเลขแรงม้าแรงบิดดูเหมือนจะน้อยนิดไปหน่อยแต่ขับจริงแล้วไม่อืดอาดชักช้า ขับในเมืองสามารถเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ จังหวะเร่งแซงแบบฉับพลันเครื่องยนต์ก็ถ่ายทอดกำลังออกมาตั้งแต่รอบต่ำต่อเนื่องไปจนถึงรอบปานกลาง พร้อมกับความเร็วที่ค่อยๆ ไต่ขึ้นแบบนุ่มๆ อุปนิสัยของรถจะมีความสุภาพนุ่มนวลไม่ใช่แนวดิบกร้าวทั้งนี้ก็เพราะรถใช้เกียร์ CVT นั่นเอง

         บางคนอาจไม่ชอบความนุ่มนวลของเกียร์ CVT ที่ดูจืดชืดไม่มีเสียงกระชากของเครื่องยนต์แต่เกียร์ของ Forester ไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น โอเคล่ะว่ามันให้อารมณ์สนุกแบบพวกเกียร์ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ไม่ได้ แต่เกียร์ CVT ชุดนี้ก็ช่วยรถให้เร่งออกจากแยกไฟแดงได้อย่างรวดเร็ว เผลอแป๊ปๆ ก็ 100 กม./ชม. แล้ว เกียร์ Lineartronic มีการเปลี่ยนอัตราทดที่ต่อเนื่องและลื่นไหล ช่วยให้การตอบสนองต่อการถ่ายเทแรงบิดไปยังล้อขับเคลื่อนทุกล้อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในจังหวะตั้งแต่เริ่มออกตัว จังหวะคิ๊กดาวน์ต้องเหยียบค่อนข้างลึกหน่อยก่อนเกียร์จะชิฟท์ดาวน์แบบนุ่มๆ เพื่อเรียกกำลังเร่งแซง

         Subaru รู้ข้อจำกัดของเกียร์ CVT ที่อาจไม่ถูกใจขาซิ่งสักเท่าไรจึงได้ใส่เกียร์ M มาให้เพื่อคอยบริการคนที่ชอบสับเกียร์แบบแมนวล การตอบสนองของเกียร์ M แอบมีดีเลย์เล็กน้อย แต่เราก็รู้สึกมันส์กว่าขับเกียร์ D ปกติขึ้นมานิดหน่อย ที่สำคัญเกียร์ M นี้จะช่วยได้มากขณะขับขึ้น-ลงทางลาดชัน

          Forester ใหม่มาพร้อมกับแพล็ตฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า Subaru Global Platform จุดประสงค์ของการคิดค้นแพล็ตฟอร์มนี้คือเพื่อเพิ่มเสถียรภาพการขับขี่ ลดการสั่น ลดการโคลง ลดเสียงรบกวน และเพิ่มการบังคับควบคุม ประกอบกับมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร ดังนั้นคุณภาพการขับขี่ของเอสยูวีคันนี้จึงดีงามมาก ระบบกันสะเทือนหน้า-หลังดูดซับแรงกระแทกจากหลุมบ่อได้ดีจากการปรับเซ็ตมาเพื่อเอาใจคนมีครอบครัวเป็นหลัก มันนุ่มนวลแต่ไม่ย้วยทำให้สาดโค้งความเร็วสูงแล้วยังนิ่งอยู่ ประกอบกับความแน่นหนึบ เกาะถนน และนิ่งสนิทเมื่อใช้ความเร็วสูงในทางตรง มันจึงมอบความมั่นใจให้กับผู้ขับได้เป็นอย่างดี ระหว่างทางทดสอบเราเจอฝนกระหน่ำลงมาแต่ด้วยความยอดเยี่ยมของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร เราจึงกล้าใส่เต็มแบบไม่กลัวหลุด ซึ่งรถกีมีการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมและให้ความรู้สึกไม่ต่างจากขับถนนแห้งเลย

           ระบบบังคับเลี้ยวของ Forester เป็นอีกจุดที่น่าชื่นชม มันมีความแม่นยำและเฉียบคม ไม่ว่าจะขับความเร็วต่ำในเมืองหรือแล่นผ่านโค้งซิกแซกซ้ายขวาก็ให้ความมั่นใจได้ดีเพราะมีน้ำหนักที่เป็นธรรมชาติ อัตราทดพวงมาลัยปรับเซ็ตมาเหมาะสมทำให้ไม่รู้สึกว่าคุมยาก หน้ารถตอบสนองต่อการหักเลี้ยวได้ไว กะระยะเลี้ยวโค้งต่างๆ ได้ง่ายและเบาแรง

          ระบบเบรกแบบดิสก์เบรก 4 ล้อให้ความมั่นใจและเอาอยู่ทุกช่วงความเร็ว การตอบสนองของแป้นเบรกอยู่ในระดับที่ดี ไม่ต้องเหยียบลึกมากก็เริ่มรู้สึกถึงความหน่วง มันตอบสนองต่อน้ำหนักที่เหยียบอย่างตรงไปตรงมา ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักการเบรกและกะระยะเบรกได้อย่างเที่ยงตรง

          Forester ป้องกันเสียงรบกวนได้ดีตามมาตรฐานรถญี่ปุ่น เสียงลมเริ่มเล็ดลอดเข้ามาที่ความเร็ว 100 กม./ชม. เสียงยางบดถนนเริ่มดังที่ 70 กม./ชม. เสียงเครื่องยนต์แทบไม่เล็กรอดเข้ามาในห้องโดยสารเมื่อยู่ในรอบเดินเบา และจะดังแผ่วๆ ตอนขณะขับ ขณะที่แรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ก็แทบไม่มี จังหวะเร่งเครื่องนั่นแหละถึงจะรู้สึก

           จุดเด่นที่ Forester มีเหนือคู่แข่งในพิกัดเดียวกันก็คือระบบขับเคลื่อน X-MODE นี่เป็นระบบที่คิดค้นมาเพื่อการลุยทางออฟโรดโดยเฉพาะ คู่แข่งอื่นๆ ที่บอกว่าขับสี่ AWD เอาจริงแล้วแทบจะลุยออฟโรดไม่ได้เลย แต่กับเอสยูวีคันนี้นั้นตรงกันข้าม แม้ความสูงใต้ท้องไม่ได้ทำมาเพื่อลุยโหดๆ แต่ถ้าจำเป็นก็พอจะฟันฝ่าไปได้ด้วยความยอดเยี่ยมของ X-MODE ที่สามารถเลือกปรับระบบการขับเคลื่อนและการส่งกำลังได้ตามสภาพพื้นผิวตั้งแต่โคลนตมไปจนถึงหิมะ แบบนี้สะใจขาลุยแน่นอน

           ข้อด้อยอย่างเดียวของ Forester ก็คือรถคันนี้ไม่ใช่รถที่ประหยัด จากการที่เครื่องยนต์ต้องทำงานคอยปั่นล้อทั้งสี่อยู่ตลอดเวลา มันจึงกินจุกว่ารถ AWD อื่นๆ พอตัว จุดนี้คุณต้องยอมรับเพราะมันเป็นสัจธรรมของรถขับสี่ AWD แต่ถ้าแลกมาด้วยคุณภาพกาขับขี่ที่ยอดเยี่ยมมันก็ไม่น่ากังวลอะไร

ดีไซน์เน้นอนุรักษ์นิยม

          Forester เป็นรถอเนกประสงค์ 5 ที่นั่งที่มีรูปลักษณ์ภายนอกออกแนวอนุรักษ์นิยม คือดูเป็นรถเอสยูวีสายลุยมากกว่าสายสปอร์ตที่เน้นขับหล่อๆ บนทางดำ ด้วยตัวถังทรงเหลี่ยมทำให้มิติตัวรถดูสูงใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ได้มาคือพื้นที่ภาพที่กว้างขวาง โปร่งสบายไม่อึดอัด และตำแหน่งนั่งขับที่สูงลิ่ว มองเห็นทัศนวิสัยรอบคันอย่างชัดเจน

  

         หน้ารถโดดเด่นด้วยไฟ Daytime running light รูปทรงตัว C ดูโฉบเฉี่ยว รับกับกระจังหน้าโครเมี่ยมและกันชนหน้าอย่างลงตัว เส้นสายด้านข้างมีความแข็งแกร่งสื่อถึงภาพรถสายลุยชัดเจน ชายล่างตัวถังเป็นแถบพลาสติกสีดำเอาไว้ลุยโดยไม่ต้องกลัวเปื้อน มีราวหลังคามาพร้อมสำหรับติดอุปกรณ์เสริม รุ่น 2.0i-s มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ยาง 225/55 R18 ขนาดพอเหมาะกับทุกสไตล์การขับขี่

        ท้ายรถให้อารมณ์เหมือนรถ PPV ที่มีขายในบ้านเรา ดูเหลี่ยมๆ แข็งๆ ส่งต่อภาพรถสายลุยชัดเจน โดดเด่นด้วยไฟท้าย LED ดีไซน์ทันสมัยและสปอยเลอร์หลังคาเพิ่มความสปอร์ต

          จบเรื่องราวของดีไซน์ภายนอก เปิดประตูเข้ามาข้างในก็จะพบกับกลิ่นอายของความเป็นอนุรักษณ์นิยม ห้องโดยสารมีความโปร่งโล่ง เพดานหลังคาสูง พื้นที่เบาะหน้าและเบาะหลังกว้างขวาง ไม่ว่าคุณจะมีขนาดตัวเท่าไรก็สามารถใช้ชีวิตไปกับ Forester ได้อย่างไม่อึดอัด เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า กระจกแต่ละบานขนาดใหญ่เบิ้มให้อารมณ์เหมือนรถกระบะ เบาะนั่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์ซึ่งจะไม่นุ่มสบายเท่าหนังแท้อยู่แล้ว แต่เบาะยังมีรูปทรงที่โอบกระชับดี เราสังเกตว่าภายในมีพลาสติกแข็งจำนวนมาก จุดนี้ถ้าใครซีเรียสเรื่องความพรีเมี่ยมอาจไม่ปลื้มแต่คุณภาพการประกอบถือว่าแน่นหนาดีมาก

         แดชบอร์ดมีการออกแบบที่ทันสมัย หน้าจอกลางขนาด 8 นิ้วมีความคมชัด สีสันกราฟิกสวยงาม การตอบสนองเร็วดี มีระบบนำทางมาเป็นมาตรฐานและใช้งานได้จริง เครื่องปรับอากาศยังเป็นแบบปุ่มหมุนให้ปรับกันง่ายๆ จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือหน้าจอแสดงผลระบบขับเคลื่อนของรถ ติดตั้งอยู่ด้านบนของแดชบอร์ด จอนี้บอกข้อมูลละเอียดยิบทั้งอุณหภูมิภายนอก นาฬิกา อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง ระบบขับเคลื่อน องศาการเคลื่อนที่ของรถ คำนวณอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และสถานะการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ X-Mode ถ้าใครที่ขับรถมายาวนาน ข้อมูลพวกนี้ถือว่าสำคัญมาก รถน้อยรุ่นที่จะบอกข้อมูลให้คุณทราบได้ครบขนาดนี้

          หลายๆ ส่วนภายในห้องโดยสารของ Forester ยังคงความเรียบง่ายไว้ พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและครูสคอนโทรล มีแพดเดิลชิฟท์เล็กๆ ที่ด้านหลัง หน้าปัดยังเป็นแบบเข็มอนาล็อก 2 วง วัดรอบและวัดความเร็ว ดูสะดวดสบายตา กึ่งกลางเป็นหน้าจอ MID แสดงข้อมูลการขับขี่ คันเกียร์จับกระชับมือ มีตำแหน่ง M สำหรับเลือกเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง ถัดลงมาเป็นปุ่ม X-Mode สำหรับปรับโหมดการขับขี่ออฟโรดตามสภาพพื้นผิว ตกแต่งด้วยพลาสติกสีเงินและมีไฟเรืองแสงสีแดง

อเนกประสงค์ของครอบครัว

           จากความกว้างขวางของห้องโดยสาร Forester จึงเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีเด็กๆ ทุกคนสามารถนั่งได้อย่างสะดวกสบายพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกจำพวกช่อง USB และช่องจ่ายไฟที่เพียงพอ  ช่องเก็บของภายในรถมีมากมาย ขณะที่ห้องเก็บสัมภาระก็เพียงพอสำหรับการเดินทางวันหยุด พื้นห้องราบเสมอขอบกันชนเพิ่มความสะดวกในการขนของ ประตูท้ายเป็นระบบไฟฟ้าเปิด-ปิดง่าย เบาะหลังพับแยกแบบ 60/40 เพิ่มพื้นที่สัมภาระได้อีกบานเบอะ แถมพับแล้วยังราบเป็นพื้นเดียวกันกับห้องสัมภาระท้าย สะดวกมากๆ ถ้าต้องขนกล่องลังใบใหญ่ๆ

           Forester นับเป็นรถอเนกประสงค์ที่ครบครันและยอดเยี่ยมในหลายๆ ด้าน ภายใต้หน้าตาภายนอกที่ดูธรรมดา รถคันนี้มาพร้อมกับอาวุธลับที่ใครก็ตามเมื่อได้ลองขับเป็นต้องติดใจ การมุ่งพัฒนาเครื่องยนต์สูบนอนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของ Subaru เพราะผลลัพธ์ที่ได้คือสมดุลการขับขี่และการควบคุมที่เหนือกว่าคู่แข่งค่ายอื่นๆ ประกอบกับความยอดเยี่ยมของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตรและ Subaru Global Platform ทำให้เอสยูวีคันนี้มีคุณภาพการขับขี่ดีงามอย่างที่สุด เป็นรถที่ขับง่าย ลุยทางวิบากได้มากกว่าคู่แข่งร่วมคลาส ขนคนและสิ่งของได้เยอะ รวมถึงอุปกรณ์และระบบความปลอดภัยต่างๆ ก็มีมาให้อย่างครบครัน

           ราคา 1.45 ล้านบาทเมื่อเทียบกับสิ่งที่ Forester 2.0i-S มอบให้ มันคุ้มค่ามากสำหรับคนรักการขับรถและใส่ใจในรายละเอียดของการขับขี่ ความสมดุล ความนุ่มนวล ความปลอดภัยบนท้องถนน คือสิ่งที่คุณจะได้พบเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของเอสยูวีคันนี้ ข้อสังเกตเดียวคือนี่ไม่ใช่รถที่ประหยัด ถ้าคุณซีเรียสเรื่องนี้ก็ลองพิจารณาดูว่ารถคันนี้เหมาะกับคุณหรือไม่ แต่สำหรับเราแล้ว Forester คือรถที่ขับดีที่สุดรุ่นหนึ่ง และมันเอาชนะคู่แข่งร่วมคลาสในด้านการขับขี่ได้ทั้งหมด

ขอขอบคุณ บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด สำหรับทริปทดสอบในครั้งนี้

รายละเอียดสเปก All-New Subaru Forester: http://bit.ly/2FZbguL

Gallery

Exit mobile version