เคาะวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับเอสยูวีรุ่นใหม่ของ MG นั่นก็คือ 25 กันยายนนี้ นี่คือรถที่มีคนจำนวนมากตั้งตาเฝ้ารอหลังจากเห็นการปรากฏโฉมครั้งแรกในต่างประเทศและมีกระแสว่าจะเข้ามาขายในไทย ตอนนี้ทุกอย่างยืนยัน 100% แล้วว่า MG HS พร้อมลงสู่ตลาดในกลุ่มเอสยูวีขนาดกลางหรือ C-SUV แทนที่ MG GS ที่ขายมายาวนานและได้เวลาผลัดใบเสียที
ความรู้สึกแรกที่เรารู้ว่า MG HS จะเปิดตัวในไทยคือตื่นเต้นประกอบกับลุ้นว่าจะมีทีเด็ดอะไรรึเปล่า ทันใดนั้น เอ็มจี ประเทศไทย ก็ร่อนจดหมายเชิญมาร่วม Sneak Preview ลองขับ ลองสัมผัส ลูบๆ คลำๆ เจ้า HS ตัวเป็นๆ ก่อนการเปิดตัว ที่สนามทดสอบของเอ็มจี ถ.ศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา วันนั่นแหละที่เรารู้ว่า MG HS ทำให้เราเปลี่ยนความรู้สึกเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากนี่เป็นเพียงการพรีวิว ดังนั้นรายละเอียดเสปก ออปชั่น ข้อมูล สถิติทั้งหลายจึงยังไม่มีการเปิดเผยออกมา มีเพียงรายละเอียดเบื้องต้นที่พอจะบอกได้ พร้อมกับให้ลองขับ 2 รอบสนามเพื่อดูอัตราเร่งและแฮนด์ลิ่งของรถ ดังนั้นข้อมูลในวันนี้จึงยังไม่ครบ แต่เราจะมาบอกว่าเอสยูวีคันนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง รวมถึงการขับขี่เบื้องต้น ส่วนพวกข้อมูลเต็มๆ และราคาจะได้รู้พร้อมกันในวันเปิดตัว 25 กันยายนนี้
ปรบมือให้กับรูปลักษณ์
“ปรบมือ” คืออากัปกิริยาแรกที่ทีมงานของเอ็มจีดึงผ้าคลุมรถคันนี้ออก อย่างที่เห็น รูปลักษณ์ภายนอกของ MG HS ดูดีอย่างมาก ดีไซน์โดยรวมให้อารมณ์แบบรถยุโรป ขนาดของตัวรถดูสมส่วน ลงตัว มีความสปอร์ตผสมความทันสมัย แม้จะไม่ดุดันมากแต่ก็อยู่ในระดับที่กำลังดี เราเพ่งมองท้ายรถอยู่ครู่หนึ่งก็ชวนให้นึกถึงบั้นท้ายของ Porsche Cayenne ได้กลายๆ ขณะที่ไฟท้ายบางคนก็มองว่าให้อารมณ์คล้าย BMW X3 มันไม่ได้เป็นการลอกเลียนแบบนะ แค่อารมณ์แบบชวนให้นึกถึงเฉยๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละท่านว่าจะคิดเหมือนเราหรือไม่
ดีไซน์ด้านหน้ามีความคล้ายกับรุ่นน้อง ZS แต่ถูกปรับใหม่ให้ดูโตขึ้น โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ชวนนึกถึงกระจัง Diamond grille ของค่ายดาวสามแฉก สอดรับไฟหน้า LED Projector และไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลท์ แบบ LED ที่เป็นไฟเลี้ยวในตัวและเป็นเอฟเฟกต์แบบไฟวิ่งให้ความหรูหราพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น กันชนหน้าเป็นแบบสปอร์ตตกแต่งด้วยชิ้นส่วนสีเงินอะลูมิเนียมและมีไฟตัดหมอกล้อมด้วยกรอบโครเมี่ยม
ด้านข้างรถมีความโค้งมน ซุ้มล้อตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำ ชายล่างของประตูมีแถบตกแต่งโครเมี่ยม มีราวหลังคา มีสปอยเลอร์หลังเพิ่มความสปอร์ต ลงตัวกับกันชนท้ายที่ตกแต่งด้วยแผ่นกันกระแทกสีเงินอะลูมิเนียม และปลายท่อไอเสียทรงวงรีออกซ้าย-ขวา ไฟท้ายเป็น LED และไฟเลี้ยวเป็นเอฟเฟกต์ไฟวิ่งเช่นเดียวกับไฟหน้า
ด้านตัวเลขมิติตัวถัง ระยะฐานล้อ น้ำหนักตัวรถ ทางเอ็มจียังไม่ได้เปิดเผยออกมา MG HS ที่นำมาให้เราดูนี้ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วมาเป็นมาตรฐาน จับคู่ยาง Goodyear Efficient Grip ขนาด 235/50R18
ภายในยกระดับสู่ความพรีเมี่ยม
เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในก็ต้องปรบมือรัวๆ กันอีกรอบเพราะมันชวนว๊าวอย่างมาก บรรยากาศของห้องโดยสารดูพรีเมี่ยมขึ้นอย่างมาก เบาะนั่งหุ้มหนังสีดำ-แดงที่เอ็มจีบอกว่าเป็นสีมาตรฐานติดรถไม่ใช่แพ็คเกจตกแต่งเสริม แดชบอร์ดหน้าและแผงประตูก็สีดำ-แดงเช่นกัน ที่สำคัญคือเป็นวัสดุซอฟท์ทัชทั้งหมด! และเป็นซอฟท์ทัชที่ดูดีมากๆ มีความประณีต ละเอียด ไม่ใช่ทำแบบขอไปที มีไฟบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบ Interactive เปลี่ยนสีตามโหมดขับขี่ ทั้งยังสามารถเลือกปรับได้เองมากถึง 64 สี! และมาพร้อมหลังคากระจกพาโนรามิกซันรูฟขนาด 1.19 ตารางเมตร!
พวกลายละเอียดต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดี ช่องแอร์วงกลมแบบ Jet Turbine ช่องแอร์กลางดีไซน์เข้ากับแผงปุ่มกดด้านล่าง แป้นเหยียบอะลูมิเนียม คอนโซลกลางตกแต่งด้วยพลาสติกขัดลายอะลูมิเนียม หัวเกียร์หุ้มหนัง ปุ่มปรับต่างๆ รอบคันเกียร์จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่องเก็บของกลางก็ทำฝาปิดไว้มิดชิด
จุดที่น่าชื่นชมคือหน้าจอสัมผัสกลางแดชบอร์ดแบบลอยตัว ขนาดไม่ได้ระบุไว้ว่าเท่าไรแต่รูปทรงของมันดูสวยทันสมัยเลยทีเดียว การแสดงผลคมชัด กราฟิกสวย ตอบสนองไว แน่นอนว่ารองรับระบบ i-SMART มีระบบนำทาง และแสดงภาพจากกล้องรอบทิศทาง 360 องศา ซึ่งสามารถปรับการแสดงผลได้หลากหลาย และยังปรับแสดงภาพจำลองให้เหมือนมีรถของเราเข้าไปอยู่ในภาพอีกด้วย
ชุดหน้าปัดของ MG HS เป็นเข็มอนาล็อก ฝั่งซ้ายวัดความเร็ว ฝั่งขวาวัดรอบเครื่องแบบทวนเข็มนาฬิกา แทรกกลางด้วยจอสี TFT ที่มีการทำมาตรวัดน้ำมันและอุณหภูมิเครื่องผนวกเข้าไป จอนี้ใหญ่พอที่จะแสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ อย่างชัดเจน แถมทำกราฟิกต่างๆ ออกมาได้อย่างสวยงาม อ่านค่าง่าย บอกข้อมูลครบทุกอย่าง เรายังไม่ได้เล่นอย่างละเอียดแต่คิดว่ามันน่าจะแสดงผลระบบความบันเทิงและระบบนำทางได้ด้วยเช่นกัน
เราชอบพวงมาลัยทรงสปอร์ตฐานตัดของ MG HS มาก ดีไซน์ของมันเหมือนรถยุโรปแถมหุ้มหนังและมีลูกเล่นตะเข็บสีแดง ก้านซ้ายเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ก้านขวาควบคุมเมนูของจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนหน้าปัด มีก้านแพดเดิลชิฟท์เล็กๆ อยู่ด้านหลัง ปุ่มแดงๆ ที่เห็นไม่ใช่ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์แต่เป็นโหมด SUPER SPORT สำหรับเพิ่มความเร้าใจขณะขับขี่ และไม่ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นครูสคอนโทรลบนก้านพวงมาลัยเพราะเอ็มจีย้ายมันไปไว้ที่คอพวงมาลัยด้านซ้าย แน่นอว่าคนที่ไม่ชินใช้งานแรกๆ ลำบากแน่ แต่มันเป็น Adaptive Cruise Control แล้วนะ
มองดูที่คันเกียร์จะเห็นว่ามันมีโหมด S พร้อมตำแหน่ง +/- สำหรับเล่นเกียร์ รอบฐานเกียร์มีเบรกคือไฟฟ้า ระบบ Auto Brake Hold ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ปุ่มปรับโหมดขับขี่ ที่น่าแปลกคือปุ่มไฟฉุกเฉินกับปุ่มเปิดประตูท้ายไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้
เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ต Bucket Seat นั้นเร้าอารมณ์มากๆ นึกถึงพวกรถ Performance Car จากฝั่งยุโรปเลย ด้านคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำ เข้า-ออก ได้ การรองรับของเบาะนั้นจัดว่าดี เบาะใหญ่ นุ่ม นั่งสบาย โอบกระชับสรีระ หมอนรองศีรษะเป็นแบบตายตัวปรับไม่ได้แต่ก็ให้ความสบายได้ดี
เบาะหลังมีพื้นที่กว้างขวางนั่งได้ 3 คน เบาะมีความนุ่ม แน่น พนักพิงปรับเอนได้ 3 ระดับ ปรับเลื่อนหน้า-หลังไม่ได้ เบาะตัวกลางดึงลงมาเป็นที่วางแขนและช่องวางแก้วน้ำได้ มีช่องแอร์ตอนหลังและช่อง USB 2 ช่อง พื้นที่ช่วงหัวเข่ามีเพียบ พื้นที่เหนือศีรษะโดนรบกวนจากหลังคากระจกพาโนรามิกเล็กน้อย อุโมงค์กลางที่พื้นไม่ใหญ่มาก โดยรวมแล้วคนตัวสูง 180 ซม. ก็สามารถนั่งได้สบาย การขึ้น-ลงรถสะดวกมากเพราะประตูบานหลังมีขนาดใหญ่
ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายไม่ใหญ่มากแต่พื้นห้องราบเสมอขอบกันชนหลัง ใต้พื้นมีช่องเก็บของอีก 2 ช่อง เบาะหลังพับแยกแบบ 60/40 แถมพับแล้วยังราบเสมอกับพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลังอีกด้วย ประตูท้ายเป็นระบบไฟฟ้าแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นแบบแฮนด์ฟรี
การขับขี่
สำหรับรายละเอียดเรื่องเครื่องยนต์นั้นทางเอ็มจียังไม่เปิดเผยข้อมูลออกมา เบื้องต้นเผยแค่ว่าเป็นเครื่องเบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบ จับคู่เกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัทช์ 7 สปีด แรงม้า แรงบิด อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลืองต่างๆ รอวันเปิดตัวทีเดียว ดังนั้นข้ามหัวข้อนี้ไปก่อน ขณะที่ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับ MG HS ที่เอ็มจีเผยออกมาในวันนี้ก็ได้แก่ ระบบช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension อุปกรณ์ความปลอดภัยมีระบบเตือนมุมอับสาย และระบบควบคุมให้รถอยู่ในเลน
เอาล่ะมาดูฟีลลิ่งการขับขี่กันดีกว่า การทดสอบวันนี้เราจะได้ขับ 2 รอบสนามเปรียบเทียบระหว่างโหมดปกติกับโหมด SUPER SPORT แบ่งเป็นการทดสอบอัตราเร่งและทดสอบแฮนด์ลิ่ง รอบแรกเริ่มด้วยโหมดปกติก่อน หลังจากเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย ปรับเบาะปรับพวงมาลัยให้เข้าที่ เราก็ค่อยๆ เคลื่อนรถเข้าสู่สถานีแรกคือทดสอบอัตราเร่ง
เมื่อกดคันเร่งสุด MG HS พุ่งทะยานจากจุดหยุดนิ่งพร้อมกับแรงดึงที่ไม่หนักมาก เป็นอัตราเร่งที่นุ่มนวล ต่อเนื่อง ความเร็วไหลขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างสุภาพเรียบร้อย เกียร์ 1 ดีดไปที่ราว 3,000 รอบ ก่อนจะตัดเข้าเกียร์ 2 อย่างนุ่มนวล เราไม่ได้ลองจับเวลา 0-100 กม./ชม. แต่คิดว่าอัตราเร่งประมาณนี้น่าจะทำตัวเลขได้ราว 10 วิต้นๆ สำหรับเอสยูวีครอบครัวแล้ว อัตราเร่งที่เรารู้สึกได้ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน เอาตัวรอดได้ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด
ต่อมาเป็นสถานีทดสอบแฮนด์ลิ่ง การตอบสนองของพวงมาลัยถือว่าทำได้ดี มีน้ำหนักเบาที่ความเร็วต่ำ แต่พอพ้น 60 กม./ชม. ไปก็เริ่มหนักขึ้น คอนโทรลง่ายเวลาเข้าโค้งและมีความเป็นธรรมชาติ อัตราทดพวงมาลัยปรับเซ็ตมาดี ระยะฟรีไม่เยอะเกินไปทำให้ควบคุมหน้ารถได้ง่ายและไวพอประมาณ เลี้ยวไปตามโค้งของสนามทดสอบได้อย่างคล่องตัว
ช่วงล่างปรับเซ็ตมาลงตัวทั้งความนุ่มและความหนึบ เข้าโค้งที่ความเร็ว 50 กม./ชม. ยังไม่โยนมาก รถเกาะถนนเข้าโค้งได้แบบเนียนๆ ในโค้งตัว S รถมีการตอบสนองที่ดีและยังควบคุมให้อยู่ในไลน์ได้โดยไม่รู้สึกฝืนเกินไป แต่พอใช้ความเร็วสูงขึ้นก็จะเจอกับอาการหน้าดื้อที่เพิ่มขึ้นตามมา
จังหวะยกคันเร่งก่อนเข้าโค้งรถแทบไม่ชะลอเลย ต้องแตะเบรกคุมไว้ จังหวะเร่งออกจากโค้งพอกดคันเร่งลงไปรถมีอาการดีเลย์เล็กน้อยเหมือนกำลังคำนวณการเข้าเกียร์ให้เหมาะสมกับรอบเครื่องอยู่ ซึ่งถ้าเป็นผู้ขับปกติอาจไม่ติดใจอะไร แต่ถ้าเป็นผู้ขับที่เน้นสมรรถนะอาจรู้สึกขัดใจบ้างเล็กน้อย
การตอบสนองของแป้นเบรกอยู่ในระดับดี มีระยะเหยียบปานกลางไม่ตื้นหรือลึกเกินไป คือเหยียบลงไปช่วงแรกจะมีระยะฟรีนิดๆ พอเพิ่มน้ำหนักเหยียบก็จะเริ่มหน่วงความเร็ว ตัวแป้นตอบสนองน้ำหนักการเหยียบได้อย่างเที่ยงตรง ทำให้กะระยะเบรกได้ง่าย
รอบที่ 2 เราปรับมาเป็นโหมด SUPER SPORT สิ่งที่แตกต่างไปคือเกียร์จะลากรอบมากขึ้นในจังหวะเร่งออกตัวแต่แรงดึงที่ได้ไม่ต่างจากโหมดปกติมากนัก พวงมาลัยจะรู้สึกว่าหนักขึ้นและคมขึ้นเล็กน้อย ส่วนการตอบสนองของช่วงล่างแทบไม่ต่างกันแบบเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม การทดสอบในวันนี้เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น เราได้รู้จักนิสัยของ MG HS เพียงบางแง่มุมซึ่งในการขับขี่จริงแล้วยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องพิสูจน์ ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่ารถคันนี้จะทำได้ดีแค่ไหน แต่จากที่เราได้สัมผัสวันนี้ MG HS มาไกลจาก GS ไกลโขแล้ว
สรุปความน่าใช้
MG HS เป็นรถที่ทำให้เราร้องว๊าวกับคุณภาพของห้องโดยสารที่ต้องบอกว่ามันดีงามแบบเกินหน้าเกินตาคู่แข่งระดับเดียวกันไปแล้ว มองทีไรก็นึกว่านั่งอยู๋ในรถยุโรปราคาแพง เรียกว่าเอ็มจีทำการบ้านมาดีมาก รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรและนำเสนอออกมาได้อย่างน่าชื่นชม กลายมาเป็นจุดเด่นและจุดขายที่อาจจะกลายเป็นไวรัลบอกต่อๆ กันในกลุ่มผู้ซื้อก็ได้ ประกอบดีไซน์ภายนอกที่สวยงาม สมส่วน น่าใช้ แค่นี้ก็น่าจะพอใจแล้วสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการความคุ้มค่า ถ้าเปิดราคามาชวนว๊าวอีกล่ะก็ มีหวังยอดขายกระหึ่มแบบที่ ZS ผู้น้องกำลังประสบอยู่ก็ได้
สำหรับการขับขี่แม้จะได้ลองแบบหอมปากหอมคอแต่ก็เชื่อว่ารถคันนี้เหมาะสมกับการใช้งานทั่วไปแล้ว จะใช้ในเมืองหรือพาครอบครัวออกเที่ยวต่างจังหวัดในวันหยุดก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหา คาแร็กเตอร์ของรถที่เน้นความสบาย ขับง่าย เป็นมิตรกับผู้ขับทุกเพศทุกวัย น่าจะตอบโจทย์ผู้ซื้อได้มากกว่าสมรรถนะที่จัดจ้านแต่ขับยากและขับไม่สบาย อย่างไรก็ตาม MG HS ก็ต้องได้รับพิสูจน์อีกหลายด่าน อาทิ การขับขี่ทางไกล ขับขี่บนทางลาดชัน อัตราสิ้นเปลือง ความประหยัด ถ้าหากผ่านบททดสอบเหล่านี้ไปได้อย่างสวยงามล่ะก็ รถคันนี้จะเป็นเอสยูวีครอบครัวที่น่าใช้มากๆ อีกรุ่นหนึ่ง เหลือก็แต่สเปก ออปชั่น รุ่นย่อย และราคา ที่จะทำออกมาได้น่าสนใจแค่ไหน ซึ่งอีกไม่นานก็จะได้รู้กัน
ขอขอบคุณ เอ็มจี ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้
Gallery