โลกเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนเช่นที่ค่ายรถยนต์ตราดาวพยายามเสนอสิ่งใหม่เช่น ยานยนต์รักษ์โลกปลั๊กอิน ไฮบริด ที่ผสานไว้ซึ่งความแรงและประหยัดไว้ในคันเดียว ด้วยภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz อันมีรถยนต์หลากประเภทให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ตามใจปรารถนา
โลกปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่นำพาทุกสิ่งอย่างเข้ามาให้ชีวิตมนุษย์ ไม่เว้นแม้แต่ยานพาหนะที่เริ่มนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ขับเคลื่อนแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ทว่าการจะเปลี่ยนรถทั้งหมดจากน้ำมันสู่ไฟฟ้าอย่างทันทีนั้นเป็นเรื่องงลำบาก เพื่อลดทอนปัญหาดังกล่าวรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม เนื่องจากมันเก็บประจุไฟฟ้าเพื่อใช้ในการเดินทางได้ระดับ 30 กม. ขึ้นไป อีกทั้งยังชาร์จไฟที่บ้านหรือจะให้ระบบจัดการตัวเองก็ย่อมได้
เพื่อพิสูจน์ว่ายานยนต์ลูกผสมเหล่านี้มีดีอย่างที่พูด Mercedes-Benz Thailand จึงจัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะรถยนต์ Plug-in Hybrid ทุกรุ่นทุกแบบที่จำหน่าย โดยใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-กระบี่ มีจุดแวะพักวันแรกที่หัวหินเพื่อเตรียมพร้อมเดินทางยาวลงภาคใต้ และประชุมฟังบรรยายสรุปผลิตภัณฑ์รวมถึงเส้นทางที่ใช้
Mercedes-Benz S 500 e – The Ultimate Comfort Luxury Saloon
การเดินทางทริปนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 3 วัน 2 คืน ซึ่งในวันแรกผมได้ร่วมทางกับพี่ๆ อีกสองท่านจากสายเว็บไซต์ที่สนิทกัน จะว่าไปแล้วการเดินทางไกลกับคนที่รู้ใจก็นับว่าเป็นเรื่องที่สนุกและสบายใจ ยิ่งเมื่อเราจับสลากได้ยานยนต์ตัวหรูเช่น S 500 e ด้วยแล้ว ผมจึงขอเสียสละเป็นผู้โดยสารด้านหลังเพื่อจับอาการความสบายที่รถคันนี้มอบให้
สำหรับพื้นที่โดยสารด้านหลังมีความกว้างขวางและอำนวยความสะดวกให้คนนั่งหลังที่สุด ทั้งด้วยเบาะนั่งปรับไฟฟ้าหลากทิศทาง ม่านบังแดดไฟฟ้าทั้งกระจกหน้าต่างและกระจกหลัง อีกทั้งยังมีจอหลังเบาะด้านหน้าให้มาครบ ทั้งนี้การนั่งแทบไม่รู้สึกสะเทือนเลยเมื่อรถวิ่งเร็วหรือผ่านทางขรุขระ ขณะเดียวกันตลอดเส้นทางมีการใช้ความเร็วพอสมควร ทว่า S 500 e ก็สามารถจัดการอาการโยนตัวเมื่อเปลี่ยนเลนกะทันหันได้เหมาะสม ทั้งๆ ที่ใช้ช่วงล่างถุงลมแบบ Air Matic (จากมุมมองคนนั่งหลัง)
แม้ไม่ได้เป็นคนขับแต่ก็ขอกล่าวถึงสเป็คกันบ้าง โดย S 500 e มาพร้อมเครื่องเบนซินเทอร์โบคู่ V6 ให้กำลัง 333 แรงม้า กับแรงบิด 480 นิวตัน-เมตร ขณะที่ขุมกำลังไฟฟ้าสร้าง 116 แรงม้า กับแรงบิด 340 นิวตัน-เมตรตั้งแต่รอบต่ำ ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้เร็วราว 5.5 วินาที ทั้งนี้ความประหยัดน้ำมันก็เป็นส่วนที่ทำให้รถหรูคันโตนี้น่าสนใจ เพราะมันทำอยู่ในช่วง 11-12 กม./ลิตรเลยทีเดียว
Mercedes-Benz E 350 e – Jack of all trades
ช่วงกลางปี 2016 ที่ผ่านมาเราได้ร่วมทดสอบ Mercedes-Benz E 220 d ตัวประกอบนอก ซึ่งคราวนั้นเป็นประสบการณ์แรกที่ทำให้เรารู้ว่า E-Class เจนฯ 10 นี้มีแนวทางต่อสู้กับคู่แข่งอย่างไร และเมื่อมาถึงปี 2017 ค่ายรถตราดาวก็ได้เปิดซับแบรนด์ EQ – Electric Intelligence ที่มาเพื่อตีตลาดรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดรักษ์โลกโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้า E 350 e ได้มาแทน E 220 d ที่มีอายุสั้นในตลาดไทยเพียง 1 ปีเท่านั้น เหตุผลมีหลายสาเหตุแต่ที่แน่ๆ คือผู้บริโภคจะได้รับความแรง ประหยัด และเทคโนโลยีที่อัดแน่นกว่ารุ่นก่อนแน่นอน
Mercedes-Benz E 350 e เป็น Executive car ที่มีรูปโฉมโค้งมนร่วมสมัยและไม่ได้ต่างอะไรนักกับรุ่น E 220 d จะมีก็ตรงที่คาลิปเปอร์เบรกสีฟ้ากับป้ายระบุรหัสรุ่นทรงฝากระโปรงท้ายเท่านั้น เหมือนเช่นกันกับภายในที่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับรุ่นเครื่องดีเซลล้วน ซึ่งโดยรวมนับว่าหรูหรา โอ่โถง และทันสมัยไม่แพ้คู่แข่ง แถมให้จอ 10.2 นิ้ว ถึง 2 จอวางต่อกัน เพื่อทำหน้าที่เป็นมาตรวัดความเร็วกับจอระบบสาระบันเทิง ส่วนของห้องโดยสารด้านหลังมีพื้นที่เหนือศีรษะกับที่วางขาเหลือเฟือ อย่างไรก็ตามห้องสัมภาระด้านท้ายถูกลดทอนพื้นที่ด้วยแบตเตอรีที่นูนขึ้นมากอยู่บ้าง
จุดเด่นที่ทำให้ E 350 e คันนี้ล้ำหน้าคู่แข่งก็มาจากระบบความปลอดภัยที่จัดเต็ม เริ่มด้วยระบบ Distance Distronic ที่เพียงแค่ผู้ขับขี่ปรับเลือกความเร็วที่ต้องการ จากนั้นระบบจะควบคุมคันเร่งและเบรกให้เองอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเจอไฟแดงหรือขับบนทางหลวงด้วยความเร็วเดินทางระบบก็จัดการหมด มันเหลือหน้าที่ให้คนขับเพียงบังคับพวงมาลัยกับยกก้านไฟเลี้ยวเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ก็มีระบบอื่นๆ อีกมากมาย
ในประเด็นการขับขี่เจ้า E 350 e นับว่ามีความคล่องแคล่วเมื่อขับในทุกระดับความเร็ว ขณะเดียวกันเมื่อวิ่งเร็วพวงมาลัยก็จัดว่ามั่นคงดีแต่ยังไม่สนุกหรือแม่นคมเท่าคู่แข่ง ถึงอย่างนั้นช่วงล่างแบบถุงลม Air Matic ของมันจะตั้งค่าออกมาเน้นความสบายไม่ได้กระด้างโหดแข็ง แต่ก็สามารถสาดเข้าโค้งหนักๆ ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไร ขณะที่ขุมพลังเบนซินเทอรโบ 2.0 ลิตร พร้อมกำลัง 211 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 88 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ยังคงมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ที่ถีบตัวส่งรถจาก 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ในเวลา 6.2 วินาที
โหมดไฮบริดมีทั้งสิ้น 4 แบบ ได้แก่ Hybrid, E-Mode, E-Save และ Charge โดยการวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวทำระยะทางได้ถึง 30-35 กม. ขณะที่ความประหยัดน้ำมันแบบขับเค้นให้เผาผลาญน้อยที่สุดก็ทำได้ราว 16 กม./ลิตร โดยการปล่อยให้ระบบจัดการพลังงานอีกจะมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะเราลองทดสอบด้วยการเลือกโหมดขับขี่เองแล้วพบว่า รถคันที่ให้ระบบไฮบริดจัดการเองทั้งหมดมีความประหยัดน้ำมันดีกว่า
Mercedes-Benz GLE 500 e – Powerful Plug-in Hybrid
&nbs
p; ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic ยังมิอาจควบคุมพลังของ GLE 500 e ยามกดคันเร่งเต็มเท่าออกจากไฟแดงพร้อมเสียงฟรีทิ้งของยางทั้ง 4 เส้นได้ ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะอยากให้รู้ว่าการนำขุมพลังเบนซินเทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร บล็อกเดียวกับที่อยู่ใน S 500 e มาใส่นั้นทำให้เจ้านี่เป็นยักษ์ใหญ่คันโตที่น่ากลัวมากหากใครเจอมันจ่อท้ายอยู่
สำหรับการขับขี่นั้นเราไม่ได้ขับ แต่ก็สามารถจับอาการได้ว่ามันเน้นความสบายตามสไตล์รถเอสยูวีคันโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับเดินทางไกลก็ยิ่งมีความมั่นใจเพราะทัศนวิสัยรอบคันดีมาก แต่เรื่องห้องโดยสารภายในยังดูไม่ทันสมัยเท่ากับ E-Class เพราะเจ้านี่ยังคงเน้นความทนทานและหรูหราตามแบบฉบับดั้งเดิม ส่วนพื้นที่ด้านหลังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องความสบายแม้จะนั่งกันถึง 3 คนก็ตาม
ประเด็นความประหยัดน้ำมันคืออีกสิ่งที่ผู้คนสงสัยมากว่า GLE 500 e ที่มีเครื่องบล็อกโตแต่จับเอาระบบไฮบริดมาประกับเข้านั้นจะทำได้น่าประทับขนาดไหน อย่างแรกคันนี้สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ถึง 30 กม. ด้วยการชาร์จไฟเต็มแบตฯ เพียงพอต่อการขับรถไปซื้อของหรือรับส่งลูกในระยะทางใกล้ๆ ได้ดีมาก แต่เมื่อไหร่ที่วิ่งออกต่างจังหวัดก็ต้องปล่อยให้ระบบจัดการพลังงานเอง เพราะมันจะรู้ว่าควรใช้ไฟฟ้าเสริมแรงหรือชาร์จพลังเข้าตอนไหน ผลที่ได้ออกมาทำให้ GLE 500 e คันนี้สามารถประหยัดน้ำมันได้อยู่ในช่วง 9.2-10.4 กม./ลิตร เลยทีเดียว ซึ่งจัดว่าน่าประทับใจมากเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมัน