[First Drive] Mazda CX-8 เอสยูวีเบาะ 3 แถวรุ่นใหญ่ ขับดี การควบคุมเยี่ยม ภายในพรีเมี่ยมขั้นสุด

      วันเปิดตัว CX-8 มาสด้าป่าวประกาศว่าเอสยูวีเบาะ 3 แถวรุ่นใหม่นี้คือเซกเมนต์ใหม่ของตลาดรถยนต์เมืองไทย จุดเริ่มต้นเกิดจากความตั้งใจที่อยากจะนำเสนอรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งเพื่อมาเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าจากที่แต่เดิมมีตัวเลือกจำกัดเฉพาะรถเอสยูวีพื้นฐานกระบะหรือ PPV ครองตลาดอยู่แทบทั้งหมด ประกอบกับตลาดรถอเนกประสงค์ของเมืองไทยก็กำลังเติบโตและมาสด้าเองก็มีผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าคนไทยอยู่แล้ว จังหวะเหมาะเจาะแบบนี้มาสด้าจึงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ถ้าหากเซกเมนต์นี้บูมขึ้นมาจริงๆ รับรองว่าในอนาคตเราจะได้ให้ผู้เล่นใหม่จากค่ายต่างๆ เข้ามาร่วมวงด้วยอย่างสนุกสนาน

        อย่างที่ทราบกันดีว่ารถ PPV นั้นมีลักษณะนิสัยหลายอย่างที่เหมือนกับรถกระบะติดตัวมา เช่น ความกระด้าง ความไม่คล่องตัวเมื่อขับในเมือง ส่วนสูงของตัวรถที่ส่งผลกระทบกับการขึ้น-ลง คุณภาพการขับขี่ รวมถึงความสะดวกสบายในห้องโดยสาร ซึ่ง CX-8 มีข้อได้เปรียบเหล่านี้เนื่องจากเริ่มพัฒนาจากการเป็นรถยนต์นั่ง ดังนั้นความสบายจึงมีมากกว่าอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ ดูจากการตั้งราคา 1.599 – 2.069 ล้านบาทแล้ว มาสด้าก็ไม่ได้ต้องการเข้ามาแย่งลูกค้าในตลาด PPV โดยตรง เพราะพวกเขาก็ตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าของตัวเองไว้ชัดเจนเช่นกัน

          เพียงอาทิตย์เดียวหลังงานเปิดตัว มาสด้าก็ได้เชิญ WHATCAR? Thailand มาร่วมทริปทดสอบสมรรถนะของ CX-8 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงนี้หน้าหนาวอากาศกำลังดี เชิญมาได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ มาสด้าเลือกเส้นทางจากเชียงใหม่ไปเชียงราย รวมระยะทางในการขับทดสอบไกลถึง 289 กม. ที่จริงมาสด้าขน CX-8 มาให้ลองกันหลายรุ่น แต่เราโชคดีได้ลองรุ่นท็อป XDL EXCLUSIVE เครื่องเบนซิน 2.2 ลิตร เบาะ 3 แถว 6 ที่นั่ง ราคาค่าตัว 2.069 ล้านบาท ขอบอกเลยว่าออปชั่นจัดเต็มมากๆ

เครื่องดีเซลที่นุ่มนวล

          เราชอบที่มาสด้ายังคงมีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกซื้อ ซึ่งเครื่อง 2.2 ลิตร เทอร์โบ ของ CX-8 ก็สร้างความประทับแรกตั้งแต่กดปุ่มสตาร์ทด้วยการทำงานรอบเดินเบาที่นุ่มนวล เงียบ และสั่นสะเทือนไม่ได้มากไปกว่าเครื่องเบนซิน 2.5 ลิตรเท่าไรนัก ให้ลองนึกถึงพวกเครื่องดีเซลในรถหรูแบรนด์ยุโรป อารมณ์ของ CX-8 เข้าใกล้ขั้นนั้นได้เลย เครื่องดีเซล 2.2 ลิตร บล็อกนี้ก็ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะพกพาฝูงม้ามากว่า 190 ตัว พร้อมแรงบิด 450 นิวตันเมตร เรียกได้ว่าฟัดกับพวกรถ PPV ได้สบายๆ

        การขับคลานความเร็วต่ำให้ความรู้สึกนุ่มนวลไม่ต่างจากรถเบนซิน เกียร์ทำงานได้อย่างลื่นไหล จังหวะชิฟท์ดาวน์ในเกียร์ต่ำ 2 ลง 1 ปราศจากอาการสะดุดใดๆ จังหวะกดคันเร่งคิ๊กดาวน์นี่แหละที่เราได้รับรู้ถึงพิษสงของแรงบิด 450 นิวตันเมตร คุณจะรับรู้ได้ถึงแรงดึงที่มากพอจะสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าได้ พร้อมกับทะยานไปข้างหน้าแบบนุ่มๆ เสียงเครื่องยนต์เบามากหากขับความเร็วคงที่ ยกเว้นตอนเหยียบคันเร่งที่จะมีการคำรามเบาๆ พอรู้ว่าเป็นนิสัยเครื่องดีเซล

        เราลองกดคันเร่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่งก็ต้องร้องว๊าวไปกับอัตราเร่งที่ตื่นตาตื่นใจ มันมีแรงดึงดีตั้งแต่รอบต่ำ ยิ่งเป็นเครื่องยนต์ที่มาพร้อมเทอร์โบแบบ 2 ขั้น การตอบสนองจึงมีความต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำไปจนถึงรอบสูง เราไม่ได้ลองจับเวลาแต่เข็มความเร็วขึ้นถึง 100 กม./ชม. ไวมาก หากเทียบกับ Honda CR-V เครื่องดีเซล 1.6 ลิตร เทอร์โบ แล้ว CX-8 เร่งดีกว่าพอตัวเลย

         เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดของ CX-8 ปรับเซ็ตอัตราทดเน้นที่ความนุ่มนวล ช่วงเกียร์ต่ำอัตราทดจะชิดกันและจะค่อยไล่ระดับอัตราทดให้กว้างขึ้นเมื่ออยู่ในเกียร์สูง การตอบสนองเมื่อใช้เกียร์ M +/- ค่อนข้างไวดี แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแป้นแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัยมาให้

            เส้นทางทดสอบนี้มีบางช่วงที่ต้องขึ้นเขา เจ้า CX-8 ชูนิ้วโป้งแล้วบอก “สบายมากลูกเพ่” คุณไม่ต้องกังวลเลยว่าขุมพลัง 190 แรงม้า กับน้ำหนักตัว 1,924 กก. จะขึ้นเขาไม่ไหว ต่อให้นั่งมาทั้งครอบครัวรวมคุณลูกคุณหลานปู่ย่าตายายมันก็แล่นชิวขึ้นทางลาดชันได้อย่างสบายๆ ขาขึ้นเขาคุณไม่จำเป็นต้องเข้าเกียร์ M ยังได้เพราะเกียร์จะปรับอัตราทดให้เองเมื่อรับรู้ว่ากำลังของรถเริ่มตก แต่ถ้าอยากคุณจะควบคุมเองก็จัดไป ขาลงทางลาดชันแนะนำว่าควรใช้เกียร์ M เพื่อช่วยหน่วงความเร็วและลดภาระของเบรกจะปลอดภัยกว่า

สมดุลการขับขี่

            ข้อดีของ CX-8 คือมันเป็นเอสยูวีที่พัฒนาบนพื้นฐานของรถยนต์นั่ง ดังนั้นโครงสร้างตัวถังของมันจึงเป็นแบบโมโนค็อกต่างจากรถ PPV ที่เป็นตัวถังวางบนแชสซี ความแตกต่างนี้รับรู้ได้ทันทีจากฟิลลิ่งการขับขี่ที่ออกแนวแน่น หนึบ และนุ่มนวล ที่ความเร็วต่ำชุดกันสะเทือนของ CX-8 ดูดซับอุปสรรคบนพื้นถนนอย่างฝาท่อ หลุม บ่อ รอยปะ เส้นจราจรต่างๆ ได้ดีมาก สามารถขับรูดผ่านแบบนิ่มๆ โดยไม่สะเทือนมากนัก เสียงของช่วงล่างมีความแน่น จังหวะโดดคอสะพานก็ไม่มีอาการกระเด้งมากวนใจ

         

       ถ้าเอา CX-8 มาจอดเทียบ CX-5 จะเห็นว่าขนาดของมันใหญ่กว่ากันไม่มากนัก นั่นคือเหตุผลที่ CX-8 คล่องตัวอย่างมากเมื่อโลดแล่นอยู่ในเมือง การซอกแซกเปลี่ยนเลนทำได้เนียน ประกอบกับพวงมาลัยที่เบาหวิว ทำให้มันเป็นเอสยูวีที่ขับง่ายไม่ต่างจาก CX-5

       ตัวถังที่ใหญ่กับความสูงที่ไม่ระฟ้าเหมือนพวก PPV ทำให้ขับความเร็วสูงแล้วมีแต่ความหนึบแน่นมั่นใจ ช่วงล่างเกาะถนนดีทั้งทางตรงและในโค้ง แถมยังนิ่งสนิทไม่โคลงเคลง ระบบบังคับเลี้ยวยังคงดีงามเหมือน CX-5 มีความเที่ยงตรงและสื่อสารกับคนขับอย่างชัดเจนด้วยการเลี้ยวที่แม่นยำ มีระยะฟรีที่เหมาะสมส่งผลถึงการควบคุมที่ง่านและมั่นใจ น้ำหนักพวงมาลัยที่ความเร็วต่ำนั้นเบาสบายไม่ต่างจากรถเก๋งทั่วไป พอใช้ความเร็วสูงพวงมาลัยจะหนักขึ้นแต่ความไวและการตอบสนองต่างๆ ยังเป็นธรรมชาติ

         เราแอบเสียดายนิดนึงที่ CX-8 ยังไม่ได้รับการอัพเกรดเป็นระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่ G-Vectoring Control Plus แบบ Mazda3 ตัวล่าสุด อย่างไรก็ตาม เส้นทางทดสอบทริปก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงเสถียรภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมของ CX-8 ปกติการเข้าโค้งของรถยกสูงจะเกิดแรงเหวี่ยงออกด้านนอกของโค้งมากกว่ารถเตี้ย แต่ CX-8 สามารถจัดการแรงที่ว่านี้ได้อย่างสมดุล ช่วยให้ตัวถังไม่โยนมากเมื่อเข้าโค้ง ซึ่งหน้าที่การจัดการความสมดุลของรถมาจากระบบ GVC ที่จะช่วยปรับแรงบิดให้เหมาะสมกับลักษณะของโค้งจากการคำนวณองศาการหมุนของพวงมาลัย พร้อมกับถ่ายน้ำหนักของรถให้อยู่ในภาวะสมดุลทั้งหน้าและหลัง ช่วยให้สามารถเข้าโค้งได้ง่ายขึ้น อาการหน้าดื้อและท้ายปัดจะน้อยลง สามารถขับผ่านโค้งได้อย่างสนุกสนานและมั่นใจโดยที่ผู้โดยสารไม่รู้สึกเมารถ

        ระบบเบรกของ CX-8 ให้จานเบรกแบบมีช่องระบายความร้อนขนาด 320 มม. จานเบรกหลังแบบปกติขนาด 325 มม. ตลอดเส้นทางขับขี่เราเจอถนนทุกแบบทั้งทางราบ ทางลาดชัน และโค้งบนเขามากมาย บอกเลยว่าเบรกชุดนี้เอาอยู่ มันรองรับกับการใช้งานหนักได้อย่างสบายๆ แป้นเบรกมีระยะฟรีเล็กน้อยเพื่อสัมผัสที่นุ่มนวล ตอบสนองดี สามารถกะน้ำหนักการเบรกได้ง่าย

ขับสบาย ขับทางไกลยิ่งชอบ

           สิ่งหนึ่งที่น่าจะชักชวนคนให้หันมาสนใจเอสยูวีเบาะ 3 แถวคันนี้คือความสบายแบบที่รถ PPV ให้ไม่ได้ เริ่มตั้งแต่ประสิทธิภาพการป้องกันเสียงรบกวนที่ทำออกมาได้น่าประทับใจมาก เราไม่ได้ยินเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาตามขอบหน้าต่างเลยถ้าขับไม่เกิน 110 กม./ชม. เสียงยางก็ค่อนข้างเงียบเช่นกัน จะได้ยินก็ต่อเมื่อความเร็วแตะหลักร้อยแล้ว ยิ่งได้ระบบเสียง BOSE ลำโพง 10 ตัวรอบทิศทางด้วยแล้วล่ะก็ คุณจะได้ซึมซับทุกรายละเอียดของบทเพลงได้แบบเต็มอิ่มแม้จะใช้ความเร็วเดินทางอยู่ก็ตาม

          CX-8 ของเราใส่อุปกรณ์ช่วยขับขี่เข้ามาเต็มพิกัด ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันช่วยได้มากเมื่อต้องขับรถทางไกลเป็นเวลานาน มันสามารถชะลอความเร็วและเร่งตามรถคันหน้าได้อย่างนุ่มนวล ระบบเตือนมุมอับสายตาก็ช่วยป้องกันการเฉี่ยวชนขณะเปลี่ยนได้ ขณะที่ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนก็จะสั่นเตือนและช่วยรั้งพวงมาลัยกลับเข้ามาในเลนให้โดยอัตโนมัติหากเผลอขับออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ทั้งหมดนี้ช่วยมอบความสบายและความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี

           ด้านความประหยัด CX-8 มาพร้อมกับตัวเลขจากโรงงานที่ 14.7 กม./ลิตร จากการขับขี่จริงของเราบนเส้นทางที่หลากหลาย มีสัมภาระ และไม่ได้ขับแบบเน้นประหยัดเอาโล่ จังหวะไหนแซงได้ก็กดคันเร่งมิดเพื่อแซง ตรงไหนมีทางตรงยาวเราซัด ตัวเลขที่แสดงออกมากลับอยู่แถวๆ 12-13 กม./ลิตร ถือว่ารับได้นะ ใกล้เคียงกับตัวเลขจากโรงงาน เท่าที่เราสังเกตถ้าขับความเร็วคงที่ 110 กม./ชม. เครื่องยนต์ยังทำงานไม่ถึง 2,000 รอบเลยด้วยซ้ำบนเกียร์ 6 เรียกได้ว่าขับในเมืองอาจกินจุหน่อย แต่ขับทางไกลแล้วค่อนข้างประหยัดพอตัว แถมถังน้ำมันใหญ่จุ 74 ลิตร วิ่งทางราบปกติได้ถึง 600 กม. แน่นอน

          ความสบายต่อมาคือตำแหน่งนั่งขับที่สูงกว่ารถเก๋งแต่ไม่โย่งเท่ารถกระบะ เป็นตำแหน่งที่กำลังดี ทัศนวิสัยรอบคันของ CX-8 ก็ดีเช่นกัน มุมด้านหน้ากว้างไกล เสา A-pillar ไม่หนาจนเกินไป มุมมองผ่านไหล่ถ้าไม่มีคนนั่งเบาะแถวสามก็โล่งตาดี เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีตัวดันหลังมาช่วยเพิ่มความสบายเมื่อต้องนั่งขับนานๆ ตัวเบาะมีความนุ่ม โอบกระกับสรีระได้ดี พนักพิงใหญ่ หมอนรองศีรษะไม่ดันหัวจนเกินไป พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ขึ้น-ลง-เข้า-ออก โดยรวมแล้วนี่คือตำแหน่งนั่งขับที่ไม่ว่าจะเดินทางใกล้ไกลก็สบายเหมือนกัน

         เมื่อนั่งเบาะคนขับจะเข้าถึงการควบคุมต่างๆ ได้ง่าย หน้าจอ Center Display ขนาด 7 นิ้วอยู่ในตำแหน่งที่สูงทำให้มองง่าย จอนี้ควบคุมการทำงานผ่านปุ่มหมุน Center Commander ที่คอนโซลกลาง มีปุ่มลัดกดเข้าเมนูสำคัญได้อย่างรวดเร็ว คอนโซลกลางที่สูงยังช่วยให้ผู้ขับวางข้อศอกบนที่วางแขนกลางแล้วใช้มือซ้ายเข้าเกียร์หรือกดปุ่มที่อยู่ใกล้ๆ เกียร์ ได้อย่างสะดวก หน้าผู้ขับมีจอ Windshield Active Driving Display แสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกทำให้ไม่ต้องละสายตาจากถนน หน้าปัดเป็นแบบอนาล็อกวัดรอบและวัดความเร็ว ออกแบบสวย อ่านค่าง่าย มีจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีขนาด 4.6 นิ้วที่บอกข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยใช้งานง่าย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอยู่ที่ก้านพวงมาลัยฝั่งขวาใช้งานง่ายเช่นกัน

 

         ระบบความบันเทิงของ CX-8 มีฟังก์ชั่นใช้งานที่ครบครัน หน้าจอมีความละเอียดสูง เมนูสวย ใช้งานง่าย ระบบมีความลื่นไหล รองรับ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง ที่สำคัญมีเครื่องเล่น DVD มาให้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ไม่มีติดมา

ภายในสำหรับครอบครัว

          มาสด้าบอกแต่แรกแล้วว่า CX-8 เกิดมาเพื่อครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีไลฟสไตล์แบบคนเมือง วันปกติทำงาน วันหยุดออกเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ความต้องการของคนกลุ่มนี้คือพื้นที่ภายในที่กว้างขวางและเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน คุณจะเข้า-ออกรถได้อย่างสะดวกสบายจากประตูขนาดใหญ่และความสูงที่ไม่มากจนต้องปีนบันไดข้างขึ้น พื้นที่เบาะหน้ามีมากมาย กว้างขวาง โปร่งสบาย

         ประตูหลังเปิดได้กว้าง 80 องศา ช่วยให้เข้าออกสะดวกทั้งเด็กเล็กและผู้สูงอายุ พื้นที่เบาะแถวสองกว้างขวาง คนตัวสูง 180 ซม. ยังมีที่ว่างเหลือๆ เป็นเบาะแบบ Captain Seat แยก 2 ฝั่งซ้ายขวาชัดเจน มีคอนโซลกลางกั้น ตัวเบาะใหญ่ นุ่ม นั่งสบายที่สุดของรถมาสด้าเลยท่าน มีระบบอุ่นเบาะ ปรับเอนได้ 22 – 30 องศา ปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ 120 มม. แต่เป็นระบบปรับมือทั้งหมด ตัวคอนโซลกลางเป็นที่วางแก้วและกล่องเก็บของ ภายในมีช่อง USB 2 ช่อง มีแอร์ตอนหลังที่สามารถปรับแรงลมและอุณหภูมิได้

     

           การเข้า-ออกเบาะแถวสามเป็นเรื่องง่ายเพียงดึงคันโยกเหนือพนักพิงแล้วดันเลื่อนเบาะไปทางด้านหน้า จากนั้นจึงปีนพาตัวเองเข้าไปนั่งยังเบาะแถวสามแล้วค่อยดึงเบาะแถวสองกลับมาในปกติ กระบวนการนี้ต้องใช้แรงนิดนึง ทางที่ดีถ้ามีเด็กหรือผู้สูงอายุ คุณหนุ่มๆ ทั้งหลายก็ควรจะทำให้พวกเขา การออกจากเบาะแถวสามนี่ก็ใช้วีธีการเดียวกัน

         พื้นที่เบาะแถวสามมีค่อนข้างจำกัด ถ้าคุณตัวสูงเกิน 170 ซม. จะเริ่มรู้สึกว่านั่งไม่สบาย เข่าติดเบาะหน้า ที่ว่างเหนือศีรษะเหลือนิดเดียว แต่ถ้าเตี้ยกว่านั้นก็นั่งได้ไม่มีปัญหา ดังนั้นเราจึงมองว่ามันเหมาะกับเด็กๆ หรือคนตัวเล็กมากกว่า คนตัวใหญ่ก็นั่งได้ในระยะทางสั้นๆ แต่ถ้าทางไกลไม่น่าจะโอเคสักเท่าไร อีกอย่าง คอนโซลกลางของเบาะแถวสองจะไปรบกวนพื้นที่ของเบาะแถวสาม แม้จะเลื่อนเบาะแถวสองไปข้างหน้าจนสุดแต่ไอ้เจ้าคอนโซลกลางตัวนี้มันก็ไม่ได้เลื่อนตามไปด้วย

           ห้องเก็บสัมภาระของ CX-8 เรียกว่าใหญ่เพียงพอกับสัมภาระของครอบครัวแม้จะไม่สามารถพับเบาะแถวสองลงได้ ถ้ากางเบาะทั้งสามแถว พื้นที่ด้านท้ายก็ยังมีเยอะพอสมควร แต่ถ้าพับเบาะแถวสามลงคุณจะพบกับที่ราบขนาดใหญ่ที่ใส่สัมภาระได้มากมาย ตัวพื้นห้องราบเสมอขอบกันชน เบาะแถวสามพับแยกแบบ 50/50 สะดวกสบายด้วยประตูท้ายไฟฟ้าแต่ยังไม่เป็นแบบแฮนด์ฟรีนะ

สรุปความน่าใช้

           หลายคนบอกว่า CX-8 คือ CX-5 ที่ขยายความยาวขึ้นใช่หรือไม่? คำตอบคือใช่แต่ไม่ทั้งหมด เจ้านี่คือการนำเอาข้อดีของ CX-9 พี่ใหญ่สุดมารวมกับ CX-5 แล้วพัฒนาออกมาให้เป็นส่วนผสมที่อยู่ตรงกลาง คือได้ทั้งความสปอร์ต ได้ทั้งพื้นที่ ได้ทั้งความหรูหราพรีเมี่ยม ได้ทั้งการขับขี่ที่สนุกสนานและมั่นใจ CX-8 จึงไม่เพียงแต่เป็นรถครอบครัวแต่มันยังเป็นรถที่ตอบโจทย์ความต้องการได้กว้าง มันขับดีแบบรถยนต์นั่ง นุ่มนวล คล่องตัว จุคนได้มาก ปลอดภัย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ต้องขอบคุณมาสด้าที่มองเห็นถึงข้อได้เปรียบจากรถ PPV และนำเสนอในสิ่งที่เราเชื่อว่ามีผู้ซื้อหลายคนอยากรถแบบนี้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีจึงจำเป็นต้องหันไปคบ PPV แทน ตอนนี้ทางเลือกใหม่อย่าง CX-8 มาแล้ว หวังว่าถ้าคุณได้ลอง คุณน่าจะชอบมันเหมือนกับเรา

          อย่างไรก็ตาม CX-8 XDL EXCLUSIVE เป็นรถที่เน้นความหรูหรามากกว่าความอเนกประสงค์ เบาะนั่งมีเพียง 6 ที่นั่ง แต่คุณได้ออปชั่นและระบบความปลอดภัยหลายอย่างเพิ่มขึ้นมา ได้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ i-ACTIV AWD ดังนั้นลองตัดสินใจดูว่าราคาค่าตัวที่ทะลุ 2 ล้านบาทกับสิ่งที่ได้มันตอบโจทย์ไหม ถ้าคุณมีครอบครัวขนาดใหญ่ 6-7 คน ไปไหนพร้อมกันทั้งบ้าน เบาะ Captain Seat อาจไม่จำเป็น รุ่นรองลงไปที่มีเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่งอาจเหมาะสมกว่า

 ขอขอบคุณ มาสด้า ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้

ดูรายละเอียดสเปก All-New Mazda CX-8 ได้ที่ http://bit.ly/32EPfrb

ราคาและรุ่นย่อย

Gallery

Exit mobile version