คอมแพ็คเอสยูวียอดนิยม ปรับโฉมเพิ่มความสปอร์ตพรีเมียมด้วยรุ่น RS ใหม่ ชูจุดเด่นที่รูปลักษณ์ดีไซน์ ความสะดวกสบายและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัยยิ่งขึ้น การขับขี่ยังคงดีงามเช่นเคย นี่จะเป็นการตอบโต้คู่แข่งด้วยชั้นเชิงและความน่าเชื่อถือที่ฮอนด้าไม่เคยทำให้ผิดหวัง ราคา 1,119,000 บาท
4 ปีกับอายุของรถยนต์หนึ่งโมเดลเป็นเวลาที่เหมาะสมกำลังดีสำหรับการปรับปรุงปรับโฉม เพราะกระแสตลาดและคู่แข่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะให้นิ่งอยู่เฉยธรรมดาๆ คงไม่ได้ Honda HR-V ถูกแนะนำเข้าสู่ตลาดครั้งแรกในปี 2014 พร้อมกับปลุกประแสรถยนต์คอมแพ็คเอสยูวีให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง โดยสามารถทำตัวเลขการขายได้อย่างสวยหรูที่ 66,000 คันตลอด 3 ปี่ผ่านมา พ่วงตำแหน่งแชมป์ยอดขายของเซกเมนต์ไปด้วย
Honda HR-V ใหม่ เข้ามาสานต่อความสำเร็จดังกล่าวทันทีด้วยการปรับปรุงดีไซน์ภายนอกและอัพเกรดอุปกรณ์ให้ทันกับกระแสตลาด มีการปรับรุ่นย่อยใหม่จาก 4 เหลือ 3 รุ่น โดยเปลี่ยนรุ่นเริ่มต้นจาก S เป็น E ไล่มาเป็น EL และรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด RS ที่เราได้ทดสอบ
การทดสอบในครั้งทางฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย พาเรามาสัมผัสธรรมชาติไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่ จ.นครนายก แม้จะเป็นเส้นทางที่ไม่ไกลมากแต่ก็มีครบทุกรสชาติให้ได้ลิ้มลองสมรรถนะของ HR-V RS กันพอหอมปากหอมคอ แต่ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า HR-V RS มีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจบ้าง
ปรับสู่ความสปอร์ตเต็มพิกัด
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือรูปลักษณ์ภายนอกที่สปอร์ตกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเป็นธรรมเนียมของรถรุ่นใหม่ๆ ไปแล้วที่จะเน้นภาพลักษณ์แบบสปอร์ตดุดันก่อนเป็นอันดับแรก HR-V RS มาพร้อมกับกันชนหน้า-หลังดีไซน์ใหม่ เสริมด้วยลิ้นใต้กันชนหน้าดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ไฟหน้าเปลี่ยนมาเป็นแบบ Full LED เหมือน Civic และ CR-V รุ่นล่าสุด เสริมดุด้วยกระจังหน้าโครเมียมรมดำ และที่ขาดไม่ได้เลยคือไฟเดย์ไทม์ LED ที่เป็นเหมือนของสามัญสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ
หันมาที่ด้านข้างจะพบสเกิร์ตข้างสีดำแบบสปอร์ต มือจับประตูด้านหน้าสีโครเมียมรมดำ กระจกมองข้างสีดำ และล้ออัลลอยสีทูโทนลาย 5 ก้านขนาด 17 นิ้ว หุ้มด้วยยาง 215/55 R17 ทั้ง 4 ล้อ
ด้านท้ายมาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังคาแบบสปอร์ต โลโก้ RS โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ประตูท้าย ขณะที่ไฟท้ายก็ปรับเป็นแบบรมดำเพิ่มความดุ ขั้นระหว่างสองฝั่งด้วยพลาสติกโครเมียมรมดำ พร้อมกับสีตัวถังใหม่ สีแดงแพสชั่น ที่ช่วยขับอารมณ์สปอร์ตของรถให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากความสปอร์ตที่ชัดเจนขึ้นในทุกมุมมองแล้ว HR-V RS ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยที่อัพเกรดเพิ่มเข้าใหม่นั่นก็คือระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (City Brake Active System) ระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. เสริมด้วยระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจออกห่างตัวรถ นับเป็นการอัพเกรดระบบความปลอดภัยที่น่าสนใจแต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งใกล้เคียงก็ยังตามหลังอยู่นิดๆ
ภายในสะดวกสบายเช่นเคย
รถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นขึ้นชื่อในเรื่องความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารอยู่แล้ว ภายในของ HR-V RS ไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์มากนัก มีเพียงแป้นเหยียบอะลูมิเนียม ผ้าบุหลังคาสีดำ และเบาะดีไซน์ใหม่ที่ดูสปอร์ตขึ้นเพิ่มเข้ามา การตกแต่งภายในมีความเรียบร้อยและดูแน่นหนาตามมาตรฐาน แดชบอร์ดเยื้องเข้าหาผู้ขับเล็กน้อยทำให้เข้าถึงได้สะดวกมากขึ้นในขณะขับขี่
เบาะหน้ามีพื้นที่กว้างขวาง คนตัวสูง 180 ซม. สามารถเข้าออกรถขึ้น-ลงรถได้อย่างสะดวก เบาะหลังกว้างขวางนั่งสบาย มีการเพิ่มพนักพิงศีรษะตรงกลางเข้ามา สามารถปรับเอนพนังพิงหลังได้เล็กน้อย เบาะมีความนุ่มสบายกำลังดี จุดที่ชอบคือความโปร่งของห้องโดยสารเพราะมาพร้อมกับหลังคากระจกพาโนรามิกซันรูฟเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า
HR-V RS ยังมอบความอเนกประสงค์ที่ดีเยี่ยมด้วยห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ขนาด 565 ลิตร พนักพิงเบาะหลังพับได้ในอัตราส่วน 60:40 สามารถปรับพับที่นั่งได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Utility Mode, Tall Mode และ Long Mode รองรับการขนสัมภาระได้หลากหลายรูปแบบ
ออปชันภายในไม่มีอะไรใหม่ โดดเด่นด้วยเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อครบครันทั้ง Bluetooth, AUX และ USB ความละเอียด หน้าตาเมนู และสีสันของหน้าจออยู่ในระดับดี ตอบสนองไวพอสมควร จอนี้จะแสดงภาพจากระบบ Honda LaneWatch ทุกครั้งที่ยกไฟเลี้ยวเมื่อเปลี่ยนเลน ถ้ารำคาญสามารถปิดระบบได้ด้วยปุ่มกดที่ปลายก้านไฟเลี้ยว
ด้านออปชันอื่นๆ ก็ใส่มาให้ครบตามสมัยนิยม อาทิ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน Cruise Control เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ หน้าปัดแบบเข็มพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ รวมถึงปุ่ม ECON สำหรับประหยัดพลังงาน
การขับขี่
HR-V RS ใช้เครื่องยนต์เดิมไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น โดยเป็นเครื่องเบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร SOHC i-VTEC ให้แรงม้า 141 ตัว ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 172 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ CVT มีแป้นแพดเดิลชิฟท์สำหรับตบเกียร์เองที่พวงมาลัย
จากการขับขี่โดยรวม เครื่องยนต์และเกียร์ชุดนี้ให้การตอบสนองที่ดี อัตราเร่งในช่วงต้นไม่อืดอาด มีความกระฉับกระเฉงเหยียบแล้วพุ่งติดเท้า การเร่งแซงในช่วงความเร็วปานกลางทำได้ลื่นไหลโดยไม่จำเป็นต้องลดเกียร์ช่วย ขับความเร็วสูงเครื่องยนต์ก็ยังทำงานอย่างนิ่งสงบ
เกียร์ CVT เด่นในเรื่องความต่อเนื่องนุ่มนวลอยู่แล้วซึ่งมันทำให้เราเหยียบเพลินจนแตะ 120 กม./ชม. ได้อย่างไม่ยากเย็น แม้ว่าความสนุกและความดิบจะไม่สู้เกียร์ทอร์คคอนเวอร์เตอร์แต่สิ่งที่ HR-V RS มอบให้ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ใครที่ชอบขับในสไตล์นุ่มนวล ขับง่ายขับสบาย น่าจะถูกอกถูกใจอย่างแน่นอน
โชคดีที่เส้นทางในการทดสอบของเรามีขึ้นเขาและทางโค้งให้วัดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และช่วงล่าง การขับขี่ทางราบทั่วไปไม่มีปัญหาอยู่แล้วสำหรับ HR-V RS ขณะที่การขับขึ้นทางลาดชันก็ยังคงมีเรี่ยวแรงให้เรียกใช้ได้แบบเหลือๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เกียร์ต่ำก็ได้เพราะเกียร์จะปรับอัตราทดให้เอง แถมยังมีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันมาช่วยลดความกังวลของคนที่ไม่ค่อยได้เที่ยวป่าเขาด้วย ส่วนตอนขับลงเขาก็ควรใช้เกียร์ต่ำช่วยประคองเพื่อความปลอดภัย
ช่วงล่างของ HR-V RS มีความนุ่มนวลเป็นทุนเดิมพร้อมกับแน่นหนึบกำลังดี ขับขี่ทั่วไปได้อย่างสบายอารมณ์เพราะมันเก็บทุกการกระแทกจากถนน ทั้งยังนิ่งและมั่นคงเมื่อขับขี่ความเร็วสูง เมื่อเจอโค้งเราลองสาดด้วยความเร็ว 60-70 กม./ชม. พบว่ามันยังทรงตัวได้ดีอยู่ รถยังอยู่ในการควบคุม ตัวถังไม่โยนมากจนน่ากลัว และยังรู้สึกว่าเกาะโค้งได้เนียนพอสมควร ทั้งนี้ต้องขอบคุณระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA ที่ทำให้การขับขี่บนทางโค้งกลายเป็นเรื่องสนุก
พวงมาลัยของ HR-V RS มอบการควบคุมที่ไว้ใจได้ ที่ความเร็วต่ำมีความหนืดพอเหมาะพอดีทำให้หมุนควงเพื่อหักเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลนได้อย่างสะดวก มีความแม่นยำ มีระยะฟรีที่เหมาะสมไม่มากไม่น้อยเกิดไปทำให้กะจังหวะได้ง่าย ขณะที่ความเร็วสูงพวงมาลัยจะหนืดขึ้น มีการตอบสนองที่ไวพอประมาณและนิ่ง โดยรวมเป็นการเซ็ตมาเพื่อเน้นความสบาย เอาใจผู้ใช้ที่ชอบความพอดีหรือสุภาพสตรีที่ขับขี่ในเมืองเป็นหลัก
ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ การตอบสนองทำได้ดี เบรกไม่ลึกทำให้ไม่ต้องออกแรงเหยียบมาก การหน่วงความเร็วเป็นไปตามน้ำหนักเท้าที่เหยียบทำให้กะระยะง่าย ไม่ต้องทำความคุ้นชินอะไรมากก็สามารถขับได้อย่างสบายใจ มีฟังก์ชัน Brake Hold มาช่วยผ่อนคลายขณะติดไฟแดง
ตลอดเส้นทางการขับทดสอบเราค่อนข้างใช้ความเร็วสูงประมาณ 120-130 กม./ชม. เมื่อเจอทางตรงยาว สิ่งที่สัมผัสได้ตลอดก็คือเสียงรบกวนที่ไม่น่ารำคาญจนเกินไป การป้องกันเสียงลมและเสียงยางบดถนนของ HR-V RS ทำได้น่าพอใจ แต่ตำแหน่งเบาะหลังจะมีเสียงภายนอกเล็ดลอดเข้ามามากกว่าเล็กน้อย
ด้วยเส้นทางที่ขับมีหลากหลายรสชาติทั้งในเมือง นอกเมือง ทางขึ้น-ลงเขาลาดชัน ตลอดจนการขับขี่แบบปกติที่ไม่ได้เน้นเอาความประหยัด และค่อนใส่กันหนักพอสมควร ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่แสดงบนจอ MID บ่งบอกว่ารถคันนี้กินไม่จุ ถึงแม้จะเป็นเครื่อง 1.8 ลิตร แต่ตัวเลขที่ทำได้ราว 12 กม./ลิตร จากการขับตลอดทั้งทริปถือว่าน่าพอใจมากๆ
สรุปความน่าใช้
HR-V RS เป็นการยกระดับแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ให้ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวโดนใจวัยรุ่นมากขึ้น เป็นการต่อยอดจากจุกเด่นเรื่องดีไซน์ที่มีเป็นทุนเดิม บุคลิกของรถยังเป็นคอมแพ็คเอสยูวีที่ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นขับขี่ง่าย สะดวกสบาย มีความความประหยัดที่น่าพอใจ อัตราเร่งอาจจะไม่โหดดุดันแต่ก็มีพละกำลังเหลือๆ สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือท่องเที่ยววันหยุด ขณะที่ช่วงล่างก็ให้ความนุ่มหนึบที่ไว้ใจได้
ห้องโดยสารที่กว้างขวางและโปร่งสบายคืออีกจุดเด่นที่คุณจะหลงรัก HR-V RS พร้อมกับห้องเก็บสัมภาระที่มีขนาดใหญ่โตกว่าคู่แข่งร่วมเซกเมนต์ ตลอดจนออปชันมาตรฐานที่ให้มาก็สมฐานะรถราคาระดับนี้ แต่หากคุณไม่ชอบความเว่อร์วังแบบ RS คุณสามารถดูรุ่นรองลงมาอย่าง EL ได้ โดยราคาค่าตัวของมันอยู่ที่1.059 ล้านบาท ออปชันมาตรฐานก็ไม่แตกต่างจาก RS เท่าไร แต่ถ้าใครชอบความเรียบง่าย รุ่นเริ่มต้น E ราคา 9.49 แสนบาท ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
แน่นอนว่าปัจจุบันกลุ่มรถคอมแพ็คเอสยูวีเริ่มมีตัวเลือกให้พิจารณามากขึ้น การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ก้าวล้ำกว่าคู่แข่งจึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สิ่งสำคัญคือผู้บริโภคต้องตอบคำถามของตัวเองก่อนว่าต้องการรถแบบไหน ใช้งานอย่างไร ชอบคาแร็กเตอร์แบบไหน เปรียบเทียบออปชันที่ได้กับความจำเป็น รวมทั้งต้องดูราคาที่เหมาะสม หลังจากนั้นควรหมั่นหาข้อมูล อ่านรีวิว หรือไปลองขับดูก่อน เพราะการซื้อรถก็เหมือนการเลือกคนรักที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขาให้ได้อย่างมีความสุขในทุกๆ วัน แล้ว HR-V RS ล่ะ ใช่คนที่คุณรักแล้วรึเปล่า?
ข้อมูลสำหรับผู้ซื้อ Honda HR-V RS |
|
ราคา |
1,119,000 บาท |
เครื่องยนต์ |
เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร i-VTEC |
พละกำลัง |
141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที |
แรงบิด |
172 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที |
ระบบเกียร์ |
อัตโนมัติ CVT |
0-100 Km/h |
10.6 วินาที |
ความเร็วสูงสุด |
202 กม./ชม. |
อัตราสิ้นเปลือง |
12 กม./ลิตร (ประมาณ) |
Gallery