ลองมองดูบนท้องถนนแล้วกวาดสายตาหารถซีดานขนาดกลาง D-Segment ป้ายแดง ทำไมมันน้อยนิดและหายากขึ้นไปทุกทีๆ สวนทางกับพวกรถครอสโอเวอร์ เอสยูวี ที่วิ่งกันเกลื่อนเต็มไปหมด หรือยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว รถ D-Segment กำลังจะสุญพันธุ์รึเปล่า เพราะตอนนี้เหลือแค่ Toyota กับ Honda เพียง 2 เจ้าที่แข่งกัน ส่วน Nissan แทบจะไม่มีตัวตน
อย่างไรก็ตาม การแข่งกันเพียง 2 ค่ายใช่ว่าจะต้องประนีประนอมกันกอดคอเป็นเพื่อนรักกัน เพราะตลาดรถในเซกเมนต์นี้เริ่มแคบลงเรื่อยๆ การครองส่วนแบ่งที่มากกว่าย่อมหมายถึงชัยชนะ ดังนั้นทั้ง 2 ค่ายจึงไม่มีใครยอมใคร ต่างก็งัดเอาทีเด็ดของตัวเองมาสู้กันอย่างสนุกสนาน เราจำได้ว่าตอน Camry ใหม่เปิดตัว มันสร้างกระแสได้มากพอสมควร พอ Accord ใหม่คลอดตามออกยิ่งมันส์เลยทีนี้ ทั้งคู่กลายเป็นมวยรุ่นเฮฟวี่เวทที่หลายคนต่างให้ความสนใจ
Honda Accord เจนเนอเรชั่นที่ 10 เปิดตัวมาได้พักใหญ่แล้ว มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย Turbo EL, Hybrid และ Hybrid Tech ตอนนี้กระแสนิยมก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะรุ่น Turbo EL ราคา 1.475 ล้านบาท ที่มีอัตราส่วนในการจองมากกว่า 50% และมีรถพร้อมส่งมอบในทันที ส่วนรุ่น Hybrid ต้องรออีกอึดใจ ดังนั้นการทดสอบในทริปนี้จึงมีเฉพาะรุ่น 1.5 Turbo EL เท่านั้น โดยทริปทดสอบครั้งนี้ฮอนด้าพาเรามาที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อที่จะได้ลองเส้นทางทุกรูปแบบทั้งในเมือง นอกเมือง ทางขึ้นเขาลาดชัน รวมระยะทางทั้งหมดราว 180 กม.
การขับขี่
ใต้ฝากระโปรงของ Accord 1.5 Turbo EL เป็นเครื่องเบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร Di VTEC Turbo ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 243 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 5,000 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า และมีแพดเดิลชิฟท์มาให้เล่นเกียร์
เริ่มด้วยการขับขี่ในเขตเมือง Accord ให้อารมณ์นุ่มนวล เครื่องยนต์ทำงานราบรื่นและเงียบ เกียร์ CVT ขึ้นชื่อเรื่องความต่อเนื่องนุ่มนวลอยู่แล้วและเราก็ไม่รู้สึกถึงจังหวะเปลี่ยนเกียร์เลยแม้แต่น้อย พวงมาลัยเซ็ตมาดี น้ำหนักเบามือเมื่อขับไม่เร็วมากทำให้ควบคุมง่าย คุณผู้หญิงต้องถูกใจสิ่งนี้แน่ๆ ประกอบกับระยะฟรีที่ไม่มากทำให้หน้ารถตอบสนองต่อการหักเลี้ยวได้ไว
ช่วงล่างของ Accord มีบุคลิกของความสปอร์ตชัดเจนคือจะออกแนวแน่นเฟิร์ม คนที่ชอบนุ่มๆ ลอยๆ อาจจะมองว่าแข็งไปนิด แต่มันก็ซับแรงสะเทือนจะผิวถนนได้ดี รอยต่อ รอยปะ ฝาท่อ ไม่ส่งแรงกระเพื่อมมาให้รู้สึกรำคาญจนเกินไป ทั้งยังออกแนวหนึบๆ ไม่มีเสียงตึงตัง
พอออกจากเขตเมืองเราไม่รีรอรีบกดโหมด SPORT ทันทีเพื่อลองประสิทธิภาพเต็มๆ ของรถ อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งถึงความเร็ว 100 กม./ชม. นั้นทำได้รวดเร็วดีมาก เราไม่ได้จับเวลาจริงจังแต่คิดว่าไม่น่าเกิน 10 วินาที กดคันเร่งปุ๊ปรอบเครื่องดีดขึ้นแบบนุ่มๆ พร้อมความรู้สึกดึงดีกว่าที่คาด แต่ยังไม่เร็วเท่า Civic เนื่องด้วยขนาดตัวที่ใหญ่และน้ำหนักที่มากกว่า พอพ้น 100 กม./ชม. ไปแล้วรถก็ไหลทะยานไปอย่างอิสระ
เกียร์ CVT ในโหมด SPORT ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นเล็กน้อย ตอบสนองเร็วขึ้น เห็นชัดตอนคิ๊กดาวน์ที่เกียร์จะลดระดับลงพร้อมดีดรอบเครื่องไปยังจุดที่ให้กำลังสูงสุดอย่างรวดเร็วเพื่อเร่งแซง แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังยืนพื้นอยู่บนความนุ่มนวล คุณสามารถตบเกียร์ด้วยแพดเดิลชิฟท์ได้เลยแม้เกียร์จะอยู่ที่ D ซึ่งช่วยได้มากเมื่อต้องการกำลังแบบฉับพลันทั้งตอนเร่งแซง ขึ้นทางชัน หรือต้องการเรียก Engine Brake แต่สักพักเกียร์ก็จะกลับมาทำงานแบบ Auto เหมือนเดิม แต่ถ้าต้องการฟีลแบบแมนวลจริงๆ ต้องใช้คู่กับโหมด SPORT ตบแป้นไปเกียร์ไหนมันก็จะค้างอยู่ที่เกียร์นั้นจนกว่าคุณจะกดปิดโหมด SPORT หรือกดแป้น + ค้างไว้ 3 วินาที
พอได้ใช้ความเร็วสูงช่วงล่างที่มีฟีลแบบสปอร์ตอยู่แล้วก็เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ความแน่นเฟิร์มทำให้ขับเร็วแล้วรู้สึกมั่นใจ กดทางตรง 100-120 กม./ชม. รถนิ่งสนิทไม่มีอาการโคลงเคลง เมื่อเจอโค้งก็เอาอยู่ รถเกาะถนนดีมาก มีการทรงตัวที่ดี ช่วงล่างไม่ยวบไม่ส่าย อาการโยนมีไม่มากนัก ใส่หนักในโค้งได้อย่างมั่นใจ
พวงมาลัยจากที่เบามือในช่วงความเร็วต่ำ พอความเร็วสูงก็สัมผัสได้ถึงความหนืดที่มากขึ้น เป็นความหนืดที่กำลังดี ขับแล้วไม่รู้สึกเมื่อยล้า พวงมาลัยมีความนิ่ง ตอบสนองแม่นยำและเป็นธรรมชาติ การหักเปลี่ยนเลนทำได้ไว จังหวะเข้าโค้งยังควบคุมได้เฉียบคม
ระหว่างทางทดสอบมีช่วงที่ต้องขึ้นเขาซึ่ง Accord 1.5 Turbo EL ก็ไม่ทำให้เสียชื่อเพราะกำลังของเครื่องยนต์มีเหลือๆ ให้เอาตัวรอดได้สบายๆ สามารถขับเกียร์ D ขึ้นเขาได้เลยเพราะระบบมันฉลาดพอที่จะเลือกปรับอัตราทดให้เหมาะสมกับความเร็วและกำลังเครื่องให้เอง แต่เราชอบที่จะเล่นเกียร์เองเพราะมันได้อารมณ์มากกว่า
ระบบเบรกเป็นดิสก์ 4 ล้อ หมดห่วงเรื่องความหนึบ แป้นเบรกเบามากในช่วงเหยียบแรกๆ แต่ไม่ใช่เป็นระยะฟรี เพราะเหยียบแล้วยังพอมีแรงหน่วงเกิดขึ้นบ้าง ถ้าเหยียบลึกลงไปก็จะเริ่มหน่วงมากขึ้นตามลำดับ การตอบสนองสัมพันธ์กับน้ำหนักการเหยียบ สามารถกะระยะเบรกได้ง่าย โดยรวมเป็นเบรกที่ควบคุมได้ง่ายโดยไม่ต้องทำความคุ้นชินอะไรมาก ใส่หนักทั้งทางตรง โค้ง และขึ้น-ลงเขา ก็ไม่มีอาการเฟด
ด้านอัตราสิ้นเปลืองเราไม่ได้ทำการวัดย่างจริงจังเพราะเน้นขับขี่เพื่อดูสมรรถนะของรถเป็นหลัก ขับโหมด SPORT ใส่เต็ม กดหนัก แถมยังต้องเจอกับทางบนภูเขาอีกบางส่วน จากหน้าจอ TRIP Computer ของรถแสดงตัวเลขเฉลี่ยราวๆ 10 กม./ลิตร เราคิดว่ารถระดับนี้ ตัวใหญ่ เครื่องเล็ก 1.5 ลิตร เทอร์โบ ก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐาน ถ้าขับแบบประหยัดจริงๆ 16 กม./ลิตร ตามในใบสเปกก็มีสิทธิเป็นไปได้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการป้องกันเสียงรบกวน Accord ใหม่ มีระบบ Active Sound Control ที่ปล่อยคลื่นเสียงออกมาจากลำโพงเพื่อกลบเสียงรบกวนบางอย่างออกไป ฟังดูแล้วล้ำมากๆ และมันก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสียด้วย เสียงรบกวนในแต่ละย่านความเร็วลดลงทั้งตอนหน้าและเบาะหลัง เสียงช่วงล่างและเสียงยางเบาลง เสียงลมแทรกขอบกระจกหน้าต่างมีให้ได้ยินเบาๆ ที่ความเร็ว 110 กม./ชม. ขึ้นไป โดยรวมถือว่าดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าพอสมควรเลยทีเดียว
สปอร์ตตั้งแต่ลืมตา
ชัดเจนเลยว่ารูปโฉมของ Accord ใหม่แสดงออกถึงความสปอร์ตอย่างชัดเจนต่างจาก Camry ที่จะออกแนวอนุรักษ์นิยม ดีไซน์ตัวถังมาในแนวซีดาน 4 ประตูท้ายลาดแบบพวกรถยุโรปอย่าง Mercedes-Benz CLS และ Audi A7 Sportback พร้อมกับมิติตัวรถดูกว้างและต่ำ ระบบส่องสว่างรอบคันพวกไฟหน้า ไฟท้าย ไฟ Daytime Running Light เป็น LED ทั้งหมดตามยุคสมัยแต่ยังไม่มีไฟตัดหมอกมาให้ เส้นสายตัวรถก็ออกแบบมาเน้นความพรีเมี่ยมผสานกับความสปอร์ตอย่างลงตัวพร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว หุ้มยาง 255/50 R17
หน้ารถเด่นชัดด้วยกระจังโครเมี่ยมคาดยาวระหว่างไฟคู่หน้า เสริมดุด้วยกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต ข้างรถเสริมความหรูด้วยเส้นโครเมี่ยมลากจากขอบล่างของประตูไปที่ท้ายรถ แนวหลังคาลาดลงด้านท้ายรับกับกระโปรงท้ายที่เป็นสปอยเลอร์ในตัว ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ จบงานด้วยท่อไอเสียคู่แบบหล่อๆ
มิติตัวรถยาว 4,894 มม. กว้าง 1,862 มม. สูง 1,450 มม. ความยาวของฐานล้อ 2,830 มม. เมื่อเทียบ Accord รุ่นที่แล้ว รุ่นใหม่จะสั้นกว่า เตี้ยกว่า กว้างกว่า และมีฐานล้อยาวขึ้น ทำให้พื้นที่ภายในมีมากขึ้นตามไปด้วย น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 1,464 กก. ความสูงใต้ท้องรถ 131.3 มม. โครงสร้างตัวถังใหม่มีความแข็งแกร่งและปลอดภัยยิ่งขึ้น จุดศูนย์ถ่วงต่ำลงจากรุ่นเดิม 5 มม.
เรื่องราวของภายใน
สีภายในของ Accord กำหนดให้ตัดกับสีภานอก รถสีขาวและสีเงินจะได้ภายในสีดำ ส่วนรถสีดำและเทาจะได้ภายในสีครีม Ivory การตกแต่งภายในเน้นความเรียบหรู แดชบบอร์ดลายไม้ แผงเครื่องปรับอากาศออกแบบดูดีเลยทีเดียว จอกลางอยู่ในตำแหน่งระดับสายตา วัสดุที่ใช้มีคุณภาพดี งานประกอบแน่นหนา
พวงมาลัยใหม่ทรงสปอร์ต ก้านซ้ายเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ก้านขวาเป็นครูสคอนโทรล หน้าปัดเป็นแบบอนาล็อกผสมดิจิตอล ด้านขวาเป็นเข็มจริงๆ ด้านซ้ายเป็นจอ TFT แสดงข้อมูลการขับขี่ ระบบความบันเทิง และสถานะต่างๆ ของรถ คอนโซลกลางออกแบบเรียบง่าย หัวเกียร์สวย ช่องวางแก้วและที่พักแขนมีขนาดใหญ่ มีปุ่มหรับโหมด SPORT ECON เบรกมือไฟฟ้า และ Auto Brake Hold อยู่ใกล้ๆ
หน้าจองกลางขนาด 8 นิ้วมีความคมชัด หน้าตาเมนูดูเข้าใจง่าย สีสันกราฟิกสวยงาม มีปุ่มกดภายนอกให้เข้าถึงฟังก์ชั่นต่างๆ ได้โดยตรงซึ่งถือเป็นเรื่องดี สำหรับฟังก์ชั่นการใช้งานก็มีครบครันทั้งเครื่องเล่นเพลง วิทยุ โทรศัพท์ รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ USB และ Apple CarPlay ทั้งยังแสดงภาพจากกล้องมองหลังรวมถึงระบบ Honda LaneWatch ด้วย ส่วนระบบเสียงนั้นมาพร้อมลำโพง 8 ตัว คุณภาพเสียงดีงามตามมาตรฐาน
เปิดประตูเข้ามานั่งหลังพวงมาลัยรู้สึกได้เลยว่าพื้นที่ตรงนี้กว้างกว่ารุ่นก่อนหน้า ตำแหน่งเบาะกำลังดีไม่สูงหรือต่ำเกินไป ทัศนวิสัยด้านหน้าและด้านข้างดี เสาหน้าขนาดพอเหมาะไม่ได้บดบังจนน่ารำคาญ มุมมองผ่านไหล่ไปด้านหลังถูกรบกวนเล็กน้อยด้วยพนักพิงศีรษะและแนวลาดของหลังคาที่กลายเป็นข้อจำกัดในการมอง จุดนี้ต้องทำใจยอมรับ
เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมตัวดันหลัง 4 ทิศทางหมดห่วงเรื่องความสบาย เบาะหนา นุ่ม ใหญ่ และโอบกระชับสรีระได้ดี การเข้า-ออกรถสบายมากเพราะประตูบานหน้ามีขนาดใหญ่ พื้นที่ตอนหน้ามีเพียงพอสำหรับคนตัวสูง 180 ซม. ขึ้นไป พื้นที่เบาะหลังกว้างมากแถมยังเข้า-ออกได้สะดวก พนักพิงมีองศาที่กำลังดี ฐานเบาะใหญ่ นั่งทางไกลสบายมาก พื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่ช่วงหัวเข่ามีเหลือๆ กับคนทุกไซส์
ห้องเก็บสัมภาระมีความจุ 573 ลิตร ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าพอสมควร สามารถพับเบาะหลังลงได้แต่ไม่ได้เป็นการพับแยะนะ พับทีเดียวลงทั้งแผง ทำให้ความอเนกประสงค์อาจลดลงไปบ้าง
สรุปความน่าใช้
Accord 1.5 Turbo EL เป็นซีดาน D-Segment เครื่องเล็กแต่ขับสนุกเกินคาด ฮอนด้าบอกว่าเครื่อง 1.5 Turbo นี้ให้สมรรถนะดีกว่าเครื่อง 2.4 เดิม และยังประหยัดกว่าเครื่อง 2.0 ลิตรเดิมด้วย เรื่องความประหยัดเรายังไม่การันตี แต่เรื่องสมรรถนะจากที่ขับมาต้องบอกว่าฮอนด้าไม่ได้โอ้อวดเกินจริง ขับดีจริง อัตราเร่งดี กระฉับกระเฉง เกียร์ CVT นอกจากนุ่มนวลแล้วยังตอบสนองได้รวดเร็วไม่อืดอาดน่าเบื่อ นอกจากนี้ พละกำลังยังมีเพียงพอสำหรับขับขี่ทางลาดชัน ขึ้นเขาสบายๆ ไม่เหนื่อย เร่งแซงได้ทันใจ ด้านคุณภาพการขับก็ยอดเยี่ยม คาแร็กตอร์ของรถจะออกแนวสปอร์ตๆ วัยรุ่นๆ หน่อย ช่วงล่างแน่นฟิร์มแต่ยังไม่ลืมความนุ่มนวล พวงมาลัยคมและแม่นยำ ถ้าจะใช้เป็นรถเดินทางไกลระหว่างจังหวัดก็ได้เลยไม่มีปัญหา
ข้อสังเกตคือ Accord 1.5 Turbo EL เป็นรุ่นเริ่มต้นของไลน์อัพ เพราะเหตุนี้รึเปล่าที่ออปชั่นหลายๆ อย่างถูกตัดออกไปเช่นพวกระบบความปลอดภัย Honda Sensing ทั้งหลายที่มีเฉพาะรุ่น Hybrid และ Hybrid Tech รวมถึงพวกเซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง กล้องรอบทิศทาง ระบบเตือนเมื่อมีรถขับผ่านขณะถอยหลัง ไฟตัดหมอก หลังคาซันรูฟ ซึ่งจุดนี้เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 1.475 ล้านบาทแล้ว ถ้าคนที่ซีเรียสจริงๆ อาจมองว่าควรจะได้ออปชั่นมากกว่านี้
Accord 1.5 Turbo EL เป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีมากๆ คันหนึ่ง แม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้น ออปชั่นหรูๆ ถูกสงวนไว้เพื่อจูงใจให้คนไปเล่นรุ่น Hybrid แต่ถ้าคุณมีหัวใจสปอร์ต ชอบความเรียบง่าย ชอบการขับขี่ ชอบอารมณ์เครื่องเบนซินเทอร์โบขับหน้าเพียวๆ ไม่ต้องมีระบบไฟฟ้าใดๆ มาเกี่ยวข้อง หรืออยากจะอัพเกรดจาก Civic Turbo RS ขึ้นมาเล่นรถใหญ่เพราะผ่านช่วงวัยคะนองไปแล้ว รถคันนี้นี่แหละที่จะตอบโจทย์นั้นได้ดีที่สุด
ขอขอบคุณ ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้
ราคารถยนต์
- Honda Accord TURBO EL – 1,475,000 บาท
- Honda Accord HYBRID – 1,639,000 บาท
- Honda Accord HYBRID TECH – 1,799,000 บาท
อ่านรายละเอียดสเปก Honda Accord: http://bit.ly/2HIQAqm
Gallery