นิสสันตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการเปิดตัว All-New Nissan Almera ที่มาพร้อมกับแนวทางการออกแบบใหม่และขุมพลัง 1.0 ลิตร เทอร์โบ การมาของ Almera ใหม่เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควรในช่วงปลายปีที่ผ่านมา พร้อมกับเป็นการปลุกกระแสรถอีโค่คาร์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่เดิมนั้นภาพลักษณ์ของ Almera เป็นรถที่เน้นการใช้งาน รูปลักษณ์อาจดูไม่สวยบาดใจแต่มันก็โดดเด่นที่ความกว้างขวางกับราคาค่าตัวที่เหมาะสม พอเป็นรุ่นใหม่ปุ๊ป ภาพลักษณ์เดิมๆ ถูกสลัดออกไปจนหมดสิ้น Almera ใหม่ดูโฉบเฉี่ยว ทันสมัย ถูกใจวัยรุ่น อีกทั้งการเป็นรถเล็กเครื่องเทอร์โบก็น่าจะช่วยทำให้ความคิดของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อรถอีโค่คาร์เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้น สำหรับ WHATCAR? Thailand แล้ว Almera ใหม่น่าขับขึ้นมาก และเราก็ดีใจมากที่วันนี้จะได้มีโอกาสลองขับจริงๆ สักที
Almera ใหม่มีตัวถังกว้างและยาวกว่ารุ่นก่อนหน้าแต่เตี้ยกว่าเล็กน้อย ฐานล้อยาวขึ้น รูปลักษณ์ภายนอกของ Almera ใหม่บอกเลยว่าถูกใจเรามาก มองจากภายนอกดูสวยคมเข้ม โดดเด่นด้วยกระจังหน้า V-Motion ไฟหน้า LED แนวนอนพร้อมไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลท์ ทรงบูมเมอแรง รวมถึงดีไซน์หลังคาแบบ Floating roof นิสสันทำการบ้านในด้านการออกแบบมาเป็นอย่างดีทำให้เมื่อมองเส้นสายในภาพรวมแล้วรถดูคันใหญ่และไม่ให้ความรู้สึกของรถอีโค่คาร์ราคาประหยัด
นิสสัน ประเทศไทย เรียนเชิญเราไปทดลองขับ Almera ใหม่ที่ จ.ภูเก็ต ขับเลียบชายฝั่งทะเลอันดามันผ่าน 3 อุทยานแห่งชาติไปจนถึง จ.พังงา รวมระยะทางไป-กลับกว่า 250 กม. ด้วยสภาพเส้นทางของถนนภาคใต้ที่มีทั้งทางราบและทางภูเขา งานนี้ได้จึงทดสอบขุมพลัง 1.0 ลิตร เทอร์โบ ใหม่ กันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังต้องเจอกับโค้งมากมายซึ่งเป็นการพิสูจน์ประสิทธิภาพด้านการควบคุมได้เป็นอย่างดี สำหรับรถทดสอบในทริปนี้ก็เป็น Almera ตัวท็อปรุ่น VL ราคา 639,000 บาท ที่มาพร้อมกับออปชั่นความปลอดภัยแน่นคัน ไม่รอช้าแล้วดีกว่า ไปขับกันเลย
ว่องไวยิ่งขึ้น
คาดว่าหลังจากนี้ไปกระแสการดาวน์ไซส์เครื่องยนต์พร้อมกับติดตั้งเทอร์โบมาช่วยปั่นบูสต์น่าจะแพร่กระจายไปในรถอีโค่คาร์ของแต่ละค่ายไม่ต่างจากเชื้อไวรัสโคโรน่า ตอนนี้ก็มีมา 2 ค่ายแล้วคือ Nissan Almera กับ Honda City แถมเป็นเครื่อง 3 สูบ 1.0 ลิตร เทอร์โบ เหมือนกันเป๊ะ ไม่รู้บังเอิญหรือตั้งใจแต่มันเป็นมวยถูกคู่แบบสุดๆ แต่ด้วยความที่แรงม้าต่างกันพอสมควรดังนั้นมันจึงมีความแตกต่างแบบรู้สึกได้
ขุมพลังของ Almera ผลิตกำลังได้ 100 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ที่ 2,400 – 4,000 รอบ/นาที เมื่อเทียบกับ City ที่มี 122 แรงม้าแล้วแน่นอนว่ามันเป็นรองทั้งด้านการตอบสนองและอัตราเร่ง แต่ Almera ก็ได้เปรียบตรงที่เครื่องยนต์มีความซับซ้อนน้อยกว่าและดูแลรักษาง่ายกว่า ด้านระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT ไม่มีแพดเดิลชิฟท์ ไม่มีฟังก์ชั่นเกียร์ +/- มีแค่ปุ่มกดเข้าโหมด SPORT ที่ด้านหลังหัวเกียร์ และมีเกียร์ L เอาไว้สำหรับขับบนเส้นทางภูเขาชัน
ทริปทดสอบครั้งนี้ดีหน่อยที่มีสภาพเส้นทางหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ในเขตตัวเมืองภูเก็ตที่รถราหนาแน่นไม่ต่างจากกรุงเทพ ไปจนถึงถนนระหว่างจังหวัด ความรู้สึกแรกหลังกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คือความสมูธนุ่มนวลของเครื่องยนต์ในรอบเดินเบา แรงสั่นแทบไม่มี เสียงเครื่องยนต์ก็ยังเงียบมาก ค่อยๆ เดินคันเร่งออกตัวก็พบว่ารถเคลื่อนที่อย่างนุ่มนวล พวงมาลัยเบาหวิว การเลี้ยวเข้าซอกซอยต่างๆ ทำได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งรถยังป้องกันเสียงแวดล้อมภายนอกได้ดีมาก และช่วงล่างก็ดูดซับแรงสะเทือนจากผิวถนนได้ดี การขับในเมืองมีบางจังหวะต้องกดคันเร่งเพื่อแซงรถช้า การตอบสนองของ Almera ยังไม่เร็วนักเมื่อเทียบกับ City ที่รายนั้นจี๊ดจ๊าดมากกว่า
เมื่อหลุดจากตัวเมืองก็ถึงเวลายืดเส้นยืดสายเจ้า Almera กันสักที เราลองออกตัวจากแยกไฟแดงด้วยการกระทืบเท้าเต็มคันเร่ง แรงดึงที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับ City แล้วยังถือว่าใกล้เคียงกัน เข็มความเร็วไต่ขึ้นสู่ 100 กม./ชม. ในเวลาไม่นานนัก เกียร์ 1 ลากรอบขึ้นไปสูงราว 4,000 รอบต่อนาทีก่อนจะตัดเข้าเกียร์ 2 เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพอหอมปากหอมคอ เรามองว่าเรื่องอัตราเร่ง Almera ยังเป็นรอง City อยู่นิดๆ ช่วงต้นจะสูสีกันแต่พอเลย 100 กม./ชม. ไปแล้ว City จะไหลมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับ Almera ตัวเก่าหรือ Note จะรู้เลยว่า Almera ใหม่เร่งได้เร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เกียร์ CVT ของ Almera โดดเด่นที่ความนุ่มนวลแต่ก็มีบางจังหวะที่ยังไม่เนี๊ยบเช่นตอนชะลอความเร็วลงเกียร์ต่ำที่ยังมีอาการยึกยักบ้างเล็กน้อย การกดโหมด SPORT ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานในรอบสูงขึ้น ตอบสนองไวขึ้น อัตราเร่งก็ดีขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับอัตรากินน้ำมันที่มากขึ้น โหมด SPORT มีประโยชน์มากในจังหวะที่ต้องเร่งแซงซึ่งจะช่วยให้รถแซงได้เร็วกว่าเกียร์ D ปกติ รวมถึงจังหวะขึ้นทางชันที่จะช่วยเด้งรอบให้สูงขึ้น รถมีกำลังมากขึ้น ขับขึ้นเขาสบายขึ้น
การไม่มีแพดเดิลชิฟท์หรือโหมด +/- ให้เล่นเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ความสนุกลดลงไปเพราะคุณไม่สามารถลากรอบหรือเล่นเกียร์ได้ตามต้องการ ในจังหวะลงเขาการกดโหมด SPORT ก็มีแรงหน่วงอยู่บ้าน แต่ถ้าจะให้ปลอดภัยต้องใช้เกียร์ L ที่จะหน่วงมากขึ้นจนบางจังหวะแทบไม่ต้องเหยียบเบรกเลยก็ยังได้ ทั้งนี้ การใช้เกียร์บนทางลาดชันเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจในลักษณะนิสัยของเกียร์ในรถแต่ละคันและฝึกใช้มันอย่างชำนาญเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
การควบคุมสปอร์ตยิ่งขึ้น
ตลอดการขับขี่เรารู้สึกได้ว่า Almera ใหม่มีการบังคับควบคุมที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าเริ่มตั้งแต่โช็คอัพและชุดสปริงดูเหมือนจะปรับให้มีความแข็งมากขึ้น เมื่อเจอรอยปะถนนหรือหลุมร่องต่างๆ จะรู้สึกสะเทือนมากขึ้น แต่ข้อดีก็คือมันให้ความหนึบแน่นมากขึ้นเช่นกัน เห็นได้ชัดที่ย่านความเร็วสูงที่รถจะนิ่งและโคลงน้อยลง โดดคอสะพานแล้วยังไม่เสียอาการ การเข้าโค้งก็ทำได้เนี๊ยบขึ้น เกาะหนึบมากขึ้น จะโค้งกว้างหรือโค้งแคบก็ยังเอาอยู่ อาการโยนมีบ้างแต่ไม่มากจนรู้สึกเหวอ ถ้าเข้าโค้งด้วยความเร็วจะเจอกับอาการหน้าดื้อเป็นปกติ แก้ได้โดยการแตะเบรกในโค้งนิดๆ ก็จะช่วยได้ โดยรวมแล้วช่วงล่างของ Almera ใหม่สามารถเล่นโค้งบนถนนภาคใต้ได้อย่างมั่นใจ
พวงมาลัยจากที่เบาหวิวในความเร็วต่ำพอใช้ความเร็วมากขึ้นสัก 60-70 กม./ชม. ก็จะเริ่มหนืดพอดี ยิ่งถ้าใช้ความเร็วสูงกว่านี้ก็ยิ่งยิ่งหนืดขึ้น ระยะฟรีพวงมาลัยมีความเหมาะสมทำให้กะจังหวะเข้าโค้งได้ง่าย พวงมาลัยมีความแม่นยำและมีบาลานซ์ที่ดี พอเจอโค้งซ้าย-ขวาต่อเนื่องจังหวะหมุนคืนตัวก็ดูเป็นธรรมชาติ
ระบบเบรกปรับเซ็ตมาได้อย่างลงตัว ระยะฟรีแป้นเบรกไม่มาก มีน้ำหนักต้านเท้ากำลังดีทำให้ควบคุมน้ำหนักการเบรกได้ง่าย การขับปกติเบรกของ Almera ทำงานได้ดี แต่ถ้าใช้ความเร็วสูงแล้วต้องเบรกกะทันหันอาจจะเอาไม่อยู่ ด้วยประสิทธิภาพเบรกแบบรถบ้านถ้าชอบขับรถเร็วยังไงก็ต้องอัพเกรด
การป้องกันเสียงรบกวนทำได้ดีถ้าขับไม่เกิน 100 กม./ชม. ถ้าเร็วกว่านั้นจะเริ่มมีเสียงลมเข้ามาที่ขอบกระจกหน้าต่าง เสียงเครื่องยนต์ไม่ดังมากถ้าไม่คิ๊กดาวน์ เสียงช่วงล่างก็ป้องกันได้ดี ส่วนเสียงยางก็ตามมาตรฐาน วิ่งช้าไม่ดัง ต้องเกิน 80 กม./ชม. นั่นแหละถึงจะได้ยิน
เรื่องอัตราสิ้นเปลืองบอกก่อนว่าตัวเลขที่ได้นี้ไม่ได้เกิดจากการทดสอบความประหยัดเต็มรูปแบบ มันคือตัวเลขจากการขับขี่จริง ขับขึ้นเขา รถติดในเมือง ทางโล่งก็อัดเต็มแม็กซ์ บนหน้าปัดของรถเราแสดงผลออกมาที่ 15 กม./ลิตร ถือว่าน่าพอใจนะกับรถอีโค่คาร์ที่ขับแบบดุดันขนาดนี้ ถ้าขับแบบเรื่อยๆ ตามจังหวะการจราจรก็น่าจะเห็นตัวเลย 18-19 กม.ลิตรได้ไม่ยาก
ออปชั่นโดนใจ
จุดเด่นจุดขายที่ไม่พูดไม่ได้คือเรื่องออปชั่นความปลอดภัยต่างๆ ที่ต้องเรียกว่าที่สุดในคลาสก็ว่าได้ ซึ่งตลอดการขับขี่เราก็ได้ใช้งานเป็นระยะ เริ่มตั้งแต่ในเมืองที่เราลองขับจี้ตูดรถคันหน้า พอคันหน้าเบรกปุ๊ประบบเตือนการชนด้านหน้าดังขึ้นทันที และถ้าเบรกไม่ทันระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะก็จะช่วยเบรกให้ (แต่เราไม่ได้ลองนะ) ขณะขับในเมืองก็เปิดระบบเตือนมุมอับสายตาไว้ตลอดเพื่อความอุ่นใจขณะเปลี่ยนเลนเพราะบางทีอาจมีมอเตอร์ไซค์วิ่งตีคู่มาในมุมที่มองไม่เห็น ระบบนี้ก็จะแสดงไฟเตือนที่หระจกมองข้างให้เราได้รู้
นอกจากนี้ Almera ใหม่ยังมีระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอยรถ กล้องมองภาพรอบทิศทาง ระบบเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน ซึ่งทั้งหมดมีประโยชน์มากหากคุณกำลังถอยรถเข้าซองหรือถอยรถออกจากซอง และไม่ต้องกลัวว่ารถจะถอยหลังเมื่อจอดค้างเติ่งอยู่บนทางชันเพราะ Almera มีระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันมาให้ด้วย
ห้องโดยสารกว้างเหมือนเดิม
ความกว้างขวางของห้องโดยสารยังเป็นจุดเด่นอยู่เหมือนเดิม เริ่มตั้งแต่การเปิดประตูเข้า-ออกที่สะดวกและง่าย ตำแหน่งนั่งขับสูงกำลังดี เข้ามานั่งที่เบาะแล้วจะรู้สึกโปร่งสบาย ทัศนวิสัยรอบคันจัดว่าดี มองเห็นได้ชัดทุกมุม เสา A-pillar ไม่ใหญ่เกะกะตาเกินไป เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่ มีการเล่นแถบสีขาวแซมด้านข้างเพื่อไม่ให้ภายในดูจืดเกินไป เบาะเป็นแบบปรับมือทั้งหมด ด้านคนขับสามารถปรับสูง-ต่ำได้ด้วยก้านโยกด้านข้าง ตัวเบาะหนานุ่มนั่งสบาย ปีกเบาะโอบกระชับลำตัวไม่ให้หลุดตอนเข้าโค้ง พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
พื้นที่ของเบาะหน้ามีมากมาย คนตัวสูง 180 ซม. มานั่งก็ไม่รู้สึกอึดอัด เบาะหลังมาพร้อมกับพื้นที่กว้างมากขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า แม้ว่าหลังคาจะลาดลงมากกว่าแต่ก็ยังไม่รู้สึกอึดอัด พนักพิงทำมุมเอนได้ดี นั่งทางไกลแล้วยังไม่เมื่อย เบาะหลังตัวกลางแคบนั่งลำบาก อุโมงค์กลางไม่สูงเกินไป
แดชบอร์ดของ Almera ใหม่ออกแบบได้ทันสมัยและดูสปอร์ตยิ่งขึ้น วัสดุส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแข็ง จุดที่เราชอบคือพวงมาลัยทรงฐานตัด D-shape ที่ให้อารมณ์สปอร์ตได้เป็นอย่างดี มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่ก้านด้านซ้าย ชุดหน้าปัดเป็นแบบอนาล็อกผสมดิจิตอลที่อ่านค่าง่ายทั้งมาตรวัดความเร็วแบบเข็มและจอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว ปุ่มควบคุมต่างๆ บนแดชบอร์ดอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่ายเกือบหมด
หน้าจอสัมผัสกลางแดชบอร์ดขนาด 8 นิ้ว ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดี ดีไซน์ของมันดูสวยงามทันสมัย รองรับ Nissan Connect และระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay ฟังก์ชั่นใช้งานมาให้ตามาตรฐานอาทิ วิทยุ เครื่องเล่นเพลง นาฬิกา หน้าจอนี้แสดงผลได้คมชัด กราฟิกสวยงาม การตอบสนองรวดเร็วดี มีปุ้มวอลลุ่มแบบหมุนรวมถึงปุ่มทางลัดเข้าเมนูสำคัญซึ่งยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในขณะขับรถ และยังแสดงภาพจากกล้องรอบทิศทางด้วย ระบบเสียงเป็นลำโพง 6 ตัวที่ให้คุณภาพเสียงในระดับมาตรฐานฟังสนุกทุกแนวเพลง
ห้องเก็บสัมภาระมีขนาดมาตรฐานสำหรับรถเล็ก ใส่กระเป๋าเดินทางได้ประมาณ 3 ใบ การเก็บงานค่อนข้างเนี๊ยบ เบาะหลังพับไม่ได้ ฝากระโปรงเปิดได้ด้วยการกดปุ่มบน Smart Key คาไว้ 2 วินาที หรือใช้คันโยกจากในรถ หรือจะเปิดจากสวิตช์ที่ฝาท้ายเลยก็ได้ ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระมีเป็นชุดซ่อมยางฉุกเฉินมาให้
สรุปความน่าใช้
ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าแบบผิดหูผิดตา Almera ใหม่มอบความสนุกยิ่งขึ้นด้วยขุมพลังเทอร์โบ สมรรถนะของรถจึงดีขึ้น กระฉับกระเฉงขึ้น ขับสนุกขึ้น ช่วงล่างได้รับการปรับเซ็ตมาแบบสปอร์ตยิ่งขึ้น ได้อารมณ์นุ่มหนึบ ขับเร็วแล้วยังรู้สึกมั่นใจ โดยรวมแล้วคือดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าทุกด้าน
อีกปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อส่วนมากก็คือเรื่องออปชั่น เรามองว่า Almera ใหม่น่าจะให้ออปชั่นมาครบที่สุดในกลุ่มอีโค่คาร์แล้วล่ะ ระบบความปลอดภัยเยอะมาก พวกลูกเล่นต่างๆ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องโดยสารก็มีมาอย่างครบถ้วน ห้องโดยสารก็กว้างขวางนั่งสบาย เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 6.39 แสนบาทของรุ่นท็อป VL กับสิ่งที่ได้รับแล้วจะเห็นได้เลยว่าคุ้มค่ามาก
แน่นอนว่าการเปิดตัวไล่เลี่ยกับ City ใหม่ที่เป็นเครื่อง 1.0 ลิตร เทอร์โบ เหมือนกันย่อมหนีไม่พ้นเรื่องการเปรียบเทียบ เราจะสรุปง่ายๆ คือถ้าชอบอีโค่คาร์ขับสนุก ไปได้เร็ว แรงไม่น้อยหน้ารถเครื่อง 1.5 ไร้เทอร์โบ และไม่เน้นออปชั่นความปลอดภัยมากนัก City ใหม่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์กว่า แต่ถ้าชอบความพอดี ชอบความคุ้มค่า ชอบออปชั่นเยอะๆ ขับสบายได้ทั้งในเมืองและออกต่างจังหวัด แอบสนุกได้บ้างแบบกระหยุมกระหยิม เลือก Almera ได้เลย
ขอขอบคุณ นิสสัน ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้
ดูรายละเอียดสเปก All-New Nissan Almera ได้ที่ http://bit.ly/2QgWao5
Gallery