CAUGHT ZAPPING
Fiat 500 รถยนต์สำหรับวิ่งในเมือง เริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ที่น่าตื่นเต้นโดยการเปิดตัวรุ่นไฟฟ้า แต่มันจะสามารถมาสู้กับ Peugeot e-208 ที่เพียบพร้อมได้หรือไม่
NEW Fiat 500 42kWh Icon
ราคาขาย 27,995* ปอนด์ (ราว 1,399,750 บาท)*
ราคาที่น่าลงทุน 27,995* ปอนด์ (ราว 1,399,750 บาท)*
รุ่นไฟฟ้าล้วนสไตล์อิตาลีในราคาน่าคบหาและมาพร้อมระยะทาง 320 กิโลเมตร
Peugeot e-208 50kWh 136 Allure Premium
ราคาขาย 31,025* ปอนด์ (ราว 1,551,250 บาท)*
ราคาที่น่าลงทุน 31,025* ปอนด์ (ราว 1,551,250 บาท)
ด้วยระยะวิ่งอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 337 กิโลเมตร e-208 สามารถแซง Renault Zoe และ Mini Electric ได้ มันจะสามารถเป็นรถยนต์ที่จะโค่นคนอื่นได้หรือไม่
Fiat 500 ไม่เคยดูทันสมัยกับเขามาก่อน จนกระทั่งปัจจุบันคุณสามารถเป็นเจ้าของ Fiat 500 รุ่นไฟฟ้าล้วนเพื่อส่งเสริมการรักษ์โลกได้ ลองนึกถึงเบบี้ Tesla ในอิตาลียุค 1950 แล้วคุณจะนึกออก
และหากคุณคิดว่ามันเป็นการนำมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ไปใส่ใน 500 ที่เปิดตัวในปี 2007 คุณอาจจะประหลาดใจกว่านั้น รุ่นเก่ายังคงวางขายอยู่ก็จริงแต่มันมีการปรับให้เป็น ‘500 hybrid’ ทำงานด้วยเครื่องยนต์เบนซินเปิดตัวเพิ่ม 500 รุ่นใหม่นี้ได้รับการดีไซน์ภายในใหม่ แต่ยังคงรูปลักษณ์เตาปิ้งขนมปังเช่นเดิม
500 ไม่ใช่รถยนต์คันแรกที่เปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้า ในปัจจุบันเราสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสไตล์เรโทรได้อย่างเช่น Mini ในขณะที่ Honda E ก็อยู่ในกลุ่ม ‘น่าครอบครอง’ ด้วยเช่นกัน ปัญหาคือทั้งคู่มาพร้อมระยะวิ่งที่จำกัด คุณแทบจะไปได้ไม่ถึง 160 กิโลเมตรในการวิ่งจริงโดยไม่ต้องชาร์จอีกครั้งหนึ่งเลย เราจะมาทดสอบกันว่า new 500 จะทำผลงานได้ดีขนาดไหนเมื่อเทียบกับผู้เข้าชิงที่แข็งแกร่งเช่น Peugeot e-208
การขับขี่
สมรรถนะ, ความรู้สึกในการขับขี่, ความประณีต
เมื่อเราพูดว่า ‘จินตนาการถึงเบบี้ Tesla’ เราไม่ได้หมายถึงสมรรถนะหรือรถยนต์ความเร็วสูงที่ให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังพุ่งทะยานเมื่อเท้าแตะคันเร่ง แต่เราหมายถึงเมื่อเทียบกับรถยนต์เบนซินหรือดีเซลส่วนใหญ่ ทั้ง 500 และ e-208 กลับว่องไวอย่างน่าประหลาดใจ มันมาพร้อมอัตราเร่งที่แข็งแกร่งเพราะสามารถเพิ่มความเร็วได้ทันที่ที่เท้าสัมผัส มันลดความเร็วลงอย่างสังเกตได้ชัดในระดับความเร็ว 80 กม./ชม. แต่ e-208 สามารถเร่งจาก 0- 100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที ขณะที่ 500 ใช้เวลา 8.0 วินาที
FIAT 500
รถยนต์ทั้งสองสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับมอเตอร์เวย์ได้อย่างสบาย ๆ แม้คุณจะอยู่ในช่วงทางขึ้นเนินบน M6 ที่มีผู้โดยสารเต็มคัน แต่จะทำให้แบตหมดไวกว่าปกติ หากคุณต้องการจะประหยัดแบตเตอรี่คุณจะต้องขับช้าลงและเลี่ยงการเร่งความเร็ว ในการทดสอบระยะทางจริง โดยเราทดสอบทั้งในเมือง, ชนบท และมอเตอร์เวย์ ทั้งสองสามารถวิ่งได้ในระยะ 5.4 กิโลเมตรต่อกิโลวัตต์ จึงทำให้ 500 ที่มีแบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่า e-208 วิ่งได้ 202 กิโลเมตร และ e-208 246 กิโลเมตร แม้วันที่ทดสอบจะมีอุณหภูมิราว 5 องศาเซลเซียสในวันทดสอบ ในช่วงฤดูร้อน เราคาดว่า 500 จะสามารถไปได้ไกลถึง 240 กิโลเมตร และ e-208 ไปได้ไกล 273 กิโลเมตร แบบสบาย ๆ
FIAT 500
500 มาพร้อมโหมดการวิ่งที่หลากหลาย เช่น โหมด Sherpa ที่ช่วยเพิ่มระยะวิ่งด้วยหารจำกัดการส่งออกพลังงาน ปิดเครื่องปรับอากาศ และเปิดใช้งานฟังก์ชั่นการขับขี่แบบ One Pedal โดยฟังก์ชั่นหลังจะช่วยให้ระบบเบรกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด หมายความว่าจะมีพลังงานจำนวนมากขึ้นกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ทุกขณะที่คุณละคันเร่ง โดยมีผลข้างเคียงคือคุณจะรู้สึกวูบเล็กน้อย สำหรับ e-208 จะไม่มีระบบแบบนี้ แม้ว่าจะมีเกียร์ B ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเบรก
PEUGEOT E-208
คุณไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกบน e-208 บ่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนุกนักในการขับขี่ เมื่อคุณทิ้งน้ำหนักลงไปรถยนต์จะยังเคลื่อนที่เล็กน้อยก่อนจะหยุดสนิทซึ่งเป็นวิธีการช่วยหยุดที่นุ่มนวล แป้นเบรกของ 500 มีความเฟิร์มและต้องใช้ความมั่นใจในการเบรกมากกว่า
การวิ่งรอบเมืองเป็นงานที่ 500 ถนัด ระบบเลี้ยวที่เบาและวงเลี้ยวแคบทำให้ 500 เหมาะแก่การใช้งานรอบเมือง มันยังมาพร้อมการยึดเกาะที่เหนียวแน่นทำให้มีการเอียงตัวขณะเลี้ยวน้อยเมื่อเลี้ยวในวงเวียนหรือขึ้น-ลงอาคารจอดรถ มันยังคงทำหน้าที่ในการขับขี่นอกเมืองได้ดี แม้ว่าคุณอาจจะต้องการระบบเลี้ยวที่มีความแม่นยำมากกว่านี้ e-208 ให้ความรู้สึกมั่นคงกว่าเมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงและระบบเลี้ยวของมันช่วยให้คุณรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับถนนมากกว่า แม้ว่าจะรู้สึกถึงการส่ายมากกว่า 500
PEUGEOT E-208
ความสบายในการขับขี่ของทั้งสองแทบไม่ต่างกันมากนัก 500 มาพร้อมระบบช่วงล่างที่เฟิร์มกว่าและเราสามารถบรรยายการขับขี่มันได้ว่าไม่คงที่ ถึงกระนั้น e-208 ก็ยังมอบการขับขี่ที่นุ่มนวลกว่าเมื่อเจอถนนที่ไม่สมบูรณ์แบบ มันอาจทำผลงานขณะวิ่งผ่านฝาท่อหรือตระแกรงระบายน้ำได้ไม่ดีนัก ซึ่งบางครั้งคุณจะรู้สึกถึงการกระแทก
ไม่มีข้อกังขาถึงความเงียบของมัน e-208 สามารถจัดการกับเสียงรบกวนภายนอกทั้งเสียงลมและเสียงถนนได้ดีกว่า 500
หลังพวงมาลัย
ตำแหน่งคนขับ, ทัศนวิสัย, คุณภาพการผลิต
ตำแหน่งคนขับของรถยนต์ทั้งสองคันแทบจะไม่ต่างกัน สำหรับ 500 คุณจะนั่งตัวตรงและสูงกว่าในตำแหน่ง ‘หลังตรงและวางขา’ คุณสามารถมองค่าต่าง ๆ บนจอแสดงผลโดยการมองผ่านพวงมาลัยแบบแบ่งครึ่งขนาดใหญ่ ไม่มีอะไรน่าติติงสำหรับทั้งการปรับพวงมาลัย เบาะนั่งหรือตำแหน่งต่าง ๆ แม้ว่ารถเราจะติดตั้ง Comfort Seat Packs (15,000 บาท) ซึ่งหากคุณไม่เลือกที่จะเสริมในส่วนนี้เบาะของคุณจะไม่สามารถปรับความสูงได้และคุณจะไม่ได้รับที่วางแขนตรงกลาง
1 นอกจาก ออปชั่น และหน้าตาแดชบอร์ดรวมถึงสีของเบาะนั่ง ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่านี้
2 ตำแหน่งคนขับยอดเยี่ยม คุณยังสามารถปรับได้หลายทิศทางด้วย Comfort Seats Pack 300 ปอนด์(ราว 15,000 บาท)
3 ภายในเปลี่ยนไปจาก 500 รุ่นก่อน แต่เลย์เอาท์ดูเข้ากันและวัสดุที่ใช้มีคุณภาพดี
สำหรับตำแหน่งคนขับของ e-208 จะพบว่ามีความคิดเห็นที่ต่างกัน ตำแหน่งนั่งของคุณค่อนข้างต่ำ และจะต้องมองหน้าจอแสดงผลที่อยู่เหนือพวงมาลัยแทนที่จะมองลอดเข้าไป Peugeot จึงเลือกที่จะลดขนาดพวงมาลัยลงให้มีขนาดเท่าจานดินเนอร์ คุณจะพบว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลทีเดียว โดยเฉพาะกับผู้ที่มีส่วนสูงเกิน 180 ซม.
สำหรับบางสิ่งที่คุณพบว่าน่ารำคาญคือหน้าจอระบบสัมผัสที่คุณจำเป็นต้องใช้งานมันเพื่อสั่งการทุกอย่างแม้กระทั่งระบบปรับอากาศ นั่นมันทำให้คุณเสียสมาธิเป็นอย่างมาก ใน 500 คุณจะได้ระบบปรับอากาศแบบปุ่มหมุนธรรมดา แม้ว่าปุ่มปรับอุณหภูมิจะค่อนข้างมีขนาดเล็กอยู่ทางด้านข้างก็ตาม
1 การออกแบบภายในดูดีด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่มและวัสดุหนังให้ความรู้สึกหรูหรา
2 ควบคุมอุณหภูมิด้วยระบบสัมผัสค่อนข้างใช้งานยาก หน้าจอมาตรฐานมีขนาดเล็กกว่านี้
3 ตำแหน่งคนขับนั่งไม่ค่อยสบาย และอาจไม่เหมาะกับทุกคน หน้าจอแสดงผล 3D ควรชัดเจนกว่านี้
หากคุณเป็นเจ้าของ 500 รุ่นใช้น้ำมัน คุณจะค่อนข้างประหลาดใจในดีไซน์ที่ทันสมัยแต่ยังคงเดิมของรุ่นไฟฟ้าที่เปิดตัวมาใหม่ คุณจะสังเกตเห็นปุ่มกดและสวิตช์สีดำมันวาวในจุดต่าง ๆ และที่เปิดประตูเช่นเดียวกับ Tesla Model 3 โดยการกดไม่ใช่การดึงเหมือนรุ่นก่อน ๆ เราสามารถพูดได้ว่าทั้งเลย์เอาท์และคุณภาพการผลิตดีกว่า 500 รุ่นก่อน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี
แต่เราขอเตือนคุณก่อนว่า 500 ไม่สามารถเทียบชั้นความหรูหรากับ e-208 ได้ ภายในของรถยนต์จากฝรั่งเศสได้รับการขนานนามว่ามีระดับที่สุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก แต่เราจะไม่เพียงพูดถึงรุ่นไฟฟ้าเท่านั้น ภายในมีการใช้วัสดุผิวสัมผัสนุ่ม และมีการใช้หนังหุ้มพวงมาลัยตรงหัวเกียร์ ชวนให้รู้สึกถึงความหรูหรามีระดับ
พื้นที่และความอเนกประสงค์
พื้นที่ด้านหน้า, พื้นที่ด้านหลัง. ความยืดหยุ่นของเบาะนั่ง, พื้นที่ท้ายรถ
Fiat 500 รุ่นไฟฟ้า มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นน้ำมัน แต่คุณแทบจะไม่ได้สังเกตเห็นเมื่อลองเข้าไปนั่งทางด้านหน้า เพราะทั้งสองรุ่นจะมอบพื้นที่วางขาและเหนือศีรษะแต่ทางด้านข้างอาจไม่กว้างมากนัก
FIAT 500
ใครก็ตามที่นั่งด้านหลังของ 500 จะสังเกตเห็นความแตกต่างของขนาด เมื่อคุณก้าวขึ้นไป คุณจะรู้สึกถึงองศาต่าง ๆ ต่างจาก e-208 ที่ไม่มีประตูด้านหลัง เมื่อเข้าไปนั่งด้านในแล้วผู้โดยสารตัวสูงจะรู้สึกว่าพื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่วางขาถูกริดรอนออกไป ในขณะที่ e-208 ค่อนข้างคับแคบเมื่อเทียบกับ Volkswagen Polo
PEUGEOT E-208
พื้นที่ท้ายรถของ 500 มีขนาดเล็กมาก โดยเราสามารถบรรจุกระเป๋าเดินทางแบบ carry-on ลงไปได้เพียง 3 ใบเท่านั้น e-208 สามารถบรรจุลงไปได้ถึง 5 ใบ โดยสรุปแล้ว เราไม่แนะนำให้พิจารณา 500
การซื้อและการเป็นเจ้าของ
ราคา, อุปกรณ์, ความน่าเชื่อถือ, ความปลอดภัยและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย
เมื่อหักเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 150,000 บาทที่มอบให้กับผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 2,500,000 บาทแล้ว ทำให้ 500 อยู่ในช่วงราคา 999,750 บาท อย่างไรก็ตามเงินจำนวนนี้ช่วยให้คุณได้เป็นเจ้าของรุ่นแบตเตอรี่ขนาดเล็ก 24 kWh ที่มีระยะวิ่งอย่างเป็นทางการ 190 กิโลเมตร หากต้องการรุ่น 42 kWh ที่มาพร้อมระยะ 320 กิโลเมตร โดยเรามองว่ามันเป็นการก้าวกระโดดที่คุ้มค่าโดยเพิ่มเงินอีกเพียง 75,000 บาท เท่านั้น คุณจะได้รุ่น Icon ที่มีอุปกรณ์ครบครันมากกว่า
เงินจำนวนนี้อาจดูมากไปสำหรับ Fiat 500 แต่สำหรับการรถยนต์ไฟฟ้าและคุณยังจ่ายถูกกว่ารุ่นถูกสุดของ e-208 อีก 85,000บาท เรามองว่ามันเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะหากคุณจะเป็นเจ้าของ Peugeot ที่มาพร้อมอุปกรณ์คล้ายคลึงกัน (รุ่น Allure) คุณจะต้องเตรียมเงินไว้ถึง 1,400,000 บาท
ค่าเสื่อมราคาของ 500 ลดลงช้ากว่าด้วยเช่นกัน รูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยช่วยอธิบายว่าทำไมมูลค่าของมันลดลงช้ากว่ารถยนต์คู่แข่งสัญชาติฝรั่งเศสหลังจากใช้งานผ่านไป 3 ปี เมื่อคุณพิจารณาถึงค่าบริการ (โดยประมาณ) และค่าประกัน ตามด้วยการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เราคำนวณค่าความแตกต่างระหว่างการใช้งาน 3 ปีของทั้งสองรุ่นที่ 118,100 บาท
คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องค่าเสื่อมราคาหากคุณวางแผนที่จะซื้อผ่านระบบผ่อนแบบ PCP แต่คุณก็ยังต้องจ่ายค่าเสื่อมเหล่านี้ทางอ้อม นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณมีความรับผิดชอบต่อเดือน 16,450 บาท สำหรับ e-208 เทียบกับ 15,350 ของ 500 โดยเราสมมติว่าคุณวางเงินดาวน์ 150,000 บาท (เพิ่มลงไปจากเงินอุดหนุน 150,000 บาท) ด้วยเงื่อนไข 48 เดือน จำกัดระยะไม่เกิน 10,000 กิโลเมตร/ปี รถยนต์ทั้งสองจะมีราคาถูกมากเมื่อใช้งานในฐานะรถยนต์บริษัท โดยส่วนต่างของภาษีรถยนต์บริษัทของทั้งสองแทบจะไม่ต่างกัน
ทั้งสองไม่ค่อยมีวัสดุหรืออุปกรณ์ที่หรูหรา รถยนต์ทั้งสองมาพร้อมมีล้ออัลลอยด์ 16 นิ้ว, ระบบควบคุมอากาศ, ไฟหน้าอัตโนมัติ, ก้านปัดน้ำฝนแบบเซนเซอร์ และระบบ cruise control 500 ยังมาพร้อมระบบไร้กุญแจแต่คุณจะต้องเพิ่มเงินในการติดตั้งกล้องหลัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจ 42,500 บาท และสัญญาณกันขโมย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีมาเป็นมาตรฐานบน e-208 แล้ว
สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยด้านหน้า ทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบจดจำสัญญาณไฟจราจรและระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติแต่ระบบของ 500 สามารถจับการเคลื่อนไหวของผู้ที่ปั่นจักรยานและคนเดินถนนได้ นั่นจึงเห็นเหตุผลที่ e-208 ทำคะแนนได้ 4 คะแนนอย่างน่าเสียดาย (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) ด้านความปลอดภัยจากการทดสอบ Euro NCAP สำหรับในช่วงที่เขียนบทความนี้ 500 ยังไม่ได้ผ่านการทดสอบ
สำหรับการชาร์จ 500 รองรับได้สูงสุด 85 kW และ e-208 รองรับได้ถึง 100 kW หากคุณพบแท่นชาร์จสาธารณะ (ที่มีทั่วไปใน UK) คุณจะใช้เวลาในการชาร์จจาก 10-80% ภายใน 27 นาที สำหรับ 500 และ 31 นาที สำหรับ e-208
. . WHATCAR? SAY . .
เป็นการแข่งขันที่ตัดสินใจยากพอสมควร เพราะทั้งสองเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ดีที่สุดในตลาด ห้องโดยสารและท้ายรถที่มีขนาดใหญ่ของ e-208 ทำให้หลายคนตัดสินใจโอนเอียงมาทางนี้ อีกทั้งระยะวิ่งที่มากกว่าและการเดินทางที่เงียบกว่ายิ่งทำให้มันน่าหลงใหล ซึ่งมันอาจมีราคาสูงไปสักหน่อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับ Volkswagen ID.3 ที่อาจจะขับไม่สนุกเท่า
ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับ 500 ตัวใหม่ที่มีราคาถูกกว่าไม่ว่าคุณจะซื้อแบบใด มันทั้งมีตำแหน่งคนขับที่ดี, มีระบบสาระบันเทิงที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากกว่า และระยะวิ่งที่ไม่ต่างจากคู่แข่งสัญชาติฝรั่งเศสมากนัก ทำให้มันคว้าอันดับ 1 ไปครอง
ข้อดี ตำแหน่งคนขับที่ดีที่สุด ขับขี่รอบเมืองสนุกกว่า ต้นทุนด้านราคาและการใช้งานต่ำกว่า ออปชั่นปรับตามแต่ละผู้ใช้งาน
ข้อเสีย ด้านหลังคับแคบ พื้นที่ท้ายรถน้อย การขับขี่ไม่แม่นยำ
อุปกรณ์เสริมที่แนะนำ สี Metallic (30,000 บาท), Comfort Seats Pack (15,000 บาท), หน้าต่างปรับอุณภูมิได้ระบบไฟฟ้า (4,250 บาท)
ข้อดี ภายในหรูหรา, ระยะวิ่งระหว่างการชาร์จยาวนานกว่า, การขับขี่สบายกว่า
ข้อเสีย ตำแหน่งคนขับไม่เหมาะกับทุกคน, ระบบสาระบันเทิงใช้งานยาก, การเบรกต้องใช้แรง
อุปกรณ์เสริมที่แนะนำ ไม่มี