บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ชวน WHATCAR? Thailand มาเปิดประสบการณ์ขับขี่ยนตรกรรม 3 รุ่นใหม่ ได้แก่ 218i Gran Coupe M Sport, 330e M Sport และ X5 xDrive45e M Sport สัมผัสสมรรถนะปราดเปรียวจากรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด 2 สองรุ่น ทดสอบความคล่องตัวสไตล์ซีดาน รวมทั้งท้าทายประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนและระบบช่วงล่างตามแบบฉบับ Sports Activity Vehicle (SAV) บนพื้นผิวต่างๆ ณ สนามเอ็นดูโร พาร์ค จังหวัดชลบุรี
กิจกรรมครั้งนี้เราได้ลองสมรรถนะของ 218i Gran Coupe M Sport และ 330e M Sport อย่างเต็มที่บนถนนจริงระหว่างขับมาที่ จ.ชลบุรี เดี๋ยว 2 รุ่นนี้เราจะเขียนถึงในภายหลังแต่วันนี้ขอโฟกัสกับ X5 xDrive45e M Sport ก่อน นี่คือเอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ที่มาแทนรหัส xDrive40e ในเจนฯ ก่อนหน้า เปิดตัวครั้งแรกที่งาน Motor Expo ปลายปี 2019 ผ่านมา มันมาพร้อมกับคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมรอบด้านแต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความสามารถด้านออฟโรด ที่เราจะได้ลองกันในวันนี้
การทดสอบความคล่องตัวและความปราดเปรียวของ X5 xDrive45e M Sport ในวันนี้ ทางบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จัดให้ในรูปแบบ Gymkhana บนพื้นผิวดินกรวดที่มีความลื่นพอสมควร ถือเป็นการลองประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive และระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่สามารถปรับระดับอัตโนมัติทั้งในแบบออฟโรดและออนโรดได้เป็นอย่างดี
ขุมพลังใหม่ ทรงพลังยิ่งขึ้น
X5 xDrive45e ได้รับอัพเกรดขุมพลังใหม่จากรุ่นก่อนหน้า เครื่องยนต์ลูกผสม เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทคโนโลยี Twin Power Turbo ให้พละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 3,500 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 113 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตร เมื่อรวมการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้พละกำลังสูงสุด 394 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive และมีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 24.0 kWh ติดตั้งอยู่ที่พื้นตัวถังรถ
ตามสเปกแล้ว X5 xDrive45e วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลสุด 80 กม. ที่ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. ทั้งยังรองรับการชาร์จไฟได้หลายรูปแบบตั้งแต่ปลั๊กไฟบ้านปกติจนถึงสถานีชาร์จสาธารณะแรงดันสูง โหมดขับขี่มี 4 รูปแบบ ได้แก่ SPORT,HYBRID, ELECTRIC, ADAPTIVE และ BATTERY CONTROL ช่วงล่างของ X5 xDrive45e เป็นแบบถุงลม Adaptive M 2-Axle ปรับระดับอัตโนมัติตามสภาวะการขับขี่
ปราดเปรียวว่องไวเกินขนาดตัว
เมื่อมิติตัวรถขนาดใหญ่และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากแผงแบตเตอรี่ มาเจอกับขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด 394 แรงม้า เราไม่รู้สึกว่า X5 xDrive45e อืดอาดเชื่องช้าแต่อย่างใด กลับกัน มันกลับมีอัตราเร่งที่รวดเร็วว่องไวกว่าที่คาด พอกระแทกคันเร่งรถจะพุ่งทะยานหลังติดเบาะจากแรงดึงอันหนักหน่วง พื้นผิวที่มีความลื่นจากเม็ดดินร่วนซุยไม่ได้ทำให้รถเสียอาการแต่อย่างใด รถพุ่งทะยานฝุ่นตลบไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงและรู้สึกได้ถึงการยึดเกาะที่ดี
ระบบส่งกำลังทำงานอย่างราบรื่นและนุ่มนวล เราแทบไม่รู้สึกถึงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ ขณะที่จังหวะสลับการทำงานของเครื่องยนต์ก็แทบไม่รู้สึกเช่นกัน คุณสามารถควบคุมการใช้เกียร์ได้เองตามต้องการ แพดเดิลชิฟท์ตอบสนองไวมาก สามารถตบใช้งานได้ทันทีในเกียร์ D ถ้าดันเกียร์มาที่ S จะกลายเป็นโหมด SPORT เครื่องยนต์จะตอบสนองไวขึ้น แต่ละเกียร์ลากรอบสูงขึ้น หากอยากจะควบคุมเกียร์เองโดยไม่ให้รถมายุ่งเกี่ยวก็แค่ดันขึ้นหรือลงในตำแหน่งเกียร์ S รถจะปรับเป็นเกียร์แมนวล คราวนี้ต้องใช้แพดเดิลชิฟท์ในการควบคุมหรือจะโยกที่คันเกียรโดยตรงเลยก็ได้
ผู้พิชิตทางออฟโรด
แม้ X5 xDrive45e จะเป็นเอสยูวีสายหรูที่คงไม่มีเจ้าของคนไหนพามันไปบุกป่าฝ่าดงแน่ๆ แต่ถ้าจำเป็นต้องลุยมันก็ทำได้โดยไม่เคอะเขิน ความยอดเยี่ยมของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive ทำให้ X5 xDrive45e ลุยได้อย่างคล่องแคล่วบนพื้นผิวที่มีความลื่นอย่างเช่นดินทรายร่วนๆ หรือหินกรวดขนาดเล็ก คุณสามารถขับมันซิกแซกผ่านกรวย ขับวนเป็นวงกลม หรือหักพวงมาลัยเข้าโค้งหนักๆ บนพื้นผิวพวกนี้ได้สบายๆ เหมือนกับขับบนพื้นผิวยางมะตอยหรือคอนกรีตทั่วไป
ระบบ xDrive จะคอยปรับการส่งกำลังระหว่างล้อหน้าและล้อหลังอย่างเหมาะสม ประกอบกับระบบช่วยเหลืออย่างเช่น ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง และระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ ที่จะคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือให้การขับขี่บนพื้นผิวลื่นเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด สิ่งที่เราสัมผัสได้ตลอดการขับขี่ทุกสถานีคือการยึดเกาะที่ดีทั้งด้านหน้ารถและท้ายรถ มันช่วยสร้างความมั่นใจได้เป็นอย่างดี
เมื่อต้องเจอกับสถานีที่เป็นพื้นผิวแบบหินกรวด ความลื่นเพิ่มขึ้น แต่รถยังคงเอาอยู่ การยึดเกาะยังดีเหมือนเดิม ขับแล้วรู้สึกมั่นใจ ขณะที่ประสิทธิภาพในการเบรกบนพื้นผิวแบบนี้ก็ไม่ได้แย่จากพื้นผิวทางเรียบปกติมากนัก ระยะเบรกเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด
X5 xDrive45e มาพร้อมกับช่วงล่างถุงลมแบบปรับความสูงได้ กรณีที่ขับออฟโรดที่ไม่จำเป็นใช้ความเร็วสูงมากนักก็สามารถปรับให้ช่วงล่างยกตัวขึ้นสูงสุดได้โดยการกดปุ่มที่คอนโซลกลางง่ายๆ ส่งผลให้รถสามารถลุยพื้นที่ยากลำบากได้มากขึ้น บางช่วงของการทดสอบมีการลุยป่าหญ้าด้วย การปรับความสูงของช่วงล่างก็จะทำให้ขับผ่านได้ง่ายขึ้น ถ้าขับความเร็วสูงเกินที่ระบบกำหนดช่วงล่างจะปรับกลับมาเป็นความสูงปกติให้เอง
นอกจากช่วงล่างถุงลมแบบปรับความสูงได้แล้ว X5 xDrive45e ยังมีอีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่จำเป็นสำหรับลุยทางออฟโรดคือระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน เราได้ลองใช้แล้วซึ่งมันทำงานได้ดี ช่วยป้องกันไม่ให้ไหลลงเนินเร็วเกินไป เพิ่มความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี
การควบคุมยอดเยี่ยม
แน่นอนว่าเมื่อติดตั้งช่วงล่างถุงลมเป็นมาตรฐาน ฟีลลิ่งของ X5 xDrive45e จึงมีความนุ่มนวลเป็นหลัก แต่ในความนุ่มนวลก็มีความแน่น กระชับ ไม่ยวบย้วยในขณะเข้าโค้งแรงๆ อาการโยนมีบ้างตามประสารถยกสูงแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดเสียว เสถียรภาพการทรงตัวค่อนข้างทำได้ดี เราสามารถขับผ่านสถานีต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
พวงมาลัยของ X5 xDrive45e ปรับเซ็ตมาเป็นอย่างดี ความเร็วต่ำจะเบา พอความเร็วมากขึ้นพวงมาลัยก็หนืดขึ้นตามไปด้วย ทั้งยังมีระยะฟรีที่เหมาะกับคนชอบการตอบสนองแบบสปอร์ตหน่อยๆ คือค่อนข้างไว หักนิดเดียวหน้ารถเปลี่ยนทิศแล้ว และก็มีความแม่นยำสูง
การตอบสนองของแป้นเบรกมีความนุ่มนวลและมีระยะฟรีน้อย ควบคุมน้ำหนักได้ง่าย เรากดเบรกเต็มแรงแต่กลับไม่มีอาการหัวทิ่ม แต่จะค่อยเพิ่มความหน่วงไปทีละนิดๆ ก่อนจะหยุดสนิท การตอบสนองทำได้เป็นธรรมชาติ เบรกหนักๆ ได้เต็มที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเอาไม่อยู่
ความสะดวกสบาย
X5 xDrive45e มาพร้อมกับตำแหน่งนั่งขับขี่ที่ดีจากการเป็นรถยกสูง เมื่อเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย คุณจะรู้สึกโปร่งสบายจากพื้นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่ เบาะนั่งหนานุ่ม นั่งสบาย เป็นระบบปรับไฟฟ้าเต็มรูปแบบ มุมมองหน้ารถ ข้างรถ หลังรถ ดีเยี่ยมทุกด้าน ปุ่มปรับต่างๆ บนแดชบอร์ดเยื้องเข้าหาผู้ขับขี่เล็กน้อยทำให้เข้าถึงการใช้งานได้ง่าย
จอหน้าปัดดิจิตอล BMW Live Cockpit Professional มาพร้อมกราฟิกสวยงามคมชัด อ่านค่าง่าย ขณะที่หน้าจอกลางแดชบอร์ดขนาดใหญ่ก็แสดงผลได้ลื่นไหล เมนูใช้งานง่าย มาพร้อมฟังก์ชั่นที่ครบครัน ควบคุมการทำงานผ่านปุ่มหมุนที่คอนโซลกลาง สามารถรองรับการสั่งการได้ทั้งเสียงพูดและท่าทางโบกมือ โดยรวมแล้วเป็นระบบความบันเทิงที่เสถียรและมีประสิทธิภาพสูงในระดับต้นๆ ของวงการ
นอกจากนี้ X5 xDrive45e ยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการขับขี่จริงอย่างเซนเซอร์ควบคุมระยะด้านหน้าและหลัง และกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ทั้ง 2 อย่างนี้มีประโยชน์อย่างมากในกรณีต้องขับขี่บนเส้นทางคับแคบหรือมีอุปสรรค
สรุปการขับขี่
จากหน้าตาภายนอกที่หล่อเหลาด้วยชุดแต่ง M Sport ความสามารถด้านออฟโรดของ X5 xDrive45e ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำได้ดีเช่นเดียวกัน มันอาจจะลุยเส้นทางโหดๆ ปีนป่ายหิน ลุยน้ำลุยโคลนไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสมรรถนะการขับขี่บนพื้นผิวดินกรวดที่มีความลื่นนั้นทำได้ดี ขับแล้วมั่นใจ ปราดเปรียวว่องไวไม่ต่างจากทางเรียบ ประกอบกับอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ก็ช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับรถได้เป็นอย่างดี สุดท้ายนี้คงไม่มีใครเอาเอสยูวีสายสปอร์ตแบบนี้ไปลุย แต่ถ้าต้องลุยก็มาเลย X5 xDrive45e พร้อมอยู่แล้ว
ราคาจำหน่ายของ BMW X5 xDrive45e M Sport อยู่ที่ 4,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard) ดูรายละเอียดสเปกเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/33E6v0l
ขอขอบคุณ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย สำหรับการทดสอบในครั้งนี้
Gallery