BMW 530e M Sport 2022 ซึ่งเป็นรถยนต์ PHEV หรือที่เรารู้จักกันในปลั๊กอินไฮบริด โดยได้รางวัลใน Car of the year ของ UK ในกลุ่มของ Luxury car
ในอนาคตค่าย BMW จะมีการลดรถยนต์สัปดาบลงเรื่อยๆ จนหมดไป และพึ่งประกาศ BMW Global ที่สามารถใช้พลังงานไฮโดรเจนได้ด้วย
BMW 530e M Sport เป็นตัวบนสุดที่มาพร้อมรหัสตัว e ที่หมายถึงว่ารถคันนี้เป็นรถยนต์ในรูปแบบเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid หรือ PHEV เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ผลิตกำลังได้ 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร กำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกำลัง 109 แรงม้า 265 นิวตันเมตร รวมกันแล้วได้กำลังสูงสุดที่ 292 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร
ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic พร้อม Gearshift Paddles เคลมอัตราเร่ง 0-100 ไว้ที่ 5.9 วินาที มีระยะทางวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าได้สูงสุด 52 กิโลเมตร มีระบบ XtraBoost ที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเสริมกำลังเครื่องยนต์สันดาปให้แรงยิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นไปอีก 30 kW (41 แรงม้า) ระบบขับเคลื่อนจะตอบสนองต่อความไวในการเหยียบคันเร่งเพิ่มมากขึ้น Top Speed ที่ 235 กม./ชม.
ภายนอกในส่วนของด้านหน้ามีการปรับเปลี่ยนหรือที่เรียกว่า Re-Design จะเห็นแล้วว่าตัวกระจังหน้าจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีความกว้างขึ้นลงตัวทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไฟหรือชุดแต่ง M Aerodynamic มีรูปร่างรูปลักษณ์และทุกอย่างที่พอดีไม่ได้ดูมีอายุจนเกินไป
ภายในกระจังหน้าเป็นแผ่นกั้นอากาศที่จะ เปิด-ปิด อัตโนมัติตามความต้องการของระบบระบายความร้อน อีกทั้งมีช่องดักอากาศเป็นลาย 3 มิติ คล้ายรังผึ้งและมีเส้นปิดนำสายตาขนาดใหญ่ดูลงตัวกับดีไซน์ของรถ นอกจากนี้มีเรดาห์ที่ทำงานควบคู่กับกล้องด้านบนจะช่วยในเรื่องของระบบความปลอดภัย รวมไปถึง Adaptive Cruise Control ทีทำงานถึงจุดหยุดนิ่งก็จะทำงานประสานกับตัวกล้องด้านหน้า อีกทั้งมีเซนเซอร์ด้านหน้ามาให้ถึง 6 จุด ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ มีรูปทรงเพรียวบางลงกว่าโฉมแรก ภายในโคมได้รับการดีไซน์ใหม่ โดยไฟ DRL เปลี่ยนเป็นทรงอักษร L คู่ โดยไฟเลี้ยวทั้งหมดจะเข้าไปรวมอยู่กับไฟ Daytime Running ซึ่งเมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวไฟ Daytime Running จะดับลงและไฟเลี้ยวสีเหลืองจะทำงานแทน ส่วนพวกไฟตัดหมอกหรือไฟส่องสว่างต่าง ๆ จะรวมกันอยู่ทั้งหมด เป็นไฟปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติและปรับตามองศาเลี้ยวของพวงมาลัยด้วย
ล้อเป็นการดีไซน์รูปแบบใหม่ในชุดตกแต่ง M Aerodynamic เป็นลาย Y Spoke มาในขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 245/40 R19 ที่ล้อหน้า และล้อหลังขนาด 275/35 R19 ใส่คาลิเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport มาด้วย ยางเป็นยาง run flat ที่เมื่อโดยอะไรทิ่มก็ยังสามารถขับไปได้อีกในระยะหนึ่ง
ถัดมาเป็นตัวดักอากาศด้านข้างที่มันจะใช้งานร่วมกับ ตัวดักอากาศด้านหน้าที่จะมีการหมุนวนอากาศที่เข้าจากด้านหน้ามาออกจะด้านข้างเพื่อเป็นการตอบสนองของลมที่มาปะทะรถด้านหน้าก็จะช่วยในเรื่องของ Aero dynamic นอกจากนี้เราจะมองเห็นช่องสำหรับเสียบชาร์จไฟสำหรับสายชาร์จแบบ type2 เราสามารถใช้อแดปเตอร์ที่ติดมากับรถ มาชาร์จไฟที่บ้านได้ โดยเราสามารถเสียบกับตัวเต้าเสียบได้โดยตรงไม่ต้องต่อกับปลั๊กสามตา เพื่อความปลอดภัย ระยะเวลาชาร์ทอยู่ที่ 3 ชั่วโมง 15 นาทีโดยประมาณสำหรับไฟบ้านธรรมดา และถ้าหากใครมี walllbox ของ BMW ที่บ้านก็ประมาณ 2 ชั่วโมง
ด้านบนเป็นหลังคากระจกที่สามารถเปิดให้แสงเข้าไปได้ ถัดลงมาที่เส้นขอบประตูจะไม่ใช่โครเมียม แต่เป็นในส่วนของชุดแต่งเอ็ม ทำให้มีการใช้สีดำเงา gloss black ไปจนถึงเสาบี ในส่วนนี้เราค่อนข้างชอบเพราะว่า มันจะดูเป็นเงาเงาและอีกอย่างรถสไตล์นี้ ถ้าเราไปติดฟิล์มสีดำที่เป็นเซรามิก มันจะดูดุดันโดยที่เราไม่ต้องไปแต่งอะไรเพิ่ม
ถัดมาที่กระจกมองข้างมีดีไซน์ที่ออกแบบมาค่อนข้างที่จะใหญ่แต่ว่ามีความลู่ในเรื่องของ Aerodynamic กระจกรถเป็นสีเดียวกับตัวรถขึ้นเป็นสีขาวและมีเส้น เอิร์นของไฟแอลอีดี ไฟเลี้ยวซ่อนมาให้ด้วย และมีกล้องมองรอบคันมาให้ซึ่งจะมีทั้งกระจกซ้ายและกระจกขวา โดยกระจกเป็นแบบพับไฟฟ้า อีกทั้งยังมีระบบเตือนมุมอับสายตามาให้ด้วย
มาต่อกันที่มือจับประตูซึ่งเป็นแบบ comfort assess คือถ้าเรามีกุญแจติดตัวเราสามารถปลดล็อครถหรือล็อครถโดยที่ไม่ต้องใช้กุญแจรีโมทเลย ซึ่งระบบนี้สามารถเปิดได้ทั้งสี่บาน ด้านบนหลังคาจะมีเสาอากาศแบบคลิปฉลามก็ออกแบบมาลงตัวกับตัวรถดูสวยงาม
ด้านท้ายเรียบรหรูดูดีและมีกล้องมองหลังมาให้ อีกทั้งไฟด้านท้ายมีลักษณะเป็นก้อนใหญ่ ชุดไฟท้ายก็เป็น LED ทั้งหมด และได้รับการดีไซน์ใหม่เช่นกัน ในส่วนของกันชนท้ายมาเป็นชิ้นเดียวและเป็นชุดแต่ง M Aerodynamic อีกทั้งมีเซ็นเซอร์มาให้ 6 จุด เช่นเดียวกัน นอกจากนี้มีดิฟฟิวเซอร์ที่ให้มาเพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้าโดยเป็นสีดำเงา Gloss Black และมีตัวทับทิมสะท้อนแสงที่ออกแบบมาให้ลงตัวจากด้านบน และมีท่อไอเสียเป็นท่อคู่ อีกทั้งด้านท้ายสามารถเปิดได้ 3 แบบ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดจากกุญแจ หรือจากตัวรถ รวมไปถึงมีระบบแฮนด์ฟรี
บริเวณท้ายรถจะมีขนาดเล็กกว่าซีรี่ย์ 5 รุ่นดีเซล เพราะว่าจะมีแบตเตอรี่ซ้อนอยู่ ในรุ่นนี้มีขนาด 410 ลิตร อีกทั้งยังมีช่องเก็บของที่เปิดขึ้นได้ โดยสามารถเก็บของเล็ก ๆ ได้ รวมไปถึงสายชาร์จที่แถมมาให้แต่เป็นเพียงสายชาร์จไม่ใช่อแดปเตอร์ โดยในส่วนของอแดปเตอร์จะอยู่ในช่องด้านข้างรถ นอกจากนี้พื้นที่เก็บของด้านหลังสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อเก็บของสูง ๆ ได้ และยังมีช่องชาร์จ power outlet มาให้ที่ด้านหลัง แล้วสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของรถยุโรปมีช่องเก็บอุปกรร์ปฐมพยาบาลให้ด้วย
ในการปิดด้านท้ายจะมี 1 ปุ่ม ที่เป็นปุ่มล็อกรถ เมื่อเรากดประตูท้ายจะปิดและรถจะล็อกทันทีแต่ห้ามลืมกุญแจไว้ในรถเด็ดขาดหากเรามีเพียงกุญแจ Display เพียงชิ้นเดียวเพราะเมื่อปิดแล้วเราจะไม่สามารถเปิดรถได้ แต่ BMW มีเทคโนโลยีใหม่ที่แชร์กุญแจกับผู้ใช้งานสำหรับเจ้าของรถที่โหลดแอพลิเคชั่นไปก็สามารถเปิดรถจากแอพลิเคชั่นนั้นได้เลย
สเปคเครื่องยนต์
Body Style | Sedan |
Description | รถ Sedan 4 ประตู |
Engine | เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร |
Fuel Consumption | 55.6 กม./ลิตร |
Fuel Type | เบนซิน |
Make | BMW 5 |
Max Power | 292 แรงม้า |
Max Torque | 420 นิวตันเมตร |
Model | BMW 530e M Sport 2022 |
Price Guide | 3,739,000 บาท |
Release Date | 15 ตุลาคม 2565 |
0-100 km/h | 5.9 วินาที |
Transmission | เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic |
การขับขี่
ทัศนวิสัยของ 530e รุ่นนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยทีเดียวเนื่องจากอย่างแรกเลยคือการปรับตำแหน่งการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าปรับมาให้ละเอียดมากและเรื่องของพวงมาลัยที่สามารถปรับขึ้นลงได้4 ทิศทาง โดยส่วนตัวแล้วผมชอบกลับเข้ามาหาตัวซึ่งก็จะเข้ากับลักษณะการขับของผมเอง อีกทั้งเสาเอของรุ่นนี้ออกแบบมาได้ดีทีเดียวทำให้เราสามารถมองเห็นในช่วงมุมอับสายตาในขณะที่เรามองไปในกระจกมองข้าง
โหมดการขับขี่มีทั้งหมด 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Sport, Hybrid, Electric และ Adaptive สำหรับโหมดไฮบริดก็จะมีให้เลือกด้วยกันสองตัวเลือก ได้แก่ Standard และ Comfort โดย Standard จะเป็นในเรื่องของการตัดกำลังใช้แบตเตอรี่มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ สามารถใช้การขับขี่ในเมืองได้ดี ในส่วนการบริโภคเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 9.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 530e จะเน้นในเรื่องของเพอร์ฟอร์แมนซ์ของการขับขี่โดยให้กำลังแรงม้าและแรงบิดมาค่อนข้างสูง แต่ก็ยังให้ความสำคัญในเรื่องของปลั๊กอินไฮบริดอีกด้วยก็คือการเสียบปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ หากรถมีแบตเตอรี่พอสมควรรถก็จะใช้กำลังของแบตเตอรี่ในการออกตัว และอีกตัวเลือกของไฮบริดคือ Eco Pro ซึ่งผมเองก็แนะนำเพราะว่ามันจะประหยัดที่สุด
โหมด Electric จะใช้ระยะเวลาในการเสียบปลั๊กชาร์จที่บ้านจาก 0-100% อยู่ที่ 3 ชั่วโมง 15 นาที โดยประมาณ ซึ่งแบตเตอรี่จะสามารถวิ่งได้จาก Eco Sticker ในระยะทางประมาณ 52 กิโลเมตร แต่เมื่อขับจริงบนท้องถนนจะอยู่ที่ประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับขี่แต่ละคนด้วย ในส่วนของความเร็วได้สูงสุดที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในส่วนของโหมด Sport คันเร่งจะไวกว่า พวงมาลัยก็จะรู้สึกตึงมือ สามารถปรับความหนืดของโช็คได้โดยจะมี 2 ระดับก็คือแบบ Comfortและ Sport ในตอนนี้เราปรับแบบ Sport สำหรับเกียร์ 530e ที่จะเป็นเกียร์ 8 สปีดแบบ Sport steptronic
เมื่อเราวิ่งจาก 60 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราจะรู้สึกได้ว่าเกียร์มีความไวและสมูท และพิเศษสำหรับตัว 530e M Sport เมื่อเราเข้าโหมด Sport จะมี Xtra Boost ที่สามารถเพิ่มกำลังความแรงของแรงม้าจาก 252 แรงม้า ไปได้ถึง 292 แรงม้า ซึ่งทำให้เห็นว่าแรงม้าเพิ่มขึ้นมาถึง 40 ตัวเลยทีเดียว โดย Xtra Boost จะใช้ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มันจะสามารถทำงานได้เพียง 10 วินาทีเท่านั้น ซึ่งใน 10 วินาที นี้เราสามารถที่จะแตะไปถึง 200 ไมล์ได้ง่ายง่าย เมื่อหมดเวลาของ Xtra Boost แรงม้าก็จะถูกตัดกำลังลงมาจาก 292 แรงม้า เหลือเท่าเดิมคือ 252 แรงม้า หากเป็นสปอร์ตแบบ individual จะสามารถปรับพวงมาลัย เครื่องยนต์cและเกียร์ได้ รวมไปถึง Electric individual ก็สามารถปรับได้เช่นกัน อีกทั้งมี Battery Control ที่เราสามารถควบคุมแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เราควบคุมไว้ตามตัวเลขก็คือรักษาความสุขของแบตเตอรี่เอาไว้นั่นเอง
ในระบบการขับขี่สุดท้ายคือ Adaptive โดยในโหมดนี้จะปรับระบบการขับเคลื่อนและระบบต่าง ๆ ให้เป็นไปตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับขี่เอง โดยส่วนตัวของผมผมจะชอบเหยียบคันเร่งเยอะเหยียบเบรคบ่อยระบบก็อาจจะตั้งเป็นไฮบริดโหมด ผมแนะนำว่าให้ใช้ระบบนี้ในการเดินทางไกลแต่ถ้าขับขี่ในเมืองก็เป็นโหมดไฮบริดเป็นหลักเพราะคันนี้เป็นปลั๊กอินไฮบริด
ไฮไลท์หลักจะอยู่ที่ระบบ Adaptive Cruise Control จนถึงจุดหยุดนิ่ง หรือ Stop&Go เราสามารถใช้ความเร็วต่ำในเมืองได้ซึ่งจะช่วยในการขับขี่เมื่อรถติดทำให้ไม่เมื่อยในการขับขี่และยังปรับระยะห่างจากรถคันหน้าได้ถึง 4 ระดับ
ความพิเศษอีกอย่างคือพวงมาลัย โดยเมื่อความเร็วต่ำเรากลับรถหรือเข้าจอดที่แคบ รุ่นนี้จะมี intelligent stealing ซึ่งจะช่วยให้สามารถเลี้ยวในมุมแคบได้โดยล้อจะทำมุมทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถ้าความเร็วต่ำล้อจะเลี้ยวส่วนทางกันเป็นการบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ทำให้มุมเลี้ยวแคบขึ้น ส่วนหากใช้ความเร็วสูงล้อจะไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้สามารถเข้าเลนหรือแซงในระยะใกล้ขึ้น อีกทั้งรถยังความเสถียรในการทรงตัวมากขึ้น
ความปลอดภัย
- ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop&Go (Active cruise control with Stop&Go function)
- ระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant)
- ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ (Parking Assistant)
- ระบบ Teleservices
- ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC)
- ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC)
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
- ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist)
- ไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน (Dynamic Braking Lights)
- ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC)
- เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)
- ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection)
- ระบบ Active Protection
- เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง
- กล้องแสดงภาพด้านหลัง
สุนทรียภาพการขับขี่
แผงประตูตกแต่งด้วย Rhombicle Smoke Grey ที่เป็นสีควันดำสลับกับที่เปิดประตูโครเมียมและเส้นสายโครเมียม มาพร้อมลำโพง Harman Kardon รอบทิศทาง และมี Memory seat 2 ตำแหน่ง นอกจากนี้มีกระจกมองข้างฝั่งคนขับที่สามารถปรับแสงได้อัตโนมัติ
เบาะนั่งหนังแท้ Dakota สีน้ำตาลดูสวยและหรูหรา อีกทั้งสามารถปรับไฟฟ้าได้หลายทิศทาง และสำหรับคนขับจะมีตัวดันหลังส่วนล่างมาให้ด้วย นอกจากนี้ปีกเบาะสามารถปรับให้โอบกระชับได้
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือจอ Infotainment ที่มีการปรับขนาดให้ใหญ่ เป็น 12.3 นิ้ว แดชบอร์ดข้างหน้าเป็นหนัง sensatec ซึ่งเป็นหนังสังเคราะห์ของ BMW เป็นวัสดุเบื่นุ่มสีดำและมีการเดินได้สีน้ำตาลเทาเทาดูตัดกับวัสดุสีดำทำให้ลงตัว
ถัดมาจะเป็นการตกแต่งภายในเป็นวัสดุอะลูมิเนียมลาย Rhombicle Smoke Grey เป็นสีออกดำ ควันบุหรี่ ตัดด้วยโครเมียมด้าน และถ้าเมื่อติดไฟหรือตรงเวลากลางคืนจะมีไฟ Ambient Light ตามแนวเส้นโครเมียม
ในส่วนของจอ Infotainment จะรวบรวมระบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุม ระบบความปลอดภัยหรือระบบควบคุมเครื่องเสียงรถ ระบบปฏิบัติการเป็น BMW OS7.0 เป็น Live Cockpits Professional สิ่งที่เราชอบหรือรถดีอีกอย่างคือระบบเนวิเกเตอร์เพราะว่าเราเปิดให้ระบบนำทางระบบจะแสดงสภาพการจราจรโดยรอบ และสามารถซูมขยายหน้าจอได้ อีกทั้งสามารถเช็คสถานะของรถ ในส่วนของอุปกรณ์การเชื่อมต่อบลูทูธสามารถเชื่อมต่อบลูทูธได้ไม่ว่าจะเป็น Apple CarPlay หรือว่า Android Auto สามารถเชื่อมต่อได้ง่ายและใช้งานได้ อีกทั้งเรายังสามารถอัพเดทซอฟท์แวร์ได้เองจากที่บ้าน
ในส่วนของโหมดการขับขี่เราสามารถกดเข้าไปตั้งค่า ต่าง ๆ ได้ในเรื่องของ Sport Individual เราสามารถตั้งค่าการขับขี่ได้แบบที่เราต้องการไม่ว่าจะเป็นระบบการสะเทือน ระบบบังคับเลี้ยว เครื่องยนต์ ระบบเกียร์ปรับ โดยเป็นสองโหมดคือสปอร์ตและ Comfort ในส่วนของ Electric individual ก็สามารถปรับได้เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโหมดความประหยัด ECO PR ซึ่ง ECO PRO ก็สามารถปรับได้อีกไม่ว่าจะเป็นระบบกันสะเทือนหรือระบบบังคับเลี้ยวแบบ Comfort หรือ Sport อีกทั้งมี Battery control ที่สามารถกำหนดค่าของแบตเตอรี่ได้ ในรุ่นนี้สามารถปรับได้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของไฟสองสว่างหรือระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
530e มาพร้อม gesture control ที่สามารถใช้ท่าทางในการควบคุมหน้าจอ ในรุ่นนี้มาพร้อมระบบปรับอากาศเป็นแบบ 4 โซน มีด้านหน้า 2 โซน และด้านหลัง 2 โซน สามารถที่จะปรับเพิ่ม-ลดอุณหภูมิได้ที่มือหมุนและสามารถกดปุ่มออโต้ได้ถ้าต้องการให้ลมเป่าออกมา
คอนโซลด้านล่างมีช่อง USB-A และ wireless charger มาพร้อมช่องเสียบ Power Outlet ถัดลงมาจะเป็นปุ่ม iDrive และข้าง ๆ กันเป็นเกียร์สไตล์ BMW อีกทั้งมีเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold ถัดไปมีปุ่ม action control ซึี่งเป็นปุ่มที่ไม่ควรปิดเพราะจะช่วยควบคุมเสถียรภาพในการขับขี่เมื่อเกิดอาการลื่นไถลต่างๆ ต่อไปก็จะเป็นในส่วนของโหมดการขับขี่ต่าง ๆ มีทั้ง 4 โหมด ได้แก่ Sport, Hybrid, Electric และ Adaptive อีก 1 ปุ่ม จะเป็น Battery Control และปุ่ม P หรือว่าปุ่มเซนเซอร์ ซึ่งเราสามารถซูมเข้าไปดูใกล้ ๆ ได้ว่าบริเวณนั้นมีสิ่งกีดขวางอะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านข้าง ด้านหน้าหรือด้านหลัง
มาตรวัดของ BMW ในรุ่นนี้เป็น Full Digital โดยหน้ามาตรวัดแบ่งเป็น 3 ส่วน โดยฝั่งซ้ายและขวาไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้แต่ตรงกลางสามารถทำได้เพราะเป็นส่วนหนึ่งในแพ็คเกจ Live Cockpit Professional โดยสามารถนำภาพจากจอ Infotainment มาใส่ในจอกลางได้ นอกจากนี้มาตรวัดยังปรับเปลี่ยนสีได้ตามโหมดการขับขี่ อย่างเช่น โหมด Sport จะเป็นสีแดง โหมด Hybrid เป็นสีฟ้า เป็นต้น อีกทั้งยังมี Head up display มาให้ด้วย
ทรงของพวงมาลัยยังคงเป็นเอกลักษณ์ ในความรู้สึกของเราคิดว่าทรงดูโบราณแต่ใช้งานได้ดี มีรูปร่างอ้วนใหญ่ทำให้จับกระชับมือ พวงมาลัยเป็นมัลติฟังก์ชั่นในส่วนของด้านซ้ายเป็น Adaptive Cruise Control และด้านขวาเป็นในเรื่องของระบบควบคุม Infotainment ต่างๆ นอกจากนี้ Paddle Shift มาให้ด้วย
ถัดมาที่ด้านบนหลังคาซึ่งจะหุ้มด้วยผ้าสีดำหรือที่เรียกว่า Anthracite ซึ่งสามารถกันความร้อนได้ และมีปุ่ม SOS ขอความช่วยเหลือยามฉุกเฉินอีกด้วย มาพร้อมปุ่มเปิด-ปิดหลังคาซันรูฟ และมีกระจกมองหลังแบบตัดแสงมาให้ด้วย คอนโซลกลางเก็บของได้ประมาณหนึ่งและมีขนาดใหญ่ วัสดุเป็น soft touch และภายในกล่องมีที่เสียบ USB-C 1จุด
ห้องผู้โดยสารด้านหลังนั่งสบาย คนสูง 180 ซม. ยังเหลือ leg room และ Head room เบาะนั่งมีขนาดกว้างอีกทั้งเบาะตรงกลางไม่ได้นูนออกมาเหมือนกับค่ายอื่นทำให้สามารถนั่งกลางได้สบาย อีกทั้งหมอนของเบาะกลางยังสามารถปรับตั้งได้อีกด้วย ในส่วนของการตกแต่งจะเหมือนด้านหน้าที่เป็น Rhombicle Smoke Grey สำหรับแผงประตูใช้หนัง sensatec และมีไฟ Ambient Light ฝังอยู่ ในส่วนของมือจับเป็นโครเมียมและมีสำโพง Harman Kardon มาให้ด้วย และมีจุดเด่นอีกอย่างคือม่านบังแดดด้านหลัง โดยจะมี 2 ชิ้น เป็นชิ้นเล็กกับชิ้นใหญ่ นอกจากนี้มีม่านบังแดดด้านหลังมาให้ด้วย
ผู้โดยสารตอนหลังมีแอร์แบบ 4 โซน สามารถปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวา อีกทั้งมีที่เสียบสายชาร์จ USB-C ให้ 2 ตำแหน่ง รวมไปถึง Power Outlet ในรุ่นนี้ยังเพิ่มความสบายโดยการเพิ่มมาให้ผู้โดยสารตอนหลังบริเวณเสาบี นอกจากนี้ยังมีที่พักแขนขนาดใหญ่และสามารถวางแก้วน้ำ โดยใช้วัสดุ Soft Touch
เรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารตอนหลังจะมีเข็มขัดนิรภัย 3 จุด เบาะตรงกลางก็มีให้ด้วย รวมไปถึงมีที่ยึดเบาะเด็ก isofix ให้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ในส่วนของไฟ Ambient Light มันไม่ได้ให้แค่ความสวยงามแต่ยังบอกถึงเรื่องความปลอดภัย โดยเมื่อเราเปิดประตูไฟจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อเป็นการเตือนว่าเราควรหันไปดูรถดูถนนก่อนเปิดออก
สรุปความน่าใช้
BMW 530e M Sport หากต้องเปรียบเทียบกับ 530e Elite ที่ไม่ใช่ชุดแต่ง M Sport ในรุ่นนี้จะเพิ่มเติมจาก Elite ในเรื่องของ Adaptive Cruise Control แบบ Stop&Go และช่วงล่างแบบ Adaptive มาพร้อมชุดแต่ง M Aerodynamic และมีหลังคาซันรูฟมาให้ด้วย โดยราคาอยู่ที่ 3,739,000 บาท โดยมีความสะดวกสบาย ระบบความปลอดภัย และการขับขี่ที่สนุกสนานซึ่งจะแฝงมากับความสุขุมนุ่มลึกในมาดของรถผู้บริหาร
เรื่องงระบบความปลอดภัยระบบ Adaptive Cruise Control ของคันนี้ตอบโจทย์มาก หากใครไม่เคยใช้เราแนะนำให้ลองใช้และถ้ายิ่งเป็นบบ Stop&Go แล้วด้วยจะให้ความสบายเป็นอย่างมาก เมื่อเราเจอรถติดไม่ต้องคอยเหยียบเบรคถี่ ๆ เลย อีกทั้งยังตั้งระยะห่างจากรถคันหน้าได้อีก ในเรื่องความประหยัดหากเราเสียบชาร์จเต็มระยะทางไม่เกิร 50 กิโลเมตร แต่หากใช้งานจริงอยู่ที่ 34-35 กิโลเมตร
ตอบโจทย์สำหรับผู้บริหารที่ช่วงอายุ 40 กลาง ๆ ไปจนถึง 50 ปลาย ๆ เน้นขับเองเป็นหลัก สามารถขับไกลได้แต่ต้องจุดแวะพักชาร์จด้วย หากมีครอบครัวคันนี้ก็ตอบโจทย์เพราะมีขนาดใหญ่หรือถ้าส่วนตัวชอบรถคันใหญ่รุ่น 530e ก็เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจ
แบเตอรี่ 12 kWh โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าน้อยไป น่าจะเพิ่มขึ้นมาสัก 13-14 kWh จะดูคุ้มค่ากว่า และเรื่องโหมด Sport ที่ช่วงล่างเป็น Adaptive เมื่อเราปรับ Sport มันจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด ซึ่งระรู้สึกว่าเป็น Sport ที่ดูนุ่ม ๆ ไม่ได้ฮาร์ดคอ
อีก 1 จุดเด่น คือแม้จะเป็นรถใหญ่แต่วงเลี้ยวเมื่อกลับรถหรือจอดที่แคบ รุ่นนี้ล้อบังคับเลี้ยวด้านหลังได้ในความเร็วต่ำสวนทิศทางกับล้อหน้าทำให้มุมหักเลี้ยวพวงมาลัยจะแคบลง ในความเร้วสูงก็จะหักเลี้ยวตามล้อหน้า การเข้าโค้งหรือเร่งแซงก็จะแม่นยำสูง แต่หากจะเอาคุ้มค่าไม่ได้ต้องการระบบความปลอดภัยอะไรมากสามารถไปดูรุ่น 530e Elite แทนได้ เพราะ 530e Elite ถูกกว่าถึง 740,000 บาท แต่ถ้าใครไม่ชอบปลั๊กอินไฮบริดก็ลองไปดูรุ่นดีเซลที่เราเคยเอามารีวิวก่อนหน้านี้ได้
คู่แข่งของ 530e คงหนีไม่พ้น Mercedes-Benz E300e แต่ 300e ปัจจุบันราคาอยูที่ 3,770,000 บาท ซึ่งก็จะแพงกว่า 530e กว่าหลักหมื่น อีกทั้ง 300e ยังมีแบตเตอรี่มากกว่า นอกจากนี้ Mercedes-Benz ยังมีแรงม้ากว่า 300 แรงม้า และแรงบิดเกือบ 700 นิวตันเมตร ซึ่งต่อให้ 530e มี Xtra Boots ที่เพิ่มขึ้นเป็น 292 แรงม้า ก็ยังน้อยกว่าอยู่ดี
The Review
BMW 530e M Sport 2022
BMW 530e M Sport 2022 เป็นรถยนต์ PHEV หรือที่เรารู้จักกันในปลั๊กอินไฮบริด
PROS
- ช่วงล่างดีมาก
- เครื่องยนต์ขับมัน
- รถหรูแต่ดูเอาใจวัยรุ่นไม่น้อย
- ระบบเก็บเสียงดี
CONS
- ดับเครื่องเองตลอด
- ระบบ Adaptive Cruise Control ที่ใช้งานแล้วกลัวจะไปทิ่มท้ายคนอื่น
Review Breakdown
-
Driving
-
Engine&Trans
-
Fuel Consumption
-
Practicality
-
Price and Features
-
Design
-
Saftey