หลังจากนี้ไป Audi จะเรียกชื่อรุ่นย่อยรถยนต์แบบใหม่ โดยในแต่ละโมเดลจะถูกกำหนดรหัสตัวเลขตามพละกำลังที่มี แทนที่การกำหนดรหัสตัวเลขตามความจุกระบอกสูบของเครื่องยนต์แบบเดิม
กระบวนการตั้งชื่อแบบใหม่จะเป็นการกำหนดกลุ่มโมเดลที่มีด้วยรหัสตัวเลขตั้งแต่ 30 ถึง 70 โดยรหัส 30 หมายถึงรุ่นที่มีพละกำลังระหว่าง 107 – 127 แรงม้า และรหัส 70 หมายถึงรุ่งที่มีพละกำลังมากกว่า 529 แรงม้า ตัวอย่างเช่น จาก Audi Q2 1.6 TDI เดิม จะเปลี่ยนใหม่เป็น Audi Q2 30 TDI
นี่คือรายละเอียดของแต่ละรหัสตัวเลขที่ Audi จะใช้กำหนดรุ่นย่อยของรถยนต์โมเดลใหม่ๆ
- 30 หมายถึงโมเดลที่มีพละกำลังระหว่าง 107 – 127 แรงม้า (81 – 96 กิโลวัตต์)
- 35 หมายถึงโมเดลที่มีพละกำลังระหว่าง 145 – 159 แรงม้า (110 – 120 กิโลวัตต์)
- 40 หมายถึงโมเดลที่มีพละกำลังระหว่าง 165 – 198 แรงม้า (125 – 150 กิโลวัตต์)
- 45 หมายถึงโมเดลที่มีพละกำลังระหว่าง 223 – 244 แรงม้า (169 – 185 กิโลวัตต์)
- 50 หมายถึงโมเดลที่มีพละกำลังระหว่าง 278 – 304 แรงม้า (210 – 230 กิโลวัตต์)
- 60 หมายถึงโมเดลที่มีพละกำลังระหว่าง 423 – 449 แรงม้า (320 – 340 กิโลวัตต์)
- 70 หมายถึงโมเดลที่มีพละกำลังมากกว่า 529 แรงม้า (400 กิโลวัตต์) ขึ้นไป
การกำหนดชื่อรุ่นย่อยแบบใหม่นี้จะเชื่อมโยงกับเอาท์พุตของเครื่องยนต์โดยตรงโดยไม่คำนึงถึงรูปแบบว่าจะขับหน้า ขับหลัง หรือขับสี่ล้อ ชื่อใหม่จะใช้กับรถยนต์โมเดลมาตรฐานของ Audi ทุกรุ่น ซึ่งหมายความว่าทั้งโมเดลเบนซิน ดีเซล แก๊สธรรมชาติ ปลั๊กอินไฮบริด และไฟฟ้า จะสามารถเทียบเคียงได้โดยตรง
โมเดลแรกที่ประเดิมใช้การระบบชื่อแบบใหม่นี้คือ A8 รุ่นใหม่ ชื่อรุ่นดีเซล 3.0 TDI แบบเดิมจะเปลี่ยนเป็น 50 TDI และเบนซิน 3.0 TFSI เปลี่ยนเป็น 55 TFSI ส่วนพารามิเตอร์ของรหัส 55 ยังไม่ได้รับการยืนยันออกมา
ระบบชื่อรุ่นแบบใหม่ของ Audi จะใช้เฉพาะโมเดลมาตรฐานเท่านั้น โมเดลพิเศษพวก S, RS และ R8 จะยังใช้ชื่อแบบเดิมต่อไป เพื่ออ้างอิงถึงตำแหน่งสูงสุดในตระกูลนั้นๆ ค่ายรถเยอรมันกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้โมเดลในอนาคตสะท้อนถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากระบบไฮบริด-ไฟฟ้า และ/หรือระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างเดียว เช่นการพัฒนาเอสยูวี E-tron ของบริษัท