ALL NEW SUZUKI XL7 เปลี่ยนชีวิตมุมมองใหม่ กล้าที่จะแตกต่างในทางของตัวเอง คิดและฝันอย่างสร้างสรรค์ ไปกับรถยนต์ “Multi-Dynamic Crossover” พร้อมตอบโจทย์การใช้งานอย่างหลากหลายของคนรุ่นใหม่ ภายใต้สมรรถนะที่เหนือกว่า ลุยไปกับคุณได้ทุกเส้นทาง
SUZUKI XL7 ถูกออกแบบและพัฒนา ด้วยแนวคิด THINK XL คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิตคำนึงถึงทุกฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่าง
จุดเด่นสำคัญของ SUZUKI XL7 คือ เป็นรถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง ที่สามารถใช้งานได้จริงในทุกพื้นที่โดยสาร ตัวรถถูกออกแบบให้มีความสูงขึ้นเพื่อให้สามารถเดินทางไปได้หลากหลายเส้นทางเหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย ตอบโจทย์การขับขี่ได้ทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นอย่างดี ครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานเหนือระดับในราคาที่ผู้บริโภคตัดสินใจเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่งแน่นอนว่าเพียบพร้อมไปด้วยความโดดเด่น ทั้งดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สปอร์ตเข้ม ดุดัน ทันสมัย ไปจนถึงเรื่องของความคุ้มค่าจนสามารถสร้างยอดขายรวมพร้อมส่งมอบนับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงเดือนพฤษภาคม 2564 ไปแล้วกว่า 4,117 คัน ซึ่งปรากฎการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า SUZUKI XL7 สามารถตอบโจทย์และสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว สิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือ เป็นรถที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี จนสามารถสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมามียอดเฉลี่ยอยู่ที่ 300-400 คันต่อเดือน
เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ความโดดเด่นของ SUZUKI XL7 จึงทำให้เกิดทริปครั้งนี้ขึ้นและแน่นอนว่าทีม What car? ต้องไม่พลาด ซึ่งทริปนี้จัดเต็มเพื่อทดสอบสมรรถนะรถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง มีทั้งทางเรียบ ทางขรุขระ โดยเป็นการเดินทางจากกรุงทพไปเขาใหญ่
การเดินทางที่มากับธรรมชาติ
ทาง SUZUKI นัดรวมพลกันที่โรงแรมบันยันทรี แบงคอก สารทร จากหน้าโรงแรมเราออกไปเลี้ยวซ้ายและข้ามไฟแดงหน้าโรงแรมเพื่อไปกลับรถ โดยมุ่งหน้าไปพระราม 4 และเลี้ยวซ้ายที่แยกพระราม 4 วิ่งตรงไปหัวลำโพงเพื่อเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วนบริเวณหัวลำโพงซึ่งทุกคันสามารถเข้าช่อง Easy pass ได้เลย เมื่อขึ้นทางด่วนแล้ววิ่งตรงไปโดยใช้ทางด่วนศรีรัชมุ่งหน้าไปแจ้งวัฒนะและไปต่ออุดรรัถยา เราจะวิ่งไปสุดทางที่บางประอินขาออกโดยใช้ทางออกหมายเลข ม.2-16 วิ่งตรงไปทางบางประอิน-อยุธยา เพื่อไปเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 9 หรือว่ากาญจนาภิเษก และมุ่งหน้าตามป้ายสระบุรี โดยตรงไปและเลี้ยวขวาเข้ามิตรภาพซึ่งจะตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านปากช่องและเบี่ยงซ้ายตามป้ายเข้าใหญ่ วนลงมาถนนธนะรัชต์ก็จะถึงจุดพักแรกคือร้านอาหาร Mather Say No โดยร้านอาหารจะอยู่ขวามือซึ่งเราจะได้พักรับประทานอาหารกลางวันกันที่นั้น ร้านอาหาร Mather Say No ถือว่าเป็นแลนมาร์คพิกัดใหม่เลยก็ว่าได้ อยู่กลางถนนธนะรัชต์ที่เป้นเส้นหลักของเขาใหญ่ ร้านนี้มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมสุดแปลกตาที่ดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี โดยอาหารที่นี่มีครบจบทั้งของคาวและของหวาน หากเราได้มาเองคราวหน้าคงได้แวะกันอีกรอบ
หลังจากจบมื้อเที่ยงจะเดินทางกันต่อโดยที่เราจะเดินทางกันในรูปแบบของขบวนซึ่งจะพาทุกท่านไปลองสัมผัสสมรรถนะของ SUZUKI XL7 ในรูปแบบของถนนที่มันวิบากขึ้น ลัดเลาะเข้าไปด้านหลังเพื่อที่จะมุ่งหน้ามาออกร้านกาแฟที่ชื่อว่า Campfire Café เขาใหญ่ ตรงนี้เราจะมีเวลาพักดื่มกาแฟและผ่อนคลาย ซึ่งที่นี่เหมาะมากกับการมาทำกิจกรรมด้วยธรรมชาติที่รายล้อมและให้ความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน เพราะ Campfire Café เป็นคาเฟ่ที่รีโนเวทจากบ้านหลังใหญ่เพื่อมาทำคาเฟ่ ซึ่งแน่นอนว่าอาหารที่หลากหลายครบทั้งคาวและหวาน ยิ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติได้รับพลังบวกเต็มอิ่มแน่นอนและยังสามารถตั้งแคมป์กับกลุ่มเพื่อนได้อีกด้วย มีพื้นที่สำหรับกางเต้นท์ มีพื้นที่สำหรับกิจกรรม นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องนำรถกลับกรุงเทพคงจะกางเต้นท์อยู่ต่อสัก 1 คืน เมื่อพักผ่อนแล้วจะตามด้วยกิจกรรม Q & A เพื่อให้เราได้สอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ ระหว่างที่ขับมาจาก กรุงเทพมาถึงเขาใหญ่ หลังจากจบกิจกรรมที่คาเฟ่แล้วเราจะวิ่งกลับกรุงเทพกันแบบ free run ในทางกลับเราได้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1016 ซึ่งในทางนี้เราจะได้ใช้ในเรื่องสมรรถนะของพวงมาลัย ความคล่องตัวบนทางโค้ง และทางแคบต่างๆ
ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ดูกันว่า SUZUKI XL7 จะมีสมรรถนะที่ตอบโจทย์เราหรือไม่ รวมไปถึงความคุ้มค่าและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่าง ๆ
การขับขี่และสมรรถนะของรถครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่ง
ช่วงการทดสอบเราได้ขับในเมืองถนนที่มีรถค่อนข้างหนาแน่ก่อนออกจากเมือง เมื่อเข้าสู่เส้นทางแถบชานเมืองได้ลองขับด้วยความเร็วสูง เจ้า XL-7 ก็สามารถพาเราทะยานในความเร็วได้พอสมควร อาจจะต้องรอรอบกันสักหน่อยแต่ก็ตามสไตล์ของรถครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่ง มีอาการโคลงตัวเล็กน้อย พวกมาลัยบังคับควบคุมได้ดีพอสมควรเป็นระบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS ด้วยความสูงของตัวรถเองก็อาจจะมีช่วงระยะฟรีของพวงมาลัยบ้างต้องกะระยะก่อนเปลี่ยนเลนช่องทางเดินรถให้ดี
หลังจากจุดกินอาหารกลางวัน เราได้มีโอกาสใช้เส้นทางที่เป็นถนนรุกรัง ทางฝุ่นและหลุมบ่อ ประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งทางซูซูกิเขาอยากให้เราได้ลองขับในเส้นทางแบบนี้เพื่อดูว่าเจ้า XL-7 คันนี้สามารถตอบโจทย์การเดินทางท่องเที่ยวที่มีทั้งทางเรียบ ทางขรุขระ หลุมบ่อ รวมถึงน้ำท่วมขังไปได้ถึงจุดหมายหรือไม่ ต้องขอบอกว่าระยะสูงจากใต้ท้องรถหรือกราวด์เคลียร์แรนซ์ของ XL-7 สูงถึง 200 มิลลิเมตรเลยทีเดียว แม้ XL7 จะสูงโย่งกว่า Ertiga แต่ประสิทธิภาพการทรงตัวไม่ได้ขี้เหร่นะ
สิ่งที่ต่างจาก Ertiga ก็คือ ใน XL7 นั้น จะมีโช๊คกับสปริงหน้าและหลังทั้งเซตที่ต่างกันอย่างชัดเจน ส่วนของโช๊คอัพมีความหนืดมากกว่า เช่นเดียวกับเหล็กกันโคลงหน้าที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นเพื่อช่วยลดอาการโคลงของตัวรถลงนั้นเอง ทำให้รู้สึกได้ว่าแน่นกว่า Ertiga อยู่นิดหน่อย
อันนี้ผมว่ามันตอบโจทย์อยู่นะสำหรับคนที่อยู่ในเมืองหรือต่างจังหวัด มองในเรื่องของการเดินทางที่เราต้องไปปทั้งในเมือง นอกเมือง เจอทางลูกรัง หลุมบ่อ น้ำท่วมขัง มันก็พาเราออกไปได้ ถ้ามองในเรื่องของความสะดวกสบายพื้นที่ใช้สอยภายในตัวรถก็กว้างนั่งสบาย ขึ้นลงสะดวก ส่วนตัวผมชอบท่านั่งใน XL7 หรือรถประเภท MPV มันเหมือนเรานั่งอยู่บนโซฟาขามันห้อยลงตอนเดินทางไกล ๆ มันไม่เมื่อยเพราะไม่ได้นั่งแบบรถเก๋งจะออกเป็นแนวราบอาการกดทับก็จะเยอะหน่อย ซึ่งดีกว่ากระบะ 4 ประตูตัวเตี้ยอยู่นะถ้ามองว่าทางเข้าออกบ้านเป็นหลุมบ่อแต่ความจริงไม่ค่อยได้บรรทุกสัมภาระอะไรมากมายแต่กลับได้พื้นที่ในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นมาไว้บรรทุกคนซึ่งนั่งได้ 4- 7 ที่นั่ง แถว 3 อาจเป็นลูกเล็กเด็กแดงก็พอ ผู้ใหญ่ 4 คน ส่วนของการพับเบาะนั่งแถวที่สองนั้นแยกปรับแบบ 60:40 สามารถเลื่อนหน้าถอยหลังได้ ปรับเอนได้เยอะกว่า Xpander และเบาะนั่งแถวสาม สามารถปรับแยกพับได้แบบ 50:50 มีพื้นที่เหนือศีรษะเหลือเยอะกว่า Xpander ถ้าขนสัมภาระแบบเดินทางด้านท้ายรถมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดถ้าหากปรับเบาะทุกตัวตั้งขึ้นใช้งาน ก็จะมีความจุแค่ 153 ลิตร
เครื่องยนต์ของ Suzuki XL7 นั้น ตัวเครื่องและ Hardware ยกมาจาก Ertiga เป็นเครื่องยนต์ เบนซิน รหัส K15B 4 สูบ 16 วาล์ว มาพร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT ที่ฝั่งไอดี ขนาดความจุเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร (1,462 ซีซี.) ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ทริปนี้ผมขับแบบธรรมดาบ้างกระทืบบ้างมีช่วงทางชูดความเร็วสูงนิดหน่อยอัตราสินเปลื้องเชื้อเพลิงอยู่ที่ 14.9 กิโลเมตร/ลิตร
ความสุนทรียภาพระหว่างทาง
ระหว่างการเดินทางนั้นนอกจากจะสนุกกับเพื่อนร่วมทริปและรถครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่งแล้ว เรายังสนุกไปกับการฟังเพลงบนรถอย่างสบายใจเพราะเราสามารถเชื่อม Bluetooth ทำให้เลือกเพลงโปรดได้ตามต้องการ เราก็ฟังลิสต์โปรดกันตลอดทางเลยทีเดียวหรือจะเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay หรือ Android Auto ก็ยังได้ บอกเลยว่าตอบโจทย์สุด ๆ และที่สำคัญเลยคือ Suzuki XL7 ได้มาพร้อมระบบปรับแต่งเสียงและประมวลผลในแบบดิจิทัล (Digital Sound Processor) ฟังสบายหูกันตลอดทริป ตอบโจทย์การใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นอย่างมากเพราะถ้าต้องรถติดในเมืองก็เปิดเพลงให้อารมณ์ดี แต่ถ้าต้องไปต่างจังหวัดก็เปิดเพลงเพลิน ๆ ให้มีความสุขตลอดทาง และแน่นอนอย่างที่เราได้บอกไปตลอดทริปนี้เราฟังเพลงโปรดกันตลอดทางเลย
สรุปความน่าใช้
ความน่าใช้งานของ Suzuki XL7 อยู่ตรงที่รถยนต์ประเภทนี้มันเหมาะกับบ้านเรา ถึงจะไม่ได้อยู่ต่างจังหวัด ในกรุงเทพเองทุกวันนี้ถนนก็ขุดรื้อกันสลับเดือน ฝนตกนิดหน่อยก็ท่วมขังและมันหนีน้ำขังได้อย่างสบายด้วยระยะของตัวรถห่างจากพื้นถึง 200 มม. ขังแบบกระบะเจอทางซ่อมไม่ต้องเบรกหนัก ตรงนี้แหละที่ชอบ นอกจากนี้ยังนั่งได้หลายคน ไม่อึดอัด มีออกทริปต่างจังหวัดบ้างขนของตั้งแคมป์เล็ก ๆ ได้ ถึงขนาดขนจักรยานได้ก็สุดยอดแล้ว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล็กทำให้กินน้ำมันน้อย ดูแลรักษาง่าย สมบุกสมบัน ส่วนเรื่องของหน้าตาเป็นญี่ปุนแบบไม่ว้าวดูกันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็ชินกันไปเอง