Land Rover เผยโฉม Evoque เจนเนอเรชั่นที่ 2 พร้อมแนะนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนใหม่เพื่อประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น
Evoque โฉมปัจจุบันขายมาอย่างยาวนานถึง 7 ปี และเป็นหนึ่งในคอมแพ็คเอสยูวีที่ขายดีที่สุดด้วยยอดขายรวมเกือบ 800,000 คันทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ของเดิมที่ว่าสมบูรณ์แบบอาจจะกลายเป็นสิ่งล้าหลังเมื่อมีคู่แข่งใหม่ๆ เกิดขึ้น ดังนั้นจึงถึงเวลาของ Evoque เจนเนอเรชั่นที่ 2 แล้ว
Evoque ใหม่มาพร้อมกับดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึง Velar ด้านหน้าดูเรียบร้อยสะอาดตากว่าเดิม เติมเต็มความทันสมัยด้วยไฟหน้า LED ดีไซน์เพรียวบางดูสวยงามลงตัว เส้นสายด้านข้างดูเรียบร้อยขึ้นรับกับซุ้มล้อขนาดใหญ่ช่วยเพิ่มมิติบึกบึนให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดี มือจับประตูเป็นแบบฝังลงไปที่ตัวถังเหมือนกับ Velar และเลื่อนออกมาเมื่อปลดล็อกรถ ขณะที่ไฟท้าย LED ใหม่ที่เป็นเส้นแนวนอนช่วยให้มิติตัวรถด้านท้ายดูกว้างและสปอร์ตขึ้น
Evoque ใหม่สร้างบนแพล็ตฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า Premium Transverse Architecture ตัวถังมีความแข็งแกร่งขึ้น 13% ทำให้ขับขี่ดีขึ้น นอกจากนี้ทาง Land Rover ยังตามใจลูกค้าหน้าเก่าที่มีความเห็นว่า Evoque รุ่นปัจจุบันค่อนข้างจะคับแคบไปหน่อย ดังนั้น Evoque ใหม่ จึงทำการขยายฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 20 มม. ในขณะที่ความยาวของตัวรถยังเท่าเดิมที่ 4.37 เมตร ทำให้พื้นที่ตอนหลังของรถมีมากขึ้น นั่งสบายขึ้น ทั้งยังออกแบบประตูหลังให้ใหญ่ขึ้นเพื่อช่วยให้เข้า-ออกรถได้ง่ายกว่าเดิม และยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นอีก 10% นับเป็นความยอดเยี่ยมของทีมวิศวกรที่ออกแบบพื้นที่ภายในได้อย่างชาญฉลาดโดยที่รถมีขนาดเท่าเดิม
ภายในของ Evoque ใหม่มาพร้อมกับความพรีเมี่ยมหรูหรายิ่งกว่าเดิม ห้องโดยสารดูโมเดิร์นขึ้นใกล้เคียงกับ Velar และใช้วัสดุคุณภาพสูงเป็นส่วนประกอบอาทิ ผ้า Kvadrat ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ซื้อที่ไม่ต้องการตกแต่งด้วยหนัง
หน้าจอสัมผัสกลางขนาดใหญ่ถูกปรับตำแหน่งให้มองได้ถนัดขึ้นขณะขับขี่ และจะปรับองศาหน้าจอให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติเมื่อสตาร์ทเครื่อง จอนี้แสดงผลระบบสาระบันเทิง ระบบนำทางด้วยดาวเทียม เครื่องเสียง โทรศัพท์ ขณะที่ใต้จอเป็นแผงควบคุมแบบสัมผัสสำหรับควบคุมเครื่องปรับอากาศรวมถึงโหมดขับขี่ของรถ
Evoque มาพร้อมเบาะคู่หน้าแบบ Bucket Seat หน้าปัดแบบเข็มดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยจอดิจิตอลที่ผู้ขับสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้หลายแบบ ด้านเทคโนโลยีภายในรถมีทั้ง Wi-Fi Hotspot รองรับการเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่น InControl ซึ่งผู้ขับสามารถดูสถานะต่างๆ ของรถ รวมถึงสั่งล็อกและปลดล็อกรถจากมือถือได้ รองรับ Apple CarPlay และ Android Autoนอกจากนี้ยังมีช่องเก็บของภายในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นอีกหลายจุด
ขุมพลังของ Evoque ใหม่ ใช้เครื่องยนต์ Ingenium 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ เป็นพื้นฐาน ฝั่งเบนซินมีให้เลือก 197, 246 และ 296 แรงม้า ฝั่งดีเซลให้เลือก 148, 178 และ 237 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อเกือบทุกรุ่นย่อย ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดของ ZF มาเป็นมาตรฐาน สมรรถนะรุ่นเริ่มต้น เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 9.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 201 กม./ชม. ส่วนรุ่นท็อปสุดเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 241 กม./ชม.
Evoque รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อทุกคันจะมาพร้อมเทคโนโลยี Mild Hybrid ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Land Rover ใช้เทคโนโลยีนี้ในรถยนต์ของตัวเอง โดยในเครื่องยนต์จะมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสายพานคอยเก็บพลังงานใส่แบตเตอรี่เมื่อรถเบรก แล้วจะปล่อยพลังงานมาเสริมกำลังของเครื่องยนต์เมื่อสตาร์ทหรือเร่งเครื่อง ระบบนี้ช่วยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 6% กล่าวคือ Evoque รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อทุกคันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 149 กรัม/กม. และมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.8 กม./ลิตร ตามมาตรฐานของ WLTP
Evoque ใหม่มีการอัพเกรดช่วงล่างอย่างน่าสนใจ ชุดกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอสัน สตรัท ที่เสริมด้วย Hydrobush เพื่อการซับแรงสะเทือนที่ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะที่กันสะเทือนหลังยกชุดอินทริกรัล ลิงก์ ของ Velar มาทั้งเซ็ต Evoque ใหม่เกือบทุกรุ่นย่อยมาพร้อมโช๊คอัพแปรผันที่มีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับจับและปรับเปลี่ยนการรองรับแรงสะเทือนไปตามสภาพถนน
นอกจากนี้ Evoque รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อทุกคันยังมาพร้อมระบบ Terrain Response 2 ที่ถูกปรับปรุงเสถียรภาพการทรงตัวละการยึดเกาะพื้นผิวให้ดีขึ้น มีฟังก์ชั่น Driveline Disconnect เพื่อช่วยลดอาการล้อหมุนฟรี และยังลุยน้ำได้ลึกกว่าเดิมที่ 600 มม.
ในอนาคต Evoque เวอร์ชั่นปลั๊กอินไฮบริดจะตามออกมาเสริมทัพอย่างแน่นอน ส่วนจะมีบอดี้แบบอื่นหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่ สำหรับราคาค่าตัวของ Evoque ใหม่ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาในตอนนี้
Gallery