All-New Land Rover Defender ออฟโรดพันธุ์แกร่ง กลับมาสานต่อตำนานอย่างยิ่งใหญ่

               Land Rover Defender กลับมาทำตลาดอีกคำรบ กับภาพลักษณ์ใหม่ที่แข็งแกร่งผสมความทันสมัย แต่ยังแฝงกลิ่นอายความคลาสสิกจากบรรพบุรุษไว้อย่างครบถ้วน พร้อมกับอัพเกรดให้หรูหราพรีเมี่ยมยิ่งขึ้น

                ไอคอนแห่งวงการออฟโรดคันใหม่ส่งต่อภาพคามสมบุกสมบันจากรุ่นสู่รุ่น ภายใต้ตัวถังภายนอกสุดทันสมัย แชสซีของ Defender ใหม่ได้รบการออกแบบให้แข็งแกร่งและรองรับการลุยบนเส้นทางทุกรูปแบบ ระบบกันสะเทือนถูกเสริมความแข็งแกร่ง มีระยะยุบตัวและระยะต่ำสุดถึงพื้นมากขึ้น

                Defender ใหม่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบถาวร ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และระบบ Terrain Response ที่ช่วยให้ผู้ขับปรับเพิ่มประสิทธิภาพของรถให้เหมาะสมกับการลุยในพื้นผิวที่แตกต่างกัน รวมถึงเทคโนโลยีใหม่อย่าง ClearSight Ground View ที่จะแสดงภาพบริเวณหน้ารถจนถึงล้อหน้ามาที่จอภาพบนแดชบอร์ด

                Defender ใหม่มีทั้งตัวถังแบบ 3 ประตู และ 5 ประตู เรียกชื่อว่า 90 และ 110 ตามลำดับ องค์ประกอบหลายส่วนสะท้อนภาพของ Defender รุ่นคลาสสิกขึ้นมาให้เห็น อาทิ ระยะโอเวอร์แฮงหน้า-หลังที่สั้นมากๆ ซุ้มล้อทรงสี่เหลี่ยม และกระจก Alpine บนหลังคา รายละเอียดดังกล่าวผสมผสานกับรูปลักษณ์ที่ทันสมัยของรถยนต์ยุคใหม่ อาทิ ไฟหน้าและไฟท้าย LED ตลอดจนแถบสี่เหลี่ยมสีเดียวกับตัวรถที่กระจกข้างบานหลังสุด (เป็นออปชั่นเสริมในรุ่น 90 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น 110)

                Defender มี 4 แพ็คเกจให้เลือก ประกอบด้วย Country ให้อารมณ์คลาสสิกแบบรถ Defender รุ่นเก่า, Urban ดีไซน์คนเมืองกับล้อขนาด 22 นิ้ว, Adventure ออกแนวสมบุกสมบันด้วยแผ่นกันดินรอบคันและกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับใส่อุปกรณ์ข้างรถ และสุดท้าย Explorer ให้คุณสำรวจโลกกว้างด้วยบันได แร็คหลังคา และลวดลายบนฝากระโปรงหน้าแบบด้าน

                นอกจากนี้ Defender ใหม่ยังมีออปชั่นการตกแต่งส่วนบุคคลอีกหลายอย่าง อาทิ ชุดรอกสลิงไฟฟ้า ล้อเหล็กที่สามารถเลือกแต่งสีได้ตามต้องการ เต้นท์บนหลังคารถ รวมถึงสติ๊กเกอร์เคลือบสีตัวรถแบบด้านเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนขณะลุยบนทางออฟโร๊ดและเพิ่มภาพลักษณ์ความดุดัน

                ภายในของ Defender ใหม่ออกแบบให้ดูแข็งแกร่งได้อารมณ์ออฟโรดสายลุย ตกแต่งด้วยชิ้นส่วนที่เป็นโลหะ แต่ภาพรวมดูมินิมอลกว่า Land Rover รุ่นอื่นๆ แผงควบคุมรวมถึงปุ่มปรับต่างๆ เข้าถึงได้ง่าย โดดเด่นด้วยจอสัมผัสขนาด 10.0 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto นอกจากนี้ยังมีจอหน้าปัดดิจิตอลที่แสดงข้อมูลการขับขี่ครบถ้วน มีช่อง USB ที่เบาะหน้า เบาะหลังมีช่องเก็บแท็บเล็ตที่สามมารถชาร์จไฟได้ในตัว

                คุณสมบัติที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือคันเกียร์ที่ย้ายมาไว้บริเวณด้านล่างของแดชบอร์ดหน้า ทำให้มีพื้นที่ระหว่างเบาะคู่หน้าเพิ่มขึ้น Defender รุ่น 90 สามารถรองรับได้สูงสุด 6 ที่นั่งโดยการเพิ่มออปชั่นเบาะเสริมที่กึ่งกลางระหว่างเบาะคู่หน้า รุ่น 110 ก็เพิ่มได้เช่นกันและยังสามารถเพิ่มออปชั่นเบาะแถวสามได้อีกด้วยการดึงขึ้นมาจากพื้นห้องเก็บสัมภาระ ทำให้มันรองรับได้สูงสุด 7 ที่นั่ง

                Defender ยังมาพร้อมกับล้ออะไหล่ที่ประตูท้ายซึ่งเอสยูวีสมัยใหม่ในปัจจุบันมักมองข้ามจุดนี้ไป (เป็นออปชั่นเสริม) แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ของมันทำให้การเปิดประตูท้ายในพื้นที่แคบๆ อาจทำได้ไม่สะดวกนัก

                ขุมพลังของ Defender ใหม่มีทั้งเครื่องเบนซิน 4 สูบ 296 แรงม้า รหัส P300 เบนซิน 6 สูบ 396 แรงม้า รหัส P400 ฝั่งดีเซลมีสองตัวเลือกคือเครื่อง 4 สูบ 197 แรงม้า รหัส D200 และเครื่อง 4 สูบ 237 แรงม้า รหัส D240 เครื่องดีเซลทั้งสองรุ่นนี้มีตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 13.1 กม./ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 199 กรัม/กม. Defender ใหม่ทุกรุ่นมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เป็นมาตรฐาน

                Land Rover Defender รุ่น 5 ประตู 110 จะวางขายก่อน ราคาเริ่มต้นที่ 45,240 ปอนด์ (ราว 2.26 ล้านบาท) รุ่น 3 ประตู 90 จะตามมาหลังจากนั้นไม่นาน ราคาเริ่มต้นราว 40,000 ปอนด์ (2 ล้านบาท) สำหรับเวอร์ชั่นปลั๊กอินไฮบริดจะตามมาสมทบในปีหน้า และรุ่นใหญ่สุด 130 ที่กำลังพัฒนาอยู่จะตามออกมาในปี 2022

Gallery

Exit mobile version