‘จุดเปลี่ยน’ คำนี้ช่างทรงพลังเหลือหลาย โดยเฉพาะกับค่ายรถยนต์ขนาดยักษ์จากญี่ปุ่นที่มีผู้กุมบังเหียนอย่าง คุณโมะริคาซุ ชกคิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เพราะเขาผู้นี้แหละคือคนที่มาเปลี่ยนภาพเดิมๆ ที่เคยมีให้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง
คุณชกคิ เล่าว่า “ความต้องการของตลาดรถยนต์ติดลบต่อเนื่องกันมา 30 เดือน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาดรถยนต์ แต่เชื่อว่าแม้ตลาดจะไม่กระเตื้องขึ้นก็คงจะไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว และคาดว่าตอนนี้อาจเป็นจุดต่ำสุดของตลาด”
ขณะที่รถยนต์รุ่นมาพลิกตลาดให้มิตซูบิชิผงาดขึ้นอีกครั้ง คือ “ปาเจโร สปอร์ต ใหม่” ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คุณชกคิ อธิบายได้อย่างน่าสนใจว่า “เราเริ่มส่งมอบ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ ในเดือนตุลาคมปี 2558 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากและมียอดจองสูงถึง 15,000 คันในระยะเวลาเพียง 3 เดือนแรก (สิงหาคม-ตุลาคม) ทำให้บริษัทฯ มียอดขายปลีกกลับขึ้นเป็นบวกอีกครั้งในรอบ 31 เดือน (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) และเราตั้งเป้าจะส่งมอบ ปาเจโร สปอร์ตใหม่ ให้ถึง 20,000 คันภายในปีงบประมาณ 2558 (สิ้นสุด 31มีนาคม 2559)”
ต่อคำถามที่ว่ายอดขายรวมของปาเจโร สปอร์ตใหม่ แต่ละรุ่นมีสัดส่วนที่เท่าไหร่ “ในตลาดรถ PPV ทั่วไป รุ่น 2WD จะได้รับความนิยมกว่ามากรุ่น 4WD แต่สำหรับปาเจโร สปอร์ตใหม่ ยอดขายของทั้งสองกลุ่มใกล้เคียงกัน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเราได้รวมเอาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ มาไว้ในรุ่น 4WD เช่น ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM – Forward Collision Mitigation System) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW – Blind Spot Warning) และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (UMS-Ultrasonic Misacceleration Mitigation System) และระบบกล้องมองภาพรอบคัน (Multi-around Monitor) โดยเทคโนโลยีเหล่านี้สร้างความคุ้มค่า และทำให้ลูกค้าของเราตัดสินใจซื้อปาเจโร สปอร์ต ใหม่รุ่น 4WD ได้ง่ายขึ้น”
หลังจากฟังเรื่องการตลาดไปเยอะแล้วเปลี่ยนมาคุยเรื่องภาพลักษณ์กันบ้าง โดยคุณชกคิ อธิบายถึงจุดแข็ง-จุดปรับปรุง ของแบรนด์ให้เราฟังว่า “จุดแข็งคือ เรามีสินค้าที่คุณภาพดี รถของเรามีสมรรถนะโดดเด่นด้านระบบกันสะเทือน ความมั่นคงในการควบคุมห้องโดยสาร และความรู้สึกสบายในการนั่งโดยสาร นั่นรวมถึงความคุ้มค่าด้วยราคาซึ่งเป็นเจ้าของได้ ตลอดจนเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย เหล่านี้คือจุดแข็งของแบรนด์ มิตซูบิชิ ที่แฟนพันธุ์แท้ของมิตซูบิชิ รู้จักดี ส่วนด้านที่ควรปรับปรุง ผมคิดว่าเรามีความสามารถที่จะพัฒนาการบริการ ทั้งบริการเพื่อการขาย หลังการขาย และการดูแลลูกค้าให้ดีกว่านี้ได้ ตั้งแต่ผมมารับตำแหน่งเมื่อต้นปี 2558 ก็ได้ตั้งเป้าเรื่องพัฒนาคุณภาพของเครือข่ายผู้จำหน่ายรวมถึงการบริการมาโดยตลอด เพราะเมื่อเรามีรถที่ดีแล้ว เราก็ควรต้องยกระดับคุณภาพของการบริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า”
เราปิดท้ายด้วยคำถามเรื่องอนาคตของมิตซูบิชิในประเทศไทยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด “เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ดี ประเทศไทยคงจะฟื้นตัวได้ลำบากเพียงลำพัง ตอนนี้ทีมงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้เร่งทำงานกันอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และหากมีนโยบายของรัฐที่ช่วยเหลือภาคเกษตรกร และ SME ก็จะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อรถยนต์ ได้มากขึ้น สำหรับระยะยาวผมคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตแบบมีเสถียรภาพ และตลาดรถยนต์ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะให้ความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะไทยถือเป็น Home Country ที่สอง ซึ่งเป็นฐานการส่งออกหลักและฐานการผลิตที่แหลมฉบังอีกทั้งยังมีกำลังการผลิตสูงสุด นอกจากนี้มีรถยนต์ 4 รุ่นที่ได้รับการผลิตที่ประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก และยังส่งออกรถยนต์ไปยัง 150 ประเทศทั่วโลกด้วย ได้แก่ไทรทัน ปาเจโร สปอร์ต มิราจ และแอททราจ ผมขอยืนยันว่า สำหรับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส แล้ว ประเทศไทยมีบทบาทที่สำคัญยิ่ง ในฐานะฐานการผลิตและส่งออกหลักของเราครับ”