Overview Of Car
New Mercedes-Benz C 220d AMG Dynamic (W206) การตกแต่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ชัดเจนของ AMG Line ทำให้ภายนอกของตัวรถมอบความรู้สึกสปอร์ตที่ไม่เหมือนใครใน C-Class AMG Line สื่อถึงการออกแบบที่ทรงพลังอย่างชัดเจน คุณสมบัติทางเทคนิคยังช่วยให้คุณขับสนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ตปราดเปรียวพร้อมระบบบังคับเลี้ยวโดยตรง
New Mercedes-Benz C 220d AMG Dynamic ปรับเปลี่ยนภายนอกที่ได้เพิ่มเติมความเป็นผู้ใหญ่เข้ามาและภายในให้ดูกว้างขวางโอ่อ่ามากขึ้น รวมไปถึงชวงล่างแบบ Sports suspension
New Mercedes-Benz C 220d AMG Dynamic มาพร้อมชุดแต่ง AMG Dynamic ที่มากับรูปแบบเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว และอีกสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างรุ่นธรรมดากับ AMG Dynamic ก็คือระบบช่วงล่างที่มีความเป็นสปร์ตมากยิ่งขึ้น ขับสนุกมากยิ่งขึ้น และฟังก์ชั่นการใช้งานที่มีมากกว่ารุ่นธรรมดานั้นคือรุ่น AVANTGARDE ซึ่งมีราคาอยู่ 2,590,000 บาท และรุ่นที่เรานำมารีวิวกันในวันนี้คือรุ่น AMG Packet โดยราคาอยู่ที่ 2,990,000 บาท ทั้งสองรุ่นราคาจะห่างกันอยู่ที่ 400,000 บาท ในเรื่องของการขับขี่จะสนุกหรือว่าจะให้ความสบายกว่ารุ่นหน้านี้อย่างไรเดี่ยวเราจะมารีวิวกัน
ส่วนมิติตัวถังที่มีความแต่งต่างกันอย่างชัดเจน แน่นว่าภายนอกนั้นใหญ่กว่าทั้งหมดรวมไปถึงภายในแต่ห่างกันเพียงนิดเดียวไม่ได้ใหญ่กว่ากันขนาดนั้น จะมีในเรื่องของการออกแบบและตกแต่งที่เป็นทั้งภายนอกและภายในที่ให้ในเรื่องของความสปอร์ตและหรูหรามากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้
คู่แข่งของรุ่นนี้คือ BMW 320d ซึ่งมีค่าตัวของอยู่ที่ 2,549,000 บาท ห่างกันถึง 444,100 บาท เลยทีเดียว เราจะมาดูกันว่าความสบายและคุ้มค่า C 220d AMG จะดีกว่าคู่แข่งหรือไม่
Mercedes-Benz C-Class รหัสตัวถัง W206 ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาเป็นเจเนอเรชันที่ 6 แล้ว โดยระยะแรกมีให้เลือกเฉพาะรุ่น C 220 d ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ Mild-hybrid แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ซึ่งตามตัวเลขก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน ในรุ่นนี้พ่วงระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V EQ Boost พละกำลัง 20 แรงม้า 200 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ขับเคลื่อนล้อหลัง สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 245 กม./ชม.
เมื่อเปรียบเทียบกับ w205 รุ่นก่อนหน้า พบว่าเครื่องยนต์มีแรงม้าเพิ่มขึ้น 10 แรงม้า และแรงบิดเพิ่มขึ้น 40 นิวตันเมตร ทั้งนี้ด้วยน้ำหนักตัวรถที่มากกว่าทำให้อัตราเร่งของ w206 ที่ถูกเคลมไว้โดย Mercedes-Benz ช้าลงกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย
นอกจากนี้มีช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ Four-Link Axle และช่วงล่างหลังแบบอิสระ Multi-Link Axle อีกทั้ง AMG Dynamic จะเป็นช่วงล่างที่เรียกว่า sport suspension ซึ่งช่วงล่างแบบนี้จะเน้นความเฟิร์มเป็นหลักทำให้ขับสนุกได้มากยิ่งขึ้น มีระบบปรับความหนืดของโช๊คอัพ Agility Control ในรุ่นนี้เป็นเพียงเบนซินเท่านั้นยังไม่เป็นปลั๊กอินไฮบริด หากใครที่รอปลั๊กอินไฮบริดต้องรอปลายปีนี้
มาเริ่มกันที่ภายนอก เราจะเห็นได้ว่า AMG Dynamic จะมีรูปร่างที่โค้งมน ดูเรียบง่ายแต่ผสมผสานความหรูหราและความสปอร์ตเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ ในรุ่นนี้มีการตกแต่งที่เรียกว่า AMG Body styling ซึ่งเป็นการแต่งแบบรอบคันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยชุดแต่งจะเน้นโครเมียมเป็นหลักเพื่อทำให้ดูหรูหรา ซึ่งกระจังแบบ Mercedes -Benz pattern ซึ่งในบริเวณกระจังหน้ามีการออกแบบใหม่เป็น star pattern grill ที่จะเป็นโลโก้ Mercedes-Benz เล็กๆหลายอันต่อกันทำให้รถดูหรูหราอีกทั้งมาพร้อมตราสัญลักษณ์ดาวของเมอร์เซเดส -เบนซ์ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ซึ่งการออกแบบแบบนี้ทำให้ลดอายุของกลุ่มลูกค้าได้พอสมควร บริเวณด้านหน้ามากับเซ็นเซอร์อีก 6 จุด แต่ไม่มีกล้องหน้ามาให้และมีระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟมาให้ อีกทั้งไฟหน้าแบบ High Performance LED พร้อมระบบปรับไฟสูงและไฟหน้าอัตโนมัติ แต่ยังไม่มี Aaptive LED มาพร้อมไฟ Day time running แบบใหม่ที่คล้ายกับตัว A-Class หรือ CLS ฝากระโปรงด้านหน้าเป็นแบบ power dome ซึ่งเป็นสไตล์ใหม่ของ Mercedes -Benz ยุคใหม่ซึ่งจะเพิ่มมิติให้กับตัวรถมากยิ่งขึ้น
ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ multi- spoke ขนาด 19 นิ้ว มีลักษณะเป็นซี่ๆ แต่ทางเราชอบแบบเก่าที่เป็น 5 ก้านมากกว่าเพราะดูทำความสะอาดง่ายกว่าและดูสปอร์ตมากกว่านี้ โดยยางหน้าเป็นยาง Radial แบบมีชั้นโฟมตัดเสียงช่วยลดเสียงรบกวนที่จะเข้าไปในตัวรถได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีขนาดยางหน้า 225/45 R 19 เบรกจะเป็นคาลิปเปอร์สีเทาที่มีโลโก้ Mercedes -Benz ติดมาด้วย จานเบรกคู่หน้าขนาดใหญ่พร้อมรู้ระบายความร้อน
ถัดมาด้านข้างเราจะเห็นว่ารถไม่ได้สูงมากเพราะเน้นความเป็นสปอร์ต ความเป็นครอบครัว ในส่วนของกระจกข้างเป็นสีเดียวกับตัวรถโดยจะมีไฟเลี้ยว LED อยู่ที่ด้านข้าง อีกทั้งสามารถปรับระดับและพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าและรวมไปถึงยังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติได้ในฝั่งขวามือ อีกทั้งมีไฟ welcome light ใต้กระกระจกมองข้างเป็นรูปตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ต่อไปเป็นมือจับเปิดประตูซึ่งเป็นโครเมียม รวมไปถึงเส้นสายขอบประตูด้วย ซึ่งในรุ่นนี้จะเน้นโครมเมียมเป็นหลักเพื่อให้ดูพรีเมียมมากขึ้น ถัดมาเราก็จะเห็นการโค้งลงของหลังคามันทำให้ดูเพรียวและสวยงาม ซึ่งเราขอบอกเลยว่าหลังคาที่ให้มาใหญ่พอสมควรเลย ถือว่าดีกว่าตัว BMW 320d เพราะ 320d ไม่มีหลังคาพาโนรามิคมาให้
มือจับประตูมานพ้อมกับกุญแจรถแบบใหม่ที่มีระบบ keyless go มาให้แล้ว สามรถใช้ได้ทั้ง 4 ประตู ซึ่งทำให้การล็อกหรือปลดล็อกสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ หากต้องการล็อกรถให้สัมผัสบริเวณที่เปิดประตูรถตรงส่วนไหนก็ได้ ซึ่งจะมีไฟกะพริบ 3 ครั้ง ถือว่าปิดสนิทแต่ถ้าต้องการปลดล็อกให้สอดมือเข้าไปแล้วรอสักครู่แต่ในกรณีที่ปิดประตูไม่สนิทจะใช้ keyless ที่บานนั้นไม่ได้ แต่ที่บานอื่นจะสามารถใช้ได้แต่จะไม่มีไฟกะพริบ 3 ครั้ง แสดงให้เห็น ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าปิดสนิทหรือไหมจากไฟที่กะพริบ 3 ครั้ง
เรามาดูล้อกันอีกครั้งเพราะล้อหลังซีรี่ส์ยางจะต่างจากด้านหน้า ลายยังคงเป็นลายเดียวกันแต่ขนาดจะอยู่ที่ 255/35 R19 ก็จะต่างกันเล็กน้อย โดยยางหลังเป็นยาง Radial แบบมีชั้นโฟมตัดเสียงเช่นกัน ที่ซีรี่ส์ยางกันเพราะว่าเป็นเรื่องของสมรรถนะของรถที่ต้องการให้รถมีการขับขี่ให้ดีมากขึ้น
ถัดมาที่ด้านหลังกันบ้างซึ่งก็จะมีความคล้าย S-Class อยู่บ้าง โดยด้านหลังมีไฟเบรกดวงที่ 3 ซึ่งซ้อนอยู่ในกระจกด้านหลังจะเป็นลักษณะแนวยาวทำให้ต่างจากรุ่น W205 มีโลโก้รุ่นเป็นโครเมียม C220d และโลโก้ Mercedes -Benz แต่ไม่มีเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าเป็น AMG ในส่วนไฟท้ายที่ดีไซน์เหมือน S-Class เป็นไฟท้ายแบบ Full LED โดยจะแยกเป็น 2 ส่วน เหมือน W205 ส่วนหนึ่งอยู่ที่ตัวรถอีกส่วนอยู่ที่ฝากระโปรงรถ ซึ่งจะทำงานต่อเนื่องกัน จะมีไฟถอยหลังให้อีกฝั่งหนึ่งและและไฟตัดหมอกให้อีกฝั่งหนึ่ง ในรุ่นนี้ไม่มีกล้องหน้าแต่มีกล้องหลังมาให้แทน ด้านท้ายก็เป็นชุดแต่ง AMG Body styling เหมือนกันซึ่งที่มาพร้อมกันชนและ Diffuser อีกทั้งยังมีท่อคู่ซ้ายขวาทำให้ดูเท่และมีความเป็นสปอร์ตโดยท่อจะเป็นลักษณะแบนๆก็ดูทันสมัยขึ้น นอกจากนี้ยังมีเส้นโครเมียมที่ลากยาวตามความกว้างของท้ยรถซึ่งจะไปตัดพอดีกับปอกท่อ
ประตูท้ายรถเป็นระบบไฟฟ้าซึ่งจะกดเปิดที่ปุ่มท้ายรถหรือที่กุญแจก็ได้ และสามารถใช้เท้าในการเปิด-ปิดประตูรถได้เพราะมีระบบ handfree Access เพียงแค่พกกุญแจรถอยู่ก็สามารถเปิดรถได้โดยไม่ต้องใช้มือ ซึ่งท้ายรถมีขนาด 455 ลิตร สามารถเก็บของได้เยอะถ้าต้องการเก็บมากขึ้นก็สามารถพับเบาะได้แบบ 60/40 โดยจะมีฟังก์ชั่นพับเบาะหลังราบซึ่งจะเป็นปุ่มแบบใหม่แล้วโดยมีทั้ง 2 ฝั่ง สำหรับอุปกรณ์ให้มาจะมีหัวลากอยู่ด้านใต้และยังมีอุปกรณ์ปะยางแบบฉุกเฉิน TIREFIT ติดมาให้อีกด้วย
ในรุ่น Avantgarde จะมาพร้อมแพ็คเกจ Avantgarde ซึ่งเห็นความแตกต่างได้ชัด โดยกระหน้าจะเป็นซี่ๆ ตัดด้วยสีดำธรรมดาและมีเส้นโครเมียมที่ด้านนอกพร้อมโลโก้ Mercedes -Benz ขนาดใหญ่ที่ตรงกลาง ซึ่งก็จะดูธรรมดาต่างจากรุ่น AMG แต่ทั้งนี้ก็ยังดูลงตัว สมส่วน แต่ในความคิดของเรารู้สึกว่า AMG สวยกว่า และส่วนที่ต่างกันก็คือสเกิร์ตเพราะ AMG จะเป็นเส้นโครเมียมยาวตามความกว้างหน้ารถ แต่ Avantgarde จะสั้นก่า อีกทั้งกันชนหน้ายังยังต่างกัน นอกนั้นระบบไฟต่างๆหรือรูปลักษณ์ข้างนอกหมือนกันหมด
ถัดมาที่ล้อแม็กก็ต่างกันซึ่ง Avantgarde ใช้แม็ก 18 นิ้ว ลายของแม็กยังคงเป็นซี่ๆ เหมือนกันแต่สวยสู้ AMG ไม่ได้ ขนาดล้อและยางหน้าอยู่ที่ 225/45 R18 และยางหลังอยู่ที่ 245/45 R18 ในส่วนของหลังคาก็ไม่ใช่พาโนรามิกซันรูฟเป็นหลังคาธรรมดาเท่านั้น และพวกขอบคิ้วประตูเป็นโครเมียมก็จะเหมือนกับใน AMG
ด้านท้ายก็เหมือนกันหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไเบรกดวงที่ 3 หรือดีไซน์ของไฟท้าย มีโลโก้บ่งบอกรุ่นที่เป็นโครเมียม แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือกันชนด้านท้ายที่มีการดีไซน์แตกต่างกัน อีกจุดหนึ่งก็คือกันชนล่างไม่มี Diffuser และท่อจะเป้นสแตนเลสรูปวงรีซึ่งไม่เหมือนกันกับ AMG ที่เป็นลักษณะสี่เหลี่ยม
สเปคเครื่องยนต์
Mercedes-Benz C220d AMG Dynamic | Mercedes-Benz C220d Avantgarde | |
Body Style | Sedan | Sedan |
Description | รถเก๋ง 4 ประตู | รถเก๋ง 4 ประตู |
Engine | ดีเซล แถวเรียง/ 4 สูบ / 4 วาล์วต่อสูบ Turbocharged Intercooler ขนาด 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี | ดีเซล แถวเรียง/ 4 สูบ / 4 วาล์วต่อสูบ Turbocharged Intercooler ขนาด 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี |
Fuel Consumption | 17.33 กม./ลิตร | 16.83 ก.ม./ลิตร |
Fuel Type | ดีเซล | ดีเซล |
Make | Mercedes-Benz C220d 2022 | Mercedes-Benz C220d 2022 |
Max Power | 200 แรงม้า | 200 แรงม้า |
Max Torque | 440 นิวตัน-เมตร | 440 นิวตัน |
Model | Mercedes-Benz C220d 2022 AMG Dynamic | Mercedes-Benz C220d 2022 Avantgarde |
Price Guide | 2,990,000 บาท | 2,590,000 บาท |
Release Date | 2 สิงหาคม 2565 | 2 สิงหาคม 2565 |
0-100 km/h | 6.9 วินาที | 6.9 วินาที |
Transmission | เกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC | เกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC |
การขับขี่
เมื่อเราได้เข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้ขับขี่และได้ลองขับซักระยะหนึ่งทำให้เห็นว่าบริเวณเสาเอไม่ได้บางสายตามากจนเกินไปตัวกระจกมองข้างก็สามารถมองได้ชัดเจน ในตำแหน่งที่นั่งเราปรับตามสรีระของเราและพวงมาลัยก็กระชับมือ ถือว่าลงตัวนั่งสบาย
เมื่อสักครู่เราได้ลองขับในเมืองโดยใช้โหมดอีโค ในรุ่นนี้มีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาทำหน้าที่ช่วยในการออกตัวรถและสตาร์ทรถ เมื่อเรากดสตาร์ทรถจะเงียบเครื่องยนต์จะไม่ทำงานเพราะว่ามอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานก่อน ในจังหวะออกตัวที่เราค่อยๆเหยียบคันเร่งมอเตอร์ก็จะช่วยออกตัวให้แล้วขับไปสักพักเครื่องยนต์ถึงจะเริ่มทำงาน มอเตอร์ไฟฟ้าตัวนี้มีกำลังเพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์ 20 แรงม้า และ 200 นิวตันเมตร เลยทีเดียว
ในโหมดอีโคคันเร่งก็ตอบสนองค่อนข้างไวพอสมควรแต่ตามสไตล์รถยนต์ดีเซลที่เมื่อออกตัวในช่วงเหยียบคันเร่งออกตัวต้องลงน้ำหนักเท้าที่คันเร่งเยอะหน่อยและต้องรอการออกตัวสักนิด มันจะไม่พุ่งยังอืดๆ หนักๆ หากใครเคยขับรุ่นก่อนคือ W205 ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลก็จะทราบกันดี แต่ในรุ่นนี้มีมอเตอร์ไฟฟ้ามาให้ทำให้รู้สึกเนียนขึ้นเวลาที่ออกตัว
ต่อไปเป็นโหมด Comfort ในช่วงความเร็วสูง ๆ ที่ 80-120 กม./ชม. เมื่อเหยียบแล้วรอบถือว่ามาเร็ว ทำให้หลังติดเบาะด้วยเพราะมันมากับ 440 นิวตันเมตร และมีมอเตอร์ไฟฟ้า EQ Boost เข้ามาช่วยแต่ก็ต้องรอรอบอยู่ซักเล็กน้อย ช่วงล่างธรรมดาปกติ ส่วนพวงมาลัยก็ให้ความรู้สึกเบามือขับง่ายเหมือนโหมดอีโคซึ่งเหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่ใช้รถเองหรือผู้ชายก็ถือว่าดีเลย หากใช้งานในเมืองน่าจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์แต่ถ้าขับในความเร็วสูงอาจไม่ดีเท่าไหร่เพราะพวงมาลัยจะไม่นิ่งอาจทำให้หน้ารถส่ายไปมาได้ในโหมด Comfort นี่ก็สามารถขับได้เรื่อยๆ สบายๆ ไม่เครียด
เราจะไปลองโหมด Sport กันต่อซึ่งในรุ่น AMG Dynamic มีดีที่โหมดสปอร์ต สัมผัสแรกเลยคือรอบเครื่องมาและเสียงก็มาในทันทีทำให้รู้สึกถึงอารมณ์สปอร์ต คันเร่งจะไวขึ้น พวงมาลัยมีความตึงมือมากขึ้น มีช่วงฟรีให้แต่ก็ไม่ได้เบาจนเกินไป ถ้าใครที่ชอบขับมันๆ สนุกๆ โหมดนี้ต้องห้ามพลาด เมื่อขับในโหมดนี้รู้สึกมั่นใจในความเร็วสูงๆ หรือช่วงจังหวะเร่งแซงรอบก็จะมาไวกว่าปกติ ซึ่งช่วงแซงระยะสั้นๆ ที่ 120 กม. ขึ้นไปมาได้ไวพอสมควร ในความเร็ว 0-100 กม.ได้ถูกเคลมไว้ที่ 7.3 วินาที
และโหมดสดท้ายคือโหมด Individual ที่เราสามารถปรับเซตได้ตามเฉพาะบุคคลไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยและอัตราเร่ง ส่วนเสียงจากภายนอกในรุ่นใหม่นี้ดีกว่ารุ่นก่อนแต่มันก็ไม่เยอะมาก เพราะก็ยังได้ยินเสียงรถเข้ามาบ้าง เสียงลมมีเข้ามาบ้างเพราะในช่วงที่ขับ 110 – 120 ก็ได้ยินแต่น้อยกว่ารุ่นก่อนแน่นอนในส่วนของยางบดถนนเงียบขึ้นเพราะเป็นยางเรเดียลแบบมีโฟมซับเสียงทั้งสี่ล้อเลยทำให้เสียงบนถนนมันนุ่มและเงียบขึ้น
เกียร์เป็นเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ทำให้สมูทมากและมี Paddle Shift มาให้ เมื่อลองปลี่ยนไปใช้ Paddle Shift ก็สามารถตอบสนองได้เป็นอย่างดีและใช้งานได้ง่าย ระบบเบรกคันนี้เป็นดิสก์เบรกสี่ล้อขนาดใหญ่ เพราะว่าเป็น AMG line ซึ่งจะให้ความมั่นใจ ค่อนข้างนุ่มนวล เบรกไมไ่ด้ตื้นมากและไม่ได้แข็งจนเกินไปเพราะรถรุ่นนี้ออกแบบมาให้มีความเป็นรถครอบครัวอาจจะไม่ได้เบรกติดเท้าเหมือนรถสายซิ่ง
เรารู้สึกว่าพวงมาลัยปรับเป็นโหมดสปอร์ตไว้ดีที่สุดเพราะมันจะให้ความตึงทอ เรื่องความหน่วงและวงเลี้ยงของพวงมาลัยก็จะพอดี อีกทั้งช่วงล่างเองก็ไม่ได้แข็งจนเกินไปด้วย ซึ่งใครที่คาดหวังว่าในรุ่นนี้จะมาแบบหนักๆ ก็คงต้องมองผ่าน แต่หากชอบกลางๆ ขับได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยและกระโชกโฮกฮากมากก็เป็นรุ่นนี้เท่านั้น แต่ถ้าใครชอบขับรถเร็วแรงเน้นสมรรถนะก็ต้องไปที่ฝั่งตรงข้ามคือ BMW 320d
ในเรื่องของความปลอดภัยก็ให้มาอย่างครบครัน ได้แก่
- ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า
- ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ป้องกันศีรษะ 4 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
- ถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่าสำหรับผู่ขับขี่
- เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด (5 ที่นั่ง)
- โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program)
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System)
- ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill และ – Start Assist
- ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light)
- ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist)
- ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise control) และระบบจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC)
- ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator)
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system)
- ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
- ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist with PARKTRONIC)
- กล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด (Reversing camera)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist)
- ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตูรถ (Exit Warning Function)
- ระบบแจ้งเตือนสถานะเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
สุนทรียภาพการขับขี่
มาต่อกันที่แผงประตูด้านในฝั่งคนขับ เรื่องที่แตกต่างจากเดิมคือดีไซน์ที่ใหม่ทั้งหมด แผงประตูเป็นแบบหุ้มหนังซึ่งเป็นวัสดุบุนุ่มสลับกัลโครเมียมและมีพื้นผิวแบบ Gloss Black ความแตกต่างจากรุ่นก่อนก็คือตัวปรับระดับที่นั่งผู้ขับขี่ที่มีความละเอียดมากขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนเป็นแบบระบบสัมผัสไม่ใช่แบบออกแรงดัน นอกจากนี้ยังมีหน่วยบันทึกความจำสำหรับตำแหน่งคนขับ 3 ความจำ กระจกปรับออโต้ได้ทั้ง 4 บาน ส่วนที่ปรับกระจกมองข้างเป็นแบบสัมผัส อีกทั้งรุ่นที่ประกอบในไทยจะใช้ลำโพงของ Burmester®
ภายในมีการปรับเปลี่ยนและดีไซน์ใหม่ที่เน้นความเรียบง่าย ซึ่งดีไซน์ก้จะคล้ายๆกับ S-Class สำหรับพวงมาลัยเป็นมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตหุ้มหนัง Nappe มาพร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control โดยจะเป็นทรง D-Shape design หรือพวงมาลัยท้ายตัด เมื่อจับแล้วกระชับมือให้ฟิลลิ่งในการขับที่ดีมาก อีกทั้งยังมี Paddle shift มาให้อีกด้วย เกียร์และไฟเลี้ยวจะอยู่ด้านซ้ายโดยจะเป็นวัสดุแบบใหม่ทำให้ดูทันสมัยมากกว่าตัวเก่า ส่วนที่ปัดน้ำฝนก็เป็นแบบอัตโนมัติและหน่วงเวลา
มีหน้าจอฝั่งคนขับเป็นหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ขนาด 12.3 นิ้ว อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นต่างๆตามที่ผู้ขับขี่ต้องการ เช่น แผนที่นำทาง ที่ทำให้เราไม่ต้องละสายตาไปจากหน้ารถเลย นอกจากนี้ก็สามารถเปลี่ยนธีมหน้าจอตามสไลต์ความชอบได้อีกด้วย
แอร์จะเป็นดีไซน์ใหม่สีงเงินสวยงามเข้ากับภายในห้องโดยสาร โดยเป็นระบบควบคุมอัตโนมัติ Thermatic แบบ 2 โซน สามารถเปิดได้จากหน้าจอสัมผัสตรงกลางได้เลย มาพร้อมกับไฟ ambient light ในช่องแอร์แบบเต็มระบบ ซึ่งไฟ ambient light ใน The New C-Class รุ่นนี้มีความละเอียดมากกว่ารุ่นเดิมและสีเข้มกว่ารุ่นเดิมค่อนข้างมาก อีกทั้งยังมีสีให้เลือกกว่า 64 เฉดสี
ไฮไลท์ของเราจะอยู่ที่จอกลางขนาด 11. 9 นิ้ว ที่มีฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS และ Android (Apple CarPlay™ & Android Auto) มาพร้อมระบบขอความช่วยเหลืออัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และมีระบบความลปอดภัยที่เรียกว่า Active Breaking Assist หรือการเตือนก่อนการชน ซึ่งมีความละเอียดมากขนาดที่สามารถดูฑฤติกรรมการขับขี่ได้ว่าเป็นอย่างไร ฟังก์ชั่นเพิ่มเติมสำหรับการใช้งาน MBUX มีอุปกรณ์สื่อสารด้วยสัญญาณ LTE สำหรับการบริการ Mercedes me conect และมีระบบมัลติมีเดียแบบ MBUX รวมไปถึงระบบมัลติมีเดียแบบ MBUX entertainment (Sound personalization) มาพร้อมระบบแผนที่นำทางแบบ Hard-disc navigation พร้อมแผนที่แบบ 3 มิติ โดยสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดแบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ ก็ได้ และยังมีระบบแผนที่นำทาง พร้อมสภาพการจราจร Live Traffic Information มาให้อีกด้วย)
ถัดลงมาจะเป็นปุ่มกันบ้าง ซึ่งปุ่มไดนามิกคือการเลือกโหมดการขับขี่ในรุ่นี้มีให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ Eco Comfort Sport และ Individual และในรุ่นใหม่มีระบบจอดรถอัตโนมัติที่เป็นปุ่มเพื่อให้เรากดได้ทันที นอกจากนี้ยังมี Fingerprint scanner ที่เมื่อเราตั้งค่าระบบไว้รถจะจดจำลักษณะการเปิดจอฝั่งคนขับ จอกลาง หรือเบาะต่างๆ ระบบจะจำไว้ทั้งหมดเลย
บริเวเณแดชบอร์ดด้านหน้าตกแต่งด้วยสีดำทั้งหมดมีการเพิ่มโครเมียมเพื่อให้ตัดกันแต่กลับยิ่งเพิ่มความหรูหรา โดยมีการตกแต่งด้วยลายไม้แบบ Black open-pore aluminium lines wood trim ซึ่งคอนโซลกลางจะตกแต่งด้วยลายเปียโนแบล็คที่เป็นสีดำเงา High Gloss Black สร้างบรรยากาศให้ดูสุขุมและภูมิฐาน โดยถัดมาตรงกลางเมื่อเปิดขึ้นมีทีเสียบ USB Type C และสามารถชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายอีกด้วย สามารถวางแก้วน้ำได้ 2 ใบ และสามารถเก็บของได้พอสมควร ในส่วนของที่วางแขนสามารถเก็บของได้นิดหน่อยและที่เสียบ USB Type C
ไปดูกันที่ด้านบนกันบ้าง มีหลังคาด้านบนเป็นพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่มาให้ด้วย สามารถเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า มีการทำงานเหมือน S-Class หากต้องการเปิดปิดก็สามารถทัชสกรีนในบริเวณเพียงแค่นี้ก็สามารถเปิดหลังคาได้แล้ว ซึ่งจะเปิดได้ในบริเวณตอนหน้าเท่านั้น ส่วนด้านหลังเปิดไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีม่านอยู่ด้านในสามารถปิดได้
บริเวณกระจกมองหลังก็มีปุ่มเปิด-ปิดไฟต่างๆ มาพร้อมกับปุ่ม SOS นอกจากนี้กระจกมองหลังสามารถปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติได้อีกด้วย ในส่วนของการเปิดกระจกซันรูฟสามารถทัชสกรีนเพียงแค่นี้ก็สามารถเปิดหลังคาได้แล้ว ที่บังแดดมาพร้อมกระจกและไฟทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร
เบาะจะเป็นดีไซน์ใหม่เป็นเบาะนั่งแบบ Sports seats โดยจะเป็นเบาะหนัง ARTICO สีดำ ซึ่งเบาะนั่งคู่หน้าสมารถปรับระดับได้ด้วยไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำสำหรับตำแหน่งที่นั่ง 3 ความจำ อีกทั้งยังสามารถจำตำแหน่วงพวงมาลัยและกระจกมองข้างได้อีกด้วย นอกจากนี้เบานะนั่งคู่ด้านหน้ามาพร้อมระบบดันหลัง 4 ทิศทาง แบบ Lumbar support ในตำแหน่งคนขับถือว่านั่งสบายเลยทีเดียว คนที่สูง 175-180 ไม่มีปัญหาในการขับขี่ อีกทั้งยังมีปีกเบาะมารองกระชับแขนอีกด้วย
สรุปความน่าใช้
หลังจากที่เราได้ลองขับมาซักระยะในทุกโหมดการขับขี่ ถ้าใครคิดว่าขับแล้วจะให้ความรู้สึกโหดฮาร์ดคอไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่นอน แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ BMW 320d รุ่น AMG Dynamic ขับสบายกว่า ในรุ่นนี้เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการความกระด้างของรถ สามารถขับสบายสบายและพวงมาลัยไวๆ สำหรับความเร็วความแรงอาจจะไม่เท่า BMW 320 d แต่ในรุ่น AMG Dynamic สิ่งที่ให้มาคือความนุ่มนวล ความแรงรวมทั้งความประหยัด นอกจากนี้ยังมีตัวมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลังถึง 48 วัตน์ มาให้อีกด้วยซึ่งเรียกว่า EQ boost
หลังจากที่เราได้ลองขับทั้งในเมืองและนอกเมือง เฉลี่ยการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 14 – 15 กิโลเมตร ในส่วนนี้อยู่ที่พฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล แต่ในการทดสอบของเราเราขับแบบปกติ มีเร่งแซง มีช้ามีชะลอ รวมไปถึงมีรถติดด้วย ซึ่งเราได้ลองใช้ทุกโหมดสลับกันไปตามสถานการณ์การขับขี่ อีกจุดหนึ่งที่น่าสังเกตของรุ่นนี้ก็คือช่วงล่างถ้าเปรียบเทียบกับตัว Avantgarde ค่อนข้างที่จะคล้ายคลึงกันพอสมควร สิ่งที่ต่างกันเพียงแค่ขนาดของตัวรถและล้อกับยางนั้งเอง ใครที่ชอบดูนุ่มไปได้เรื่อยๆ เร่งแซงได้บางจังหวะก็ต้องรุ่นนี้
จุดที่น่าสังเกตอีกคือเรื่องของพวงมาลัย ในโหมด Comfort พวงมาลัยมีน้ำหนักเบามาก สำหรับเราเราคิดว่าดีสำหรับสุภาพสตรีที่ใช้รถเองแต่ถ้าสำหรับเราที่ได้ลองขับเราชอบโหมดสปอร์ตมากกว่า พวงมาลัยจะมีน้ำหนักมากขึ้นและรู้สึกรับกับมือของเรามากกว่า ซึ่งในช่วงนี้เข้าโค้ง เร่งแซงหรือในจังหวะที่กระชั้นชิดมีความมั่นใจมากกว่า ช่วงล่างก็ไม่ได้โยนตัวอะไรมาก เครื่องยนต์แรงขึ้นเกียร์เข้าสมูทขึ้น รวมไปภึงภายในที่กว้างขึ้นแต่ถ้าเทียบกับรุ่น Avantgarde นั้น 90% เหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าจุดหลักใหญ่ๆ มันก็จะมีเรื่องของหลังคาพาโนรามิกซันรูฟและเรื่องของฟังชั่นและออฟชั่นการใช้งานต่างๆ เพียงเล็กน้อยแต่ว่ามีราคาห่างกันถึง 400,000 บาท เลยทีดียว ซึ่งในรุ่น AMG Dynamic มีราคาอยู่ที่ 2,990,000 บาทซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นเดิมดีกว่าทุกมิติแต่ถ้าเทียบกับรุ่น Avantgarde ถูกกว่า ในส่วนของข้อดีรุ่น C220 AMG Dynamic ภายในคือจัดเต็มทั้งในเรื่องของจอกลางขนาดใหญ่ มีจอมาตรวัดขนาดใหญ่มาให้ รวมถึง option ที่สามารถสั่งการด้วยเสียง หรือเนวิเกเตอร์ที่มีการคำนวณตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ในเรื่องของความเร็วความแรงก็ถือว่าตอบโจทย์เพราะว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล มีแรงบิดค่อนข้างเยอะและยังเสริมกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า EQ Boost อีกทั้งพวงมาลัยยังสามารถปรับได้ตามความต้องการว่าอยากขับในโหมดไหน เราสามารถปรับช่วงล่างคนละโหมดกับพวงมาลัยได้ด้วย ในเรื่องความประหยัดในรุ่นนี้ที่ใช้น้ำมันดีเซลถือว่าประหยัดพอสมควร ส่วนอีกจุดหนึ่งที่เราคิดว่าเป็นข้อด้อยก็คือ option ยังให้มาไม่ครบเท่าที่ควรไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกล้องมองรอบคันหรือ Adaptive cruise control ในราคาเกือบ 3,000,000 บาทอาจจะดูหนักหน่วงไปซักเล็กน้อยสำหรับรถระดับนี้
เปรียบเทียบภายนอก
New Mercedes-Benz C 220d AMG Dynamic
New Mercedes-Benz C 220d Avantgarde
เปรียบเทียบภายใน
New Mercedes-Benz C 220d AMG Dynamic
New Mercedes-Benz C 220d Avantgarde
The Review
Mercedes-Benz C220d 2022 AMG Dynamic
Mercedes-Benz C220d 2022 AMG Dynamic ปรับเปลี่ยนภายนอกที่ได้เพิ่มเติมความเป็นผู้ใหญ่เข้ามาและภายในให้ดูกว้างขวางโอ่อ่ามากขึ้น รวมไปถึงชวงล่างแบบ Sports suspension
Review Breakdown
-
Driving
-
Engine&Trans
-
Fuel Consumption
-
Practicality
-
Price and Features
-
Design
-
Saftey
Mercedes-Benz C220d 2022 AMG Dynamic DEALS
We collect information from many stores for best price available