[Tip & Technic] เมื่อใดควรนำรถเข้าเช็คระยะ

[Tips & Technic] 5 ทริคปกป้องเครื่องยนต์ พร้อมเดินทางช่วงหยุดยาว

[Tips & Technic] 5 ทริคปกป้องเครื่องยนต์ พร้อมเดินทางช่วงหยุดยาว

      สำหรับเจ้าของรถ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงไม่ใช่เพียงการนำรถเข้าซ่อมเฉพาะเมื่อมีอาการผิดปกติ แต่ควรนำรถเข้าซ่อมบำรุงเมื่อถึงระยะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแลรักษารถให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ช่วยให้ใช้งานรถยนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้งานได้ยาวนานและเกิดความปลอดภัยสูงสุด ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

       ในการบำรุงรักษารถยนต์แต่ละระยะ เจ้าของรถส่วนใหญ่มักจะสังเกตแต่จำนวนกิโลเมตรที่รถใช้งานเป็นเกณฑ์ในการนัดหมายนำรถเข้าเช็คระยะ นอกจากจำนวนกิโลเมตรที่จะแสดงอายุการใช้งานของรถ  ที่บ่งบอกได้ว่าของเหลวและชิ้นส่วนต่างๆ มีการใช้งานมายาวนานเพียงใดแล้ว ระยะเวลาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ของเหลวและชิ้นส่วนต่างๆ เสื่อมสภาพไปด้วยเช่นกัน เพราะเครื่องยนต์หรือระบบต่างๆ ยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลาแม้ในขณะรถจอดอยู่นิ่งในการจราจรที่ติดขัด หรือแม้แต่การจอดทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งาน หากเจ้าของรถละเลยการดูแลตรวจเช็คระยะรถยนต์อย่างถูกต้อง ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือทำให้ชิ้นส่วน ต่างๆ สึกหรอรวดเร็วกว่าปกติ

       จากสถิติในปี 2018 ที่รวบรวมโดย National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าอุบัติเหตุ 45,000 ครั้งต่อปี เกิดจากการดูแลรถยนต์ไม่เหมาะสม ชิ้นส่วนที่เสื่อมสภาพเป็นสาเหตุให้เกิดภัยบนท้องถนน หากเรารู้ทันก่อนเกิดภัยก็จะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านความปลอดภัย รวมไปถึงการใช้รถยนต์ได้คุ้มค่า จึงควรมีการนำรถเข้าเช็คระยะตามระยะทางหรือเวลาที่กำหนดไว้ในสมุดคู่มือของรถรุ่นนั้นๆ หรือเมื่อมีไฟเตือนหรือข้อความเตือนครบกำหนดเข้าเช็คระยะ โดยรถส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะแนะนำให้นำรถเข้าเช็คระยะทุกๆ 6 เดือนหรือ 10,000 กม. แล้วแต่อย่างใดจะถึงก่อน

ในการเช็คระยะแต่ละครั้ง ควรจะมีการตรวจสอบและเปลี่ยนอะไหล่ต่างๆ เพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ดังต่อไปนี้

1.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองเครื่องยนต์ ช่วยให้เครื่องยนต์สะอาด ลดการสึกหรอและหล่อลื่นการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ

2.ตรวจสอบสภาพไส้กรองในระบบต่างๆ มีทั้งไส้กรองอากาศเครื่องยนต์ ไส้กรองอากาศแอร์ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ควรเปลี่ยนตามระยะที่กำหนด ซึ่งอาจแตกต่างกันในรถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ชวยให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

3.ตรวจสอบระดับของเหลวและการรั่วซึมของระบบต่างๆ – นอกจากน้ำมันเครื่องยังมี น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย น้ำมันเบรก น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำยาหม้อน้ำ น้ำยาฉีดล้างกระจก ที่จะต้องได้รับการดูแลและตรวจสอบว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มีกลิ่นหรือสีที่ผิดปกติ รวมถึงไม่มีการรั่วซึมตามท่อทางเดิน

4.ตรวจสอบการทำงานของยางปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก – ยางปัดน้ำฝนมีการเสื่อมสภาพจากรังสี UV ที่มาจากแสงแดดตามระยะเวลาแม้ไม่มีการใช้งาน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการรีดน้ำบนกระจกลดน้อยลง ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ จึงควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมทั้งตรวจสอบการฉีดน้ำว่าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

5.ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง – หลายครั้งที่เราอาจไม่สังเกตว่าระบบไฟส่องสว่างของรถเรานั้นยังทำงานเป็นปกติอยู่หรือไม่ ซึ่งการเช็คระยะจะเป็นการตรวจสอบการทำงานของสัญญาณไฟต่างๆ รอบคันให้ท่านมั่นใจ และยังปลอดภัยตลอดการขับขี่

6.ตรวจสอบสภาพสายพาน – สายพานอาจมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงดังหรือขาดระหว่างการขับขี่ จึงต้องได้รับการตรวจสอบสภาพพร้อมทั้งความตึง

7.ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ – แบตเตอรี่ มักเป็นสิ่งที่จะถูกเปลี่ยนเมื่อไม่สามารถสตาร์ทรถได้ แต่ในความเป็นจริงเราสามารถป้องกันได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาดังกล่าวด้วยการใช้เครื่องมือทดสอบแบตเตอรี่เพื่อประเมินสภาพของแบตเตอรี่ว่าถึงกำหนดเวลาเปลี่ยนแล้วหรือไม่ ก่อนที่จะมีอาการสตาร์ทไม่ติด

8.ตรวจสอบระบบเบรก โดยจะเป็นการตรวจสอบสภาพและความหนาของผ้าเบรกว่าใกล้หมดแล้วหรือไม่ ซึ่งควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันทีเมื่อความหนาของผ้าเบรกเท่ากับ 3 มม. หรือต่ำกว่า นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบรอยรั่วซึมของท่อทางน้ำมันเบรก ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นยาง และสภาพของจานเบรกที่ควรมีความหนาไม่น้อยกว่ามาตรฐาน

9.ตรวจสอบสภาพยาง เป็นการตรวจสอบสภาพความลึกของร่องดอกยาง ซึ่งควรมีความลึกมากกว่า 3 มม. ไม่มีการรั่วซึมหรือการสึกหรอของยางที่ผิดปกติ และปรับแรงดันลมยางตามมาตรฐานที่กำหนด หรือปรับตั้งศูนยล้อถ้าพบการสึกหรอของยางที่ผิดปกติ

10.สลับยางและถ่วงล้อทั้ง 4 ล้อ – โดยเป็นการสลับยางจากด้านหน้าไปไว้ด้านหลังพร้อมทั้งปรับความสมดุลของล้อและยางด้วยการถ่วงล้อ ซึ่งจะช่วยให้ยางมีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น ยืดอายุการใช้งานของยาง รวมถึงลดเสียงรบกวนของยางระหว่างการขับขี่

11.ตรวจสอบสภาพของช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว โดยตรวจสอบการรั่วซึมและการทำงานของโช๊คอัพ การสึกหรอของชิ้นส่วนต่างๆ เช่นลูกหมาก ลูกปืนล้อ ยางหุ้มเพลา ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจในการขับขี่และการทรงตัวของรถ

 

          เมื่อรถถึงระยะซ่อมบำรุง สามารถนำรถเข้าตรวจเช็คสภาพรถได้ที่ศูนย์บริการยางและรถยนต์มาตรฐานระดับโลกอย่างควิกเลน ที่มีบริการให้คำปรึกษาทางด้านการดูแลรักษารถยนต์อย่างละเอียด ฟรีตรวจเช็คสภาพรถ 30 รายการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมใบรายงานผลที่รวดเร็วและเข้าใจง่าย รวมถึงการให้บริการดูแลรถยนต์ที่ครบวงจรถึง 14 กลุ่มบริการโดยช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ควิกเลนยังมีอะไหล่ออมนิคราฟท์ (Omnicraft)  อะไหล่รถยนต์คุณภาพสูงสำหรับรถยนต์ทุกยี่ห้อหลัก ที่มาพร้อมการรับประกันคุณภาพที่ยาวนาน นอกจากการนำรถเข้าศูนย์บริการเมื่อถึงระยะซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอจะเพิ่มความปลอดภัยและความทนทานให้รถแถมยังอาจเพิ่มมูลค่าขายได้ในภายหลัง แล้วก็ยังทำให้คุณขับรถได้อย่างสบายใจไร้กังวล

Exit mobile version