ชีวิตที่หมดไปกับการอยู่บนถนนที่แสนจะรถติด อยากมีดวงตาสัก 8 คู่อยู่รอบตัวเพราะต้องคอยระวังทั้งคนข้ามถนน ทั้งคนปั่นจักรยานที่โฉบไปมาแบบไม่รู้ตัว ไหนจะมีมอเตอไซค์ที่ซอกแซกระหว่างเลน สิ่งเหล่านี้คือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ที่ซึ่งภาวะประชากรล้นหลามกลายเป็นปัญหาที่กระทบชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง และด้วยทั้งคนทั้งยานพาหนะมากมายที่ต่างเบียดเสียดรวมกันอยู่บนถนน อุบัติเหตุที่ตามมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ข้อมูลจากศูนย์อุบัติเหตุ ระบุว่าคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 12,927 คน ตั้งแต่ต้นปี 2561 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2561 เฉลี่ยวันละ 38 คน โดยรถจักรยานยนต์ครองอันดับหนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด แสดงให้เห็นว่าถึงเวลาที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องชีวิตและความปลอดภัยผู้ใช้รถใช้ถนนให้มากขึ้น พร้อมกับมีตัวช่วยให้คนขับรถสามารถควบคุมการขับขี่ท่ามกลางสภาวะที่ยากลำบากได้ด้วยในเวลาเดียวกัน
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pre-Collision Assist uses Inter-Urban Autonomous Emergency Braking หรือ AEB)* เข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ขับขี่หลีกเลี่ยงไม่ให้การชน หรืออย่างน้อยก็เพื่อลดความรุนแรงเมื่อเกิดการชนที่ด้านหน้า รูปแบบการใช้งานของระบบขึ้นอยู่กับความเร็วขณะขับขี่ ระบบจะสแกนถนนและทางเดินที่อยู่ข้างหน้าเพื่อคอยดูยานพาหนะและคนที่ผ่านไปมา หากตรวจจับได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุรถชน มันจะส่งสัญญาณเตือนไปยังคนขับ หากคนขับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ระบบจะทำงานเพิ่มขึ้นเริ่มตั้งแต่เริ่มชาร์ตระบบเบรก เบรกแบบจำกัด ไปจนถึงเบรกอัตโนมัติแบบเต็มแรง โดยคนขับสามารถควบคุมหรือยกเลิกการทำงานของระบบได้อย่างง่ายดายผ่านพวงมาลัย เบรก และการเหยียบคันเร่ง
การหยุดรถโดยไม่ระวังอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ร้ายแรง ดังนั้นการมีระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเตือนให้ผู้ขับเห็นถึงปัญหา หรือเตือนตั้งแต่ก่อนที่ผู้ขับจะรู้ตัว ถือเป็นตัวช่วยที่สำคัญอย่างมาก
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าแค่เพียงลดความเร็วยานพาหนะก่อนเกิดการชนก็สามารถลดความรุนแรงของอุบัติเหตุได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า คนที่อยู่บนถนนแทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลยหากถูกรถที่วิ่งมาด้วยความเร็ว 80 กม./ชม. ชนเข้า แต่ถ้าหากลดความเร็วลงเหลือ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง โอกาสรอดชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% และอาจเพิ่มไปถึง 90% หากรถยนต์สามารถลดความเร็วลงมาได้ที่ 30 กม./ชม.
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเป็นเพียงตัวช่วยในการขับขี่ ไม่ได้มาแทนที่ความสามารถ การตัดสินใจ และความต้องการในการควบคุมยานพาหนะของผู้ขับขี่แต่อย่างใด ระบบอาจไม่ทำงานที่ความเร็วบางระดับ หรือในบางสถานการณ์การขับขี่ ทั้งขึ้นอยู่กับสภาพถนนและสภาพอากาศ เพราะฉะนั้นการขับขี่โดยไม่ประมาท ปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัด ถือเป็นที่สิ่งที่ดีที่สุด