Test Drive – Mitsubishi Triton นี่คือคู่หูที่ดีงามบนเส้นทางทุกรูปแบบ

            หากยังจำกันได้ เราเคยทดสอบ Triton ไปแล้วหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไม่ถึง 24 ชม. แต่นั่นเป็นการทดสอบบนสนามออฟโรดที่เซ็ตขึ้นเพื่อวัดประสิทธิภาพและสมรรถนะบนทางฝุ่นของกระบะพันธุ์แกร่งคันนี้ และมันก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว

            ด้วยราคาค่าตัวของ Triton ตัวท็อปที่ 1.099 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกระบะค่ายอเมริกันราคาเกือบ 1.7 ล้านบาทในด้านการขับขี่ออฟโรดแล้ว เรามองว่าความสามารถของ Triton สามารถทดแทนได้พอสมควร อาจจะไม่เว่อร์วังด้วยอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีล้ำๆ ราคาแพง แต่ถ้ามองการใช้งาน ความคุ้มค่า Triton สามารถตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการกระบะออฟโรดที่ดีในราคาสบายกระเป๋าได้

            อย่างไรก็ตาม การทดสอบประสิทธิภาพของกระบะพันธุ์แกร่งคันนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อได้ขับบนถนนจริง การจราจรจริง  และนี่จึงเป็นที่มาของกิจกรรมทดสอบ Triton ใหม่ที่ทางมิตซูบิชิได้จัดขึ้น โดยพาสื่อมวลชนบินไกลไปถึง จ.เชียงใหม่ เพื่อทดสอบรถในเส้นทาง ตัวเมืองเชียงใหม่-ดอยอินทนนท์-แม่วาง-ตัวเมืองเชียงใหม่ รวมระยะทางกว่า 230 กม. เส้นทางที่ทดสอบมีครบทุกรูปแบบตั้งแต่ทางราบไปจนถึงทางออฟโรด รถที่ใช้ในการทดสอบทั้งหมดเป็นรุ่น Double cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT ราคา 1,099,000 บาท เรารู้แล้วว่า Triton เก่งเพียงใดบนทางฝุ่น คราวนี้เราจะมาลองการขับขี่ทั่วไปดูบ้างว่าดีงามกว่ารุ่นก่อนหน้าหรือไม่อย่างไร?

ขับดีทั้งในเมืองและนอกเมือง

            เริ่มต้นการทดสอบที่โรงแรม North Hill City Resort ตัวเมืองเชียงใหม่ การขับขี่ในช่วงแรกต้องเผชิญการการจราจรที่คับคั่งแทบไม่ต่างจากกรุงเทพ ความเร็วที่ใช้จึงไม่สูงมาก แม้จะมีขนาดตัวที่สูงใหญ่ แต่ Triton ก็เอาตัวรอดได้สบายๆ เสาหน้าที่ค่อนข้างใหญ่เป็นปัญกาเล็กน้อยในบางสถานการณ์ แต่ทัศนวิสัยโดยรวมจัดว่าดีตามมาตรญานรถกระบะยกสูง

            เครื่องยนต์ MIVEC Clean Diesel 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ทำงานในช่วงความเร็วต่ำได้น่าประทับใจ มีความนุ่มนวล เสียงไม่ดังมาก เช่นเดียวกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดที่ปรับปรุงใหม่จากรุ่นก่อนหน้าที่มี 5 สปีด ก็ส่งต่อกำลังได้อย่างราบรื่น จังหวะชิฟท์อัพ/ชิฟท์ดาวน์ในเกียร์ต่ำๆ แทบไม่รู้สึกถึงอาการกระตุกหรือสะดุดใดๆ เมื่อต้องการเร่งความเร็วอย่างฉับพลันเพื่อเร่งแซง หรือออกตัวจากแยกไฟแดงก็ตอบสนองได้ไว

            การขับขี่ในเมืองความสบายคือสิ่งที่จำเป็น เบาะคนขับที่ใหญ่ โอบกระชับ และนุ่ม ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายขณะขับขี่ได้ดี ขณะที่พวงมาลัยก็มีน้ำหนักปานกลางคือไม่เบาเท่าเก๋งแต่ก็ไม่หนักเท่ากระบะหลายๆ รุ่น ระยะฟรีมีพองามความไวของหน้ารถต่อการหมุนพวงมาลัยจึงอยู่ในระดับที่ควบคุมง่าย ทำให้การขับขี่ในเมืองไม่รู้สึกเหนื่อย สามารถบังคับทิศทางได้อย่างแม่นยำ

            เมื่อเจอกับรอยปะถนน ช่วงล่างก็ดูดซับแรงสะเทือนได้ดี ไม่รู้สึกกระด้างหรือตึงตังจนเกินไป ขณะที่ระบบเบรกก็เซ็ตมาได้เหมาะสม กะระยะเบรกได้ง่าย

            เมื่อหลุดจากตัวเมือง เราใช้เส้นทาง 108 เชียงใหม่-จอมทอง มุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์ เส้นทางช่วงนี้เปิดโอกาสให้ใช้ความเร็วเดินทางที่ 100-110 กม./ชม. การขับความเร็วประมาณนี้ไม่พบว่ารถมีอาการโคลงแต่อย่างใด มีแต่ความนิ่งและมั่นคง เรารู้สึกได้ว่าช่วงล่างหนึบแน่นและเกาะถนนได้ดีกว่ามาตรฐานรถกระบะทั่วไป ขณะที่พวงมาลัยจะหนืดขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูง ช่วยเพิ่มความมั่นใจขณะขับได้ดี

            พลัง 181 แรงม้า กับแรงบิด 430 นิวตันเมตร พา Triton พุ่งทะยานออกจากแยกไฟแดงแบบนุ่มๆ แต่ไม่อืด เข็มความเร็วบนหน้าปัดดีดขึ้นถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียงไม่นาน เราลองกระทืบคันเร่งคิ๊กดาวน์ตอนที่ใช้ความเร็ว 60 กม./ชม. เพื่อจะดูการตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ ผลออกมาถือว่าน่าประทับใจ เกียร์จะชิฟท์ดาวน์ลง รอบเครื่องดีดสูงขึ้น พร้อมกับแรงดึงที่เพียงพอสำหรับเร่งแซงในช่วงจังหวะคับขัน กระบวนการทั้งหมดนี้เป็นไปอย่างนุ่มนวล แต่ยังมีดีเลย์อยู่บ้างเล็กน้อย

            เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดของ Triton มาพร้อม Sport Mode +/- สำหรับควบคุมการใช้เกียร์ด้วยตนเอง ทั้งยังมีแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย จากการลองใช้งานพบว่าตอบสนองได้ไวใช้ได้

            ที่ความเร็วเดินทางเครื่องยนต์ของ Triton ยังคงทำงานอย่างราบรื่น เสียงไม่ดัง ขณะที่การป้องกันเสียงรบกวนภายนอกรถก็ทำได้ดี เสียงลมเริ่มเข้ามาเมื่อความเร็วเกิน 100 กม./ชม. พร้อมกับเสียงยางที่จะเริ่มได้ยินมากขึ้น

เหลือๆ กับทางลาดชัน

            ดอยอินทนนท์เป็นดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย แน่นอนว่าทางขึ้นต้องไม่ธรรมดาเพราะว่าทั้งโหด ชัน คดเคี้ยว และขับยาก รถที่มีกำลังไม่มากพอจอดตายสนิทมาแล้วนักต่อนัก นี่จึงเป็นบททดสอบชั้นดีที่เราต้องเผชิญ ด้วยพละกำลัง 181 แรงม้าพร้อมแรงบิด 430 นิวตันเมตร เราสามารถพา Triton ขึ้นดอยได้อย่างง่ายดาย พละกำลังมีเหลือๆ ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่ไหว การขับขี่บนทางลาดชันจำเป็นต้องใช้เกียร์ต่ำ เราจึงเปลี่ยนมาเป็นการควบคุมเกียร์ด้วยตัวเองโดยใช้แพดเดิลชิฟท์ซึ่งสะดวกและก็เปลี่ยนเกียร์ได้ว่องไวโดยไม่มีติดขัด

            Triton รับมือกับโค้งมากมายบนดอยอินทนนท์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะเป็นรถยกสูงแต่ยังเกาะถนนดีมาก รถไม่เสียอาการเมื่อต้อเจอกับโค้งตัว S การทรงตัวในโค้งดี มีโยนบ้างตามสไตล์กระบะ พวงมาลัยตอบสนองต่อการบังคับได้ดี หน้ารถหันไปตามสั่งอย่างรวดเร็ว ขับแล้วไม่ล้ามากจนเกินไป

            ด้านระบบเบรกที่ได้รับการอัพเกรดเพิ่มขนาดจานเบรกหน้าให้ใหญ่ขึ้นและใส่คาลิเปอร์ 2 Pot ทำให้การขับขี่บนเขามีความมั่นใจมากขึ้นและเอาอยู่ทุกสถานการณ์ แม้จะใช้เบรกอย่างหนักแต่เบรกก็ยังทำงานดีดีไม่มีอาการเฟด

อีกครั้งกับบททดสอบออฟโรด

            Triton ของเรามีเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II ระบบขับเคลื่อนนี้เป็นการผสมผสานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์และฟูลไทม์เข้าไว้ด้วยกัน ควบคุมการปรับโหมดด้วยระบบไฟฟ้า โดยเลือกปรับได้ระหว่าง 2H ขับเคลื่อน 2 ล้อปกติ, 4H ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time All Wheel Control เหมาะสำหรับพื้นเปียกลื่น ช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้ดีขึ้น, 4HLc ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตราทดความเร็วสูง เหมาะสำหรับขับทางราบที่พื้นผิวไม่เรียบ ทางลูกรัง และ 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ เหมาะสำหรับปีนป่ายอุปสรรค เนินชัน หรือก้อนหิน

           นอกจากนี้ยังมีโหมดออฟโรด 4 รูปแบบ ประกอบด้วย Gravel, Mud/Snow, Sand และ Rock (เฉพาะ 4LLc เท่านั้น) คุณสามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ให้ตรงกับพื้นผิวที่ต้องขับได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย นอกจากนี้ Triton ใหม่ ยังมาพร้อมกับระบบล็อกเฟืองท้าย (Rear Differential Lock) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันเข้ามาด้วย

            แน่นอนว่าจุดเด่นของ Triton คือความสามารถในการขับขี่ออฟโรด มิตซูบิชิจึงจัดเส้นทางออฟโรดให้ลุยกันฝุ่นตลบที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่จอนหลวง สภาพพื้นผิวเป็นดินแห้งผสมกรวด เส้นทางส่วนใหญ่ไม่ชันมาก ไม่ค่อยมีอุปสรรคให้ปีนป่าย ดังนั้นใช้ระบบขับเคลื่อน 4H และโหมด Gravel ก็เพียงพอแล้ว บางช่วงเป็นทางแคบ เราจึงได้ทดสอบระบบกล้องมองภาพรอบคันไปในตัวซึ่งมันช่วยได้จริงในจังหวะที่ต้องการความชัวร์ นอกจากนี้เรายังได้ทดสอบระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันซึ่งช่วยเพิ่มความอุ่นใจได้มากสำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญ

            Triton ใหม่ได้อัพเกรดโช๊คอัพหลังให้ใหญ่ขึ้นทำให้รองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้นเมื่อขับขี่เส้นทางออฟโรด จากการทดสอบพบว่ารถมีความนิ่งขึ้น โดดเด้งน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า การเปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พวงมาลัยยังตอบสนองได้ดี ควบคุมง่ายเหมือนขับบนถนนปกติ และเราไม่พบอาการลื่นไถลเลย ระบบเบรกยังคงไว้ใจได้เหมือนเดิม ขณะที่เครื่องยนต์ก็ไม่ได้รอบสูงมากนัก การขับเส้นทางช่วงนี้จึงเป็นไปอย่างราบรื่น

            หลังจบจากเส้นทางออฟโรด เรามุ่งหน้าไปที่ ร้านกาแฟเฮือนหอมรฎา ผ่านเส้นทางลาดยางคดเคี้ยวบนภูเขาสูง Triton ยังคงขับได้ดีไม่มีบกพร่อง การควบคุมยังแม่นยำและเฉียบคมเช่นเดิม ก่อนจะมุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่เป็นอันจบทริปทดสอบ

 

            การเดินทางไกลหรือท่องเที่ยวพร้อมกับ Triton เป็นอะไรที่เหมาะมาก ความสามารถของกระบะพันธุ์แกร่งคันนี้จะพาคุณไปได้ในทุกๆ ที่ของเมืองไทย และจะไม่ทำให้คุณผิดหวังไม่ว่าหนทางข้างจะมีอุปสรรคอย่างไร

ความสะดวกสบายและความปลอดภัย

            ความจริงแล้วภายในของ Triton ใหม่ ไม่ได้มีจุดแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งได้สบายสูงสุด 5 คน พื้นที่เบาะหน้าและหลังกว้างขวาง ขึ้น-ลงรถสะดวก จุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในตลาดคือมีช่องแอร์ตอนหลังให้เย็นสบายอย่างทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร

            สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีครบตามสมัยนิยม อาทิ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, ครูสคอนโทรล, หน้าปัดแบบเข็มพร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี, ช่องวางแก้วน้ำ, ช่องชาร์จไฟ 12V, ช่อง USB ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

            สิ่งที่น่าประทับใจคือระบบความปลอดภัยที่ให้มาเกือบเท่า Pajero Sport อาทิ ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง, ระบบเตือนขณะถอยหลังออกจากช่องจอด, ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ, ระบบเตือนมุมอับสายตาพร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน, ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ เป็นต้น

สรุปความน่าใช้

            Mitsubishi Triton ใหม่ พิสูจน์แล้วเราเห็นแล้วว่ามันยอดเยี่ยมทั้งออนโรดและออฟโรด กระบะพันธุ์แกร่งคันนี้ขับดีในเส้นทางทุกรูปแบบ เป็นรถที่ขับสบายในเมือง นอกเมืองก็เป็นรถที่ไว้ใจได้ เครื่องยนต์ดีมีพละกำลังเหลือเฟือสำหรับทางลาดชัน การบังคับควบคุมดี ช่วงล่างดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า ขณะที่ความสามารถด้านออฟโรดก็ไม่มีอะไรให้ต้องติติง เป็นที่ 1 ในกลุ่มกระบะแบรนด์ญี่ปุ่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย รถคันนี้สามารถพาผู้เป็นเจ้าของบุกป่าฝ่าดงไปได้ทุกที่โดยไม่สร้างความกังวลให้เลยแม้แต่น้อย

            รูปลักษณ์ภายนอกใหม่หมดที่แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมคือการเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยม ดูทันสมัย แข็งแกร่ง และดุดันขึ้น นี่จะเป็นอีกจุดที่น่าจะถูกอกถูกใจผู้ซื้อจำนวนมาก สรุป ถ้าคุณต้องการกระบะฟังก์ชั่นครบๆ ราคาสมเหตุสมผล หน้าตาหล่อเหลา ปัญหารบกวนไม่ค่อยมี Mitsubishi Triton นี่แหละที่คือคำตอบ

ขอขอบคุณ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้

ดูรายละเอียดสเปกที่ www.whatcar.co.th/35115/new-mitsubishi-triton-official-launch/

อ่านรีวิวการทดสอบในสนามออฟโรดที่ https://www.whatcar.co.th/35378/first-drive-mitsubishi-triton/ 

Gallery 

Exit mobile version