[Road Test] Mazda CX-30 2.0 SP นุ่มนวล กว้างขวาง พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานและช่วงล่างสุดเพอร์เฟกต์

           ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่จากมาสด้าถูกวางตำแหน่งให้อยู่กึ่งกลางระหว่าง CX-3 กับ CX-5 หลายเสียงบอกว่านี่คือ Mazda 3 ยกสูงพร้อมกับปรับลุคให้ดูทะมัดทะแมงขึ้น ก็อาจจะจริงแต่ไม่ทั้งหมด แม้ว่าเครื่องยนต์ โครงสร้างตัวถัง ดีไซน์ภายนอก ภายใน และช่วงล่าง จะเอาของ Mazda 3 มาปรับใช้ต่อยอด แต่การปรับแต่งในรายละเอียดต่างๆ นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง CX-30 จึงเป็นรถยกสูงที่ยังมอบคาแร็กเตอร์การขับขี่แบบมาสด้าพร้อมกับความสะดวกสบายและความอเนกประสงค์ที่เพิ่มขึ้น มันจึงเป็นรถที่น่าใช้สำหรับคนที่ต้องการความเป็นมาสด้าในมิติที่ต่างออกไป

            วันนี้เราอยู่กับ Mazda CX-30 รุ่นท็อป 2.0 SP ราคา 1.199 ล้านบาท ขุมพลังใต้ฝากระโปรงเป็นบล็อกเดียวกับ Mazda 3 เจนเนอเรชั่นล่าสุดคือเบนซิน SKYACTIV-G 4 สูบ 2.0 ลิตร 165 แรงม้า แรงบิด 213 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ด้วยน้ำตัวที่มากว่ารถเก๋งพอสมควร ชุดเกียร์จึงต้องมีการปรับอัตราทดใหม่ให้สูงขึ้นเล็กน้อยสำหรับการตอบสนองที่กระฉับกระเฉง

การขับขี่

            เริ่มต้นจากในตัวเมืองกรุงเทพฯ กับการขับขี่ผ่านถนนที่มีรถรามากมาย เราเริ่มขับในโหมด Normal เครื่องยนต์มีความสมูธนุ่มนวลดีมากทั้งรอบเดินเบาและรอบต่ำ เสียงเงียบ การขับคลานที่ความเร็วต่ำจึงให้ความรู้สึกไม่ต่างจากรถหรูราคาแพง ขณะเดียวกันเกียร์ก็ส่งกำลังในแต่ละจังหวะอย่างนุ่มนวลไร้รอยต่อ รวมถึงช่วงล่างที่รู้ได้ทันทีว่านุ่มกว่า Mazda 3 ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า ขับผ่านรอยปะถนน ฝาท่อ เส้นจราจร รู้สึกเลยว่ากระด้างน้อยกว่า

            พอเปลี่ยนมาขับออกต่างจังหวัด ถนนโล่งขึ้น มีจังหวะให้ทำความเร็วได้ ก็รับรู้ได้ถึงนิสัยที่แท้จริงของรถ ทันทีที่กดคันเร่ง CX-30 พุ่งทะยานด้วยความกระฉับกระเฉง แรงดึงที่สัมผัสได้มีพอให้รู้สึกสนุก ตรงนี้ถ้าเทียบกับ Mazda 3 แล้วจะอืดกว่าเล็กน้อย ออกแนวนุ่มแต่มาเรื่อยๆ เหลือบเห็นเข็มวัดความเร็วค่อยๆ ไต่ขึ้นเพียงครู่เดียวก็ถึงความเร็ว 120 กม./ชม. แล้ว

            เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำงานได้ดีในทุกย่านความเร็ว มีโหมดแมนวลมาให้เล่นเกียร์ด้วยตัวเองพร้อมกับแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัย จังหวะการเปลี่ยนเกียร์มีความฉับไวพอตัวและนุ่มนวล เกียร์มีความฉลาดเลือกตำแหน่งได้สัมพันธ์กับความเร็วที่ขับได้ดี ขณะขึ้นเนินถ้ารู้สึกว่ากำลังของรถเริ่มตกเกียร์จะชิฟท์ดาวน์ลงด้วยความรวดเร็วเพื่อเรียกกำลังแรงบิด อัตราทดในเกียร์ต่ำค่อนข้างชิดกันเพื่อความต่อเนื่องนุ่มนวลและจะค่อยๆ ห่างขึ้นเมื่ออยู่ในเกียร์สูง

            เราลองคิ๊กดาวน์ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. เพื่อเร่งแซงรถช้าพบว่าไม่ต้องกดคันเร่งลงไปลึกเกียร์ก็ชิฟท์ลงมารอที่เกียร์ 4 แล้ว กำลังที่ได้มีมากพอให้แซงโดยไม่ต้องลุ้นทั้งทางราบและขึ้นเนิน การตอบสนองต่อการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองค่อนข้างฉับไวทั้งการโยกที่คันเกียร์และตบแป้นแพดเดิลชิฟท์ หากคุณเล่นเกียร์แมนวลได้อย่างชำนาญแล้ว การขับลัดเลาะไปตามโค้งและขึ้น-ลงเนินจะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

            พอเปลี่ยนไปขับโหมด Sport เครื่องยนต์และเกียร์ก็แผลงฤทธิ์ของทันที แต่ละจังหวะของการเปลี่ยนเกียร์จะลากรอบสูงขึ้น คันเร่งตอบสนองไวขึ้น การคิ๊กดาวน์ทำได้เร็วขึ้น พอเจอเนิน CX-30 วิ่งสู้ฟัดโดยที่กำลังของรถแทบจะไม่ตกเลย การเร่งแซงบนถนนเลนสวนทำได้ไวไม่ต้องลุ้น โดยรวมแล้วแม้จะไม่สุดติ่งเท่า Mazda 3 แต่เท่าที่สัมผัสได้ก็ถือว่าสนุกสนานไม่เบสำหรับรถยกสูงคันนี้

            ที่ความเร็วต่ำพวงมาลัยของ Mazda CX-30 เบาแต่ยังมีแรงขืนพร้อมดีดกลับแฝงอยู่ ระยะฟรีมีไม่เยอะทำให้การตอบสนองของพวงมาลัยนั้นค่อนข้างไว แม่นยำ และเป็นธรรมชาติ พอใช้ความเร็วสูงขึ้นพวงมาลัยจะหนืดขึ้น นิ่ง แน่น ขับแล้วรู้สึกมั่นใจ ระยะฟรีมีพอเหมาะ การหักเข้าโค้งหน้ารถตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ คาดเดาอาการได้ง่าย คม และแม่นยำ นี่คือพวงมาลัยที่ขับแล้วรู้สึกชอบ มันเหมาะกับการขับลัดเลาะไปตามโค้งซ้าย-ขวา ขับช้าๆ ในเมืองอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่พอเอามาเล่นโค้งแล้วรู้สึกสนุกและมั่นใจขึ้นเยอะเลย

            ช่วงล่างของ CX-30 คนละอารมณ์กับ Mazda 3 เห็นได้ชัดที่ความเร็วสูงบนทางตรงที่มันจะนุ่มกว่าแต่ยังหนึบแน่นและให้ความมั่นใจได้ไม่ต่างกัน รถวิ่งได้นิ่งสนิท ไม่โคลงไม่ส่าย จังหวะสาดโค้งด้วยความเร็วค่อนข้างเนียนมากๆ รถเกาะถนนดีมาก อาการโยนมีน้อย ตัวถังรักษาสมดุลและการทรงตัวในโค้งได้ดี

            อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างสนุกและมั่นใจก็คือระบบ G-Vectoring Control PLUS ที่จะเพิ่มการเบรกหน้าซ้าย/ขวาเพื่อดึงหน้ารถให้เข้าทิศทางได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางคนเคี้ยวบนเขาที่เจ้า CX-30 ไม่ทำให้รู้สึกมึนหัวเลย เข้าโค้งได้อย่างสนุก รถไม่โยกเยก พวงมาลัยคมและตอบสนองไว มั่นใจ ปลอดภัย ถ้าเทียบกับ Mazda 3 ที่มีความสูงน้อยกว่าแล้ว รายนั้นจะให้ความสนุกได้มากกว่า คมและกระชับกว่า แต่ถ้าเทียบตามมาตรฐานครอสโอเวอร์ยกสูงที่มีในตลาดตอนนี้แล้วล่ะก็ CX-30 อยู่ในลำดับต้นๆ ในแง่การควบคุมอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย

            แป้นเบรกของ CX-30 มีระยะฟรีพอสมควร ในช่วงเหยียบแรกๆ รถจะยังไม่ค่อยหน่วง ต้องเพิ่มน้ำหนักลงอีกนิดนึงถึงจะรู้ว่าเริ่มหน่วง เบรกแบบนี้ข้อดีคือความนุ่มนวลที่ไม่ทำให้หน้าทิ่มแน่นอน แต่การใช้งานช่วงแรกต้องสร้างความคุ้นชินกับการกะจังหวะเบรก แล้วถ้ากระทืบแป้นเบรกล่ะ? มีจังหวะได้ลองอยู่ซึ่งเราพบว่าเบรกสามารถหยุดยั้งความเร็วจาก 100 กม./ชม. ลงมาสู่ความเร็วต่ำได้เวลาอันรวดเร็วโดยรถไม่เสียการควบคุม มั่นใจได้ว่าถ้าเบรกฉุกเฉินจริงๆ ก็เอาอยู่เพราะตัวช่วยต่างๆ ก็มีครบทั้ง ABS, EBD และ BA

            เราประทับใจกับการป้องกันเสียงรอบกวนของ CX-30 มาก เสียงลม เสียงยาง เสียงช่วงล่าง ถูกป้องกันเอาไว้เป็นอย่างดี ต้องขับเกิน 110 กม./ชม. แล้วตั้งใจฟังถึงจะได้ยินเสียงลมที่เล็ดลอดเข้ามาตามซอกหน้าต่าง เสียงยางจะเริ่มได้ยินตอน 90 กม./ชม. เสียงเครื่องยนต์เงียบมาก จะดังจริงๆ ก็ตอนคิ๊กดาวน์เร่งแซงนั่นแหละ ส่วนแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์นั้นไม่มีเลย

            ด้านอัตราสิ้นเปลืองเราพบว่าถ้าไม่ขับดุมาก รถค่อนข้างประหยัดในระดับหน้าพอใจ 13 -14 กม./ลิตร มีให้เห็นได้ แต่ถ้าอัดหนักก็จะซดน้ำมันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ของมาสด้าไม่ได้มีจุดเด่นที่ความประหยัดมากมายนัก ถ้าเหยียบเพลินก็อาจตกใจเกจน้ำมันที่ลดลงหวบๆ ได้เหมือนกัน ดังนั้นรถจะกินมากกินน้อยขึ้นอยู่กับนิสัยการขับขี่ของผู้ขับเป็นหลัก

            Mazda CX-30 ใหม่มาพร้อมกับระบบช่วยขับมากมายเช่นเดียวกับ Mazda 3 เราได้ลองใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันตามรถคันหน้า MRCC การทำงานของมันถือว่าใช้ได้ รถเบรกและเร่งตามรถคันข้างหน้าได้นุ่มนวล อีกระบบที่ได้ลองคือระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS ถ้าหากเผลอขับเบี่ยงไปใกล้เส้นจราจร พวงมาลัยจะสั่นเตือนและช่วยรั้งไว้ไม่ให้รถออกนอกเลน ทั้งสองระบบจะทำงานได้ดีในทางตรงยาวๆ และมีเส้นจราจรชัดเจนเช่นบนมอเตอร์เวย์

ภายในกว้าง สิ่งอำนวยความสะดวกมาครบ

            เราจำความรู้สึกขณะนั่งขับในรถ Mazda 3 ได้แม่น ทุกอย่างรอบตัวดูกระชับ ท่านั่งสปอร์ตต่ำติดพื้น พื้นที่ตอนหน้าไม่มีปัญหาแต่เบาะหลังแคบ พอมานั่งใน CX-30 ที่ยกเอารูปแบบดีไซน์ทุกอย่างของ Mazda 3 มาใช้ในขนาดห้องโดยสารที่ใหญ่ขึ้น มันรู้สึกได้เลยว่าสบายตัวขึ้น ทัศนวิสัยการมองรอบตัวรถดีขึ้นจากความสูงของเบาะนั่งที่มากขึ้น มุมมองด้านหน้ารถกว้างไกลขึ้น เสา A-pillar ไม่บดบังการมองตรงบริเวณมุมรถจนเกินไป อย่างไรก็ตามมุมมองผ่านไหล่ไปกระจกหลังยังแคบอยู่เหมือนเดิม

            การเข้า-ออกรถสะดวกทั้ง 4 ด้าน เบาะคนขับปรับไฟฟ้าปรับไฟฟ้า 10 ทิศทางพร้อมตัวดันหลังปรับไฟฟ้า มีระบบบันทึกตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง ตัวเบาะถูกคิดค้นมาอย่างดีตามหลักสรีระศาสตร์เพื่อชวยมอบความสบายสูงสุด เมื่อลองนั่งแล้วก็รู้สึกว่ามันนั่งสบายจริง เบาะนุ่มและโอบกระชับลำตัว ขับนานๆ แล้วไม่เมื่อย

            พื้นที่เบาะหน้ามีเพียงพอกับคนตัวสูง 180 ซม. เบาะหลังรู้สึกได้เลยว่านั่งสบายขึ้นกว่า Mazda 3 ชัดเจน ถ้าคนตัวสูงมานั่งจะมีพื้นที่ช่วงศีรษะและช่วงขาเยอะขึ้น นั่งทางไกลนานๆ แล้วสบายตัว เบาะก็มีความนุ่ม พนักพิงเอนกำลังได้องศา เบาะตัวกลางดึงลงว่าเป็นที่วางแขนพร้อมช่องวางแก้วน้ำ อุโมงค์กลางไม่ใหญ่จนรู้สึกว่าเกะกะ มีช่องแอร์ด้านหลังให้ความเย็นได้แบบทั่วถึง

            มาสด้าให้ความสำคัญกับบรรยากาศภายในห้องโดยสารมาก เห็นได้จากการออกแบบแดชบอร์ดให้ดูเรียบโล่งในสไตล์มินิมอล แต่แฝงด้วยความพรีเมี่ยมจากหนังบุนุ่ม หน้าจอกลางแบบลอยตัวขนาด 8.8 นิ้ว ตั้งอยู่ในระดับสายตา จอนี้แสดงภาพได้สวยงามคมชัด หน้าตาเมนูต่างๆ ดูง่ายแถมเป็นภาษาไทยด้วย ควบคุมการใช้งานผ่านแป้นหมุน Center Commander ที่คอนโซลกลางซึ่งถือว่าสะดวกมากเมื่อใช้งานขณะกำลังขับรถไปด้วย การตอบสนองของระบบสาระบันเทิงค่อนข้างลื่นไหล ฟังก์ชั่นใช้งานต่างๆ ครบครันตามสมัยนิยม รองรับการเชื่อมบลูทูธ Apple Carplay ทีเด็ดคือระบบเสียง Bose ลำโพง 12 ตำแหน่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันว่าคุณภาพเสียงดีที่สุดในบรรดารถญี่ปุ่นที่วางขายในเมืองไทย การฟังเพลงโปรดระหว่างขับรถด้วยชุดเครื่องเสียงดีๆ ถือเป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง มันทำให้คุณเพลิดเพลิน ใจเย็นลง อุบัติเหตุก็จะลดลงตามไปด้วย

            แผงหน้าปัดเป็นอีกจุดที่เราชื่นชอบ แม้ว่ามันจะไม่ค่อยมีสีสันสักเท่าไรแต่ดูๆ ไปแล้วลงตัวดี แผงหน้าปัดนี้เป็นแบบกึ่งดิจิตอล วงซ้ายวัดรอบ วงขวาวัดอุณหภูมิและระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ตรงกลางเป็นจอสีขนาด 7 นิ้วที่บอกครบทุกสิ่งอย่างที่ผู้ขับอยากรู้ตั้งแต่ความเร็ว อัตราสิ้นเปลือง ไปจนถึงระบบช่วยขับ นอกจากนี้ยังมี Head-up display สะท้อนข้อมูลสำคัญบนขึ้นกระจกหน้าผู้ขับขี่ทำให้ไม่ต้องละสายตาจากถนน

            พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต 3 ก้านขนาดกำลังดี จับกระชับมือ ปรับระดับสูง-ต่ำและปรับเข้า-ออกได้ ขณะที่ตำแหน่งและขนาดของหัวเกียร์ก็ทำออกมาได้กระชับฝ่ามือ หน้าตาแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศดูทันสมัยและก็ใช้งานง่ายเช่นกัน แป้นเหยียบต่างๆ อยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับเบาะนั่ง รายละเอียดทั้งหมดออกแบบโดยยึดหลักให้ผู้ขับเข้าถึงการควบคุมต่างๆ ได้ง่าย

            ด้านความอเนกประสงค์ CX-30 มาพร้อมห้องเก็บสัมภาระท้ายขนาดใหญ่กว่า Mazda 3 สามารถใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้หลายใน พื้นห้องยังไม่ราบเสมอขอบกันชน เบาะแถว 2 พับแยกแบบ 60/40 เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Corolla Cross แล้ว CX-30 ยังเป็นรองอยู่นิดๆ

สรุปความน่าใช้

           การมาของ CX-30 เป็นการแก้เกมเพื่อลบข้อด้อยของ CX-3 เช่นเดียวกับที่ Corolla Cross เกิดมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของ CH-R ปัญหาหลายอย่างใน CX-3 ถูกแก้ไขหมดใน CX-30 ด้วยราคาค่าตัวที่เขยิบขึ้นมาอีกระดับแลกกับสิ่งที่ได้รับแล้วนั้น การอัพเกรดมาเล่น CX-30 ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ครอสโอเวอร์คันนี้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่ดีตามแบบฉบับรถอเนกประสงค์ แม้สมรรถนะจะไม่จัดจ้านแต่ก็ขับดี การบังคับควบคุมดี ช่วงล่างนุ่มหนึบ มี GVC Plus ที่ขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเล่นโค้งยังไงก็มั่นใจ นี่คือรถที่คนรักการขับขี่ต้องถูกใจ

            ในด้านพื้นที่ภายในห้องโดยสารเรามองว่า CX-30 ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจาก CX-3 และ Mazda 3 พอสมควรแล้ว กว้างขึ้น นั่งสบายขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ขนสัมภาระออกทริปวันหยุดได้อย่างไร้ปัญหา ถ้าคุณอยากรู้ว่ากว้างขึ้นมากน้อยแค่ไหน ต้องไปลองนั่งเองแล้วจะรักรถคันนี้ขึ้นมาทันที

            แน่นอนว่านี่คือคู่แข่งตัวสำคัญของ Toyota Corolla Cross แถมราคาก็ใกล้เคียงกัน เราได้ลองขับทั้ง 2 รุ่นแล้ว และเรามองว่าต่างคนต่างก็มีคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นต่างกันไป CX-30 เก่งในเรื่องการขับขี่และการบังคับควบคุมที่เฉียบคมคล่องตัว ส่วน Corolla Cross ชนะในด้านความสะดวกสบายจากห้องโดยสารที่ใหญ่กว่า และความประหยัดจากเครื่องยนต์ ไฮบริด 1.8 ลิตร อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละคันมีดีคนละด้านล้วนเป็นผลดีกับผู้บริโภคเพราะจะทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นและได้รถที่ตรงกับความต้องการของตัวเองจริงๆ

ดูรายละเอียดสเปก Mazda CX-30 ได้ที่นี่ http://bit.ly/32ZKR7V

Gallery

Exit mobile version