Mini John Cooper Works GP ส่งตรงความแรงจากตัวแข่งพันธุ์แท้ จำกัด 30 คันในไทย

        มินิ ประเทศไทย เปิดตัว Mini John Cooper Works GP เจเนอเรชั่นที่ 3 ปรากฎการณ์ใหม่ในเซกเมนต์พรีเมียมคอมแพ็ค นี่คือรถ Mini ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยแรงบันดาลใจจากนักออกแบบรถแข่งฟอร์มูลา มาในจำนวนจำกัดเพียง 30 คันเท่านั้น

         Mini John Cooper Works GP มอบความสปอร์ตทรงพลังและความปราดเปรียวไม่ซ้ำใคร สานต่อตำนานรถแข่งที่ขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจนับตั้งแต่การปรากฎโฉมของมินิรุ่นคลาสสิกครั้งแรกเมื่อ 60 ปีก่อน โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์อันดุดันและทรงพลังพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ให้สมบูรณ์แบบที่สุด

         ขุมพลังใต้ฝากระโปรงหน้าได้รับการปรับจูนในแบบตัวแข่งพันธุ์แท้โดยยังเป็นเบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo เจนเนอเรชั่นล่าสุด แต่มีการอัพเกรดรายละเอียดหลายอย่างให้เหนือกว่ารถ John Cooper Works รุ่นอื่น เทอร์โบ เพลาข้อเหวี่ยง ลูกสูบ หัวฉีดน้ำมัน และอ่างน้ำมันเครื่อง ล้วนได้รับการพัฒนาใหม่เพื่อมอบการตอบสนองที่เฉียบคมทันใจทุกครั้งที่แตะคันเร่ง พร้อมเพิ่มการส่งพลังอย่างต่อเนื่องขณะโลดแล่นด้วยความเร็วสูง

          พละกำลังทั้งหมดที่รีดเค้นออกมาคือ 306 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 265 กม./ชม. ตอกย้ำความสปอร์ตด้วยเสียงเครื่องยนต์สุดเร้าใจจากระบบไอเสียที่ออกแบบมาให้มีโทนเสียงเฉพาะตัว 

          ระบบระบายความร้อนได้รับการออกแบบบนพื้นฐานของรถแข่งด้วยการติดตั้งหม้อน้ำ 2 ช่องสำหรับหล่อเย็นเครื่องยนต์ ถังพักน้ำหล่อเย็นใหญ่ขึ้น ระบบเก็บน้ำยาหล่อเย็นออกแบบมาเฉพาะ และติดตั้งพัดลมไฟฟ้าเสริมประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตลอดเวลา

          เกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีดมีระบบระบายความร้อนแยกต่างหาก ช่วยเสริมศักยภาพการทำงานระหว่างระบบการขับขี่และอัตราทดเกียร์ให้ดียิ่งขึ้น ระบบเกียร์แบบใหม่ยังช่วยเสริมความสปอร์ตให้กับการเปลี่ยนเกียร์ด้วยปุ่มเปลี่ยนเกียร์ไฟฟ้า หรือหากต้องการเปลี่ยนไปขับขี่ด้วยเกียร์ธรรมดาก็สามารถทำได้โดยใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์บริเวณพวงมาลัย

          ระบบช่วงล่างของ Mini John Cooper Works GP มอบมิติใหม่ของการขับขี่สไตล์โกคาร์ทด้วยการพัฒนาด้านหลักจลนศาสตร์ของล้อและเพลา ติดตั้งชุดกันสะเทือนแบบสปอร์ต พร้อมปรับความแข็งของโช๊คอัพให้สอดคล้องกับสปริงประสิทธิภาพสูง และปรับมุมแคมเบอร์ของล้อใหม่ เสริมความคล่องตัวด้วยฐานล้อที่กว้างขึ้นและตัวรถที่ต่ำลง 10 มม. พร้อมทั้งเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวถัง ในส่วนของระบบเบรกแบบสปอร์ตมาพร้อมคาลิเปอร์หน้า 4 ลูกสูบ คาลิเปอร์หลังลูกสูบเดี่ยว

          ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) มาพร้อมโหมด GP ที่เริ่มใช้งานได้เพียงเปิดสวิตช์ โดยจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพระหว่างระบบเบรกและการควบคุมเครื่องยนต์ ทำงานควบคู่กับระบบล็อคเฟืองท้ายแบบ mechanical เพื่อรองรับการควบคุมที่ฉับไวยิ่งขึ้น ซึ่งสวิตช์ที่ใช้ควบคุมระบบเสถียรภาพการขับขี่ยังสามารถใช้ปิดระบบ DSC ได้ด้วย

เสริมความเท่ด้วยชุดแอโรไดนามิก

          Mini John Cooper Works GP มาในลุครถแข่งพันธุ์แท้ที่ไม่เพียงโดดเด่นในด้านรูปโฉมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสมรรถนะการขับขี่และความแม่นยำในการควบคุมรถยนต์ในสภาวะที่ต้องการความคล่องตัวสูง ตัวถังเน้นการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์และการไหลเวียนของอากาศเพื่อระบายความร้อนเครื่องยนต์และระบบเบรก โดดเด่นด้วยสปอยเลอร์หลังคาแบบปีกคู่ กับดีไซน์ฝากระโปรงหน้าแบบ Blackband และสปอยเลอร์หน้าที่ทำงานร่วมกันในการลดแรงยก 

          ซุ้มล้อกว้างขึ้นเพื่อรองรับยางสำหรับขับขี่บนสนามแข่งและช่องดักลมด้านข้างรถ วัสดุที่ใช้บริเวณซุ้มล้อเป็นโครงสร้างเทอร์โมพลาสติกด้านในผสานคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านนอก (CFRP) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่นำวัสดุสองประเภทดังกล่าวมาใช้ร่วมกันโดยผ่านกระบวนการผลิตแบบพิเศษ นอกจากนี้ยังได้มีการพิมพ์หมายเลขลำดับการผลิตที่เปรียบเสมือนหมายเลขประจำตัวนักแข่งรถในสนาม

         Mini John Cooper Works GP มาในตัวถังสีเทา Racing Grey metallic ตัดกับหลังคาและฝาครอบกระจกสีเงิน Melting Silver metallic กันชนด้านหน้า-หลังรูปทรงใหม่มาพร้อมไฟตัดหมอกในตัว เสริมความดุด้วยกระจังหน้าลวดลายทรงหกเหลี่ยม ช่องรับอากาศด้านล่างและด้านในสปอยเลอร์หลังคาสีแดงเงา Chili Red โลโก้ GP สีแดง Rosso Red metallic matt อันเป็นเอกลักษณ์ปรากฎอยู่บนตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วทั้งรถ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้ารถ ท้ายรถ ด้านนอกของสปอยเลอร์หลังคา ขอบประตู และสเกิร์ตด้านข้าง

          กรอบไฟหน้า กระจังหน้า ไฟท้าย ฝาถังน้ำมัน มือจับประตู ชุดแต่งบนกระโปรงหน้า และโลโก้มินิทั้งหน้ารถและท้ายรถ มาในสีดำสร้างคอนทราสต์ตัดกับส่วนอื่น ๆ ของตัวรถอย่างชัดเจน สอดรับกับโคมไฟหน้าสีดำและไฟท้ายดีไซน์ธงยูเนียนแจ็คสีดำเช่นกัน ติดตั้งล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว ซึ่งมีน้ำหนักไม่ถึง 9 กิโลกรัม และมาพร้อมยางสมรรถนะสูงขนาด 255/35 R18 ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ

ภายในสุดเร้าอารมณ์

         ภายในห้องโดยสารของ Mini John Cooper Works GP ให้อารมณ์รถแข่งอย่างแท้จริงเพราะมีเพียง 2 ที่นั่งเท่านั้น และยังลดการติดตั้งวัสดุซับเสียงเพื่อลดน้ำหนักของตัวรถ เบาะนั่งเป็นแบบ bucket seat หุ้มหนังแท้ Dinamica ขอบเบาะสีเงินตัดกับตะเข็บสีแดง ตกแต่งด้วยตรา GP ด้านล่างพนักพิงศีรษะและสายเข็มขัดนิรภัยสีแดง แผงแดชบอร์ดบริเวณที่นั่งผู้โดยสารปรากฏหมายเลขลำดับการผลิตของรถแต่ละคันจากการพิมพ์แบบสามมิติ 

         พวงมาลัยบ่งบอกถึงความเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะตัวด้วยหนัง nappa ตัดกับตะเข็บสีแดง ตรงกลางมี Center mark ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นด้วยกระบวนการขึ้นรูปทีละชิ้นแบบ Additive Manufacturing แป้นแพดเดิลชิฟท์เป็นการนำเหล็กมาขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยีพิมพ์แบบสามมิติเช่นกัน บนพื้นผิวของแป้นตกแต่งด้วยโลโก้ GP และลวดลายรวงผึ้งอันเป็นเอกลักษณ์

         ห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีดำ Carbon black เป็นหลัก มีตกแต่งด้วยโลโก้ GP สีแดงบนพรมและลายเส้นคู่บนหัวเกียร์ รวมทั้งโครงเหล็กอลูมิเนียมด้านหลังเบาะที่นั่งในสีแดง Chili Red ซึ่งได้รับการติดตั้งเพื่อป้องกันสัมภาระจากหลังรถไหลลื่นมาด้านหน้าในกรณีที่เบรกกะทันหัน

         ระบบความบันเทิงมาพร้อมระบบ MINI Connected เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แสดงผลบนจอขนาด 6.5 นิ้ว มีฟังก์ชั่น Mini Navigation System รองรับ Apple CarPlay และมีแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย หน้าปัดดิจิทัลความละเอียดสูงขนาด 5 นิ้ว แสดงความเร็วในการขับขี่ทั้งแบบตัวเลขและเข็มวัด รวมทั้งแสดงผลการขับขี่ในโหมด GP ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร

        ด้านความปลอดภัย Mini John Cooper Works GP ให้อุปกรณ์มาครบครันพอตัวตั้งแต่ถุงลมนิรภัยสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมช่วยเบรกขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันการลื่นไถล ครูสคอนโทรลพร้อมฟังก์ชั่นช่วยเบรก และระบบช่วยออกตัวบนทางชัน เป็นต้น

         Mini John Cooper Works GP มาถึงประเทศไทยแล้ว 5 คันจากทั้งหมด 30 คัน ราคาค่าตัวอยู่ที่ 4,200,000 บาท รวมแพ็คเกจ MSI 10/100 ครอบคลุมระยะเวลาบำรุงรักษา 10 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และการรับประกัน 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง และสำหรับอีก 25 คัน จะพร้อมส่งมอบภายในปี 2563

โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/MINI.Thailand/ 

Gallery

Exit mobile version