Mini ทำการปรับปรุงรถยนต์ของตัวเองใหม่ทั้งรุ่น 3 ประตู, 5 ประตู และรุ่นเปิดประทุน พร้อมเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ และเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่เป็นครั้งแรก
โมเดลหลักๆ ของ Mini จะมาพร้อมออปชันมาตรฐานอย่างไฟหน้าและไฟท้าย LED มีออปชันเสริมเป็นไฟสูงแบบ Matrix LED ที่โดดเด่นที่สุดคือไฟท้ายดีไซน์ธงยูเนียนแจ็คที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Mini Electric
ภายในมาพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน หน้าจอของระบบสาระบันเทิงปรับใหม่เป็น 6.5 นิ้ว รองรับ Navigation Plus Pack และระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ระบบสาระบันเทิงสามารถอัพเกรดเพิ่มเติมเป็นระบบสัมผัสพร้อมเพิ่มระบบนำทางด้วยดาวเทียมตลอดจนรองรับ Apple CarPlay ได้ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Mini Connected สำหรับแจ้งเตือนกิจกรรมต่างๆ อาทิ นัดหมาย ปฏิทิน และเวลาที่ควรออกเดินทาง
บริการ Mini Yours Customised ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถออกแบบรถในสไตล์ของตนเองได้จากเครื่องปริ้น 3 มิติ นอกจากนี้บริเวณแดชบอร์ดฝั่งผู้โดยสารยังติดตั้งไฟ Backlit ลวดลายธงยูเนียนแจ็คซึ่งจะแสดงสีสันสัมพันธ์กับไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร เพื่อเพิ่มความสนุกสาน Mini ได้เพิ่มใหม่ตัวถังมาใหม่ 3 สี ได้แก่ สีเทา Emerald Grey, สีน้ำเงิน Starlight Blue และสีส้ม Solaris Orange
Mini Hatchback 2018 เปลี่ยนมาคบหากับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่แบบ Steptronic 7 สปีดพร้อมคันเกียร์ไฟฟ้า รุ่น Cooper S จะมีแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัยสำหรับตบเกียร์ให้ Mini บอกว่าระบบเกียร์รุ่นใหม่นี้จะทำงานได้รวดเร็วกว่าเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดลูกเดิมและมีอัตราทดที่ให้ความประหยัดมากกว่า
เครื่องยนต์มีให้เลือก 5 รุ่นแบ่งเป็นเบนซิน 3 รุ่นและดีเซล 2 รุ่น ทุกรุ่นมาพร้อมระบบอัดอากาศ รุ่นพื้นฐานเป็นเครื่องเบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร 101 แรงม้า ในระดับตกแต่ง Mini One รุ่นที่ประหยัดที่สุดคือเครื่องดีเซลความจุเดียวกันซึ่งตัวเลขการบริโภคน้ำมัน 26.3 กม./ลิตร ในระดับตกแต่ง Cooper D ส่วนรุ่นท็อปสุดได้แก่ Mini John Cooper Works มาพร้อมกับขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร 228 แรงม้า
ราคาค่าตัวของ Mini 2018 คาดว่าจะเริ่มต้นที่ 14640 ปอนด์ (ราว 7.32 แสนบาท) โดยทุกคันมาจะพร้อมกับโลโก้ใหม่ของ Mini ที่จะเปลี่ยนไปใช้กับรถทุกรุ่นภายในปีนี้
