Mercedes-Benz S350d Exclusive มอบประสบการณ์ความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้วยที่สุดแห่งยนตรกรรม

       Mercedes-Benz S350d Exclusive  เป็น The new S-Class ที่สุดแห่งยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่พร้อมมอบประสบการณ์ยานยนต์ที่เป็นที่สุดของความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำหน้าที่ให้ความสำคัญกับผู้ใช้และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น การออกแบบทั้งภายในและภายนอกใหม่หมดจด ภายใต้คอนเซ็ปต์ Sensual Purity ในภาษาดีไซน์ที่ได้รับการยกระดับขึ้นในทุก ๆ ส่วน พร้อมตอบรับความต้องการของผู้โดยสารในทุกที่นั่งด้วยประสบการณ์ดิจิทัลที่เป็นที่สุด โดยเฉพาะระบบมัลติมีเดีย MBUX7 เจเนอเรชันใหม่ และระบบความปลอดภัยสุดล้ำหน้า ที่พร้อมยกระดับประสบการณ์การขับขี่ขึ้นอีกขั้นในทุกรายละเอียด

     ที่สุดแห่งยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำให้ทางทีม What car? อยากทดสอบประสบการณ์ความหรูหรานี้ เราจะมาดูกันว่าคำว่าที่สุดนั้น มันสุดยอดจริงหรือไม่

ใส่ใจทุกรายละเอียดในการออกแบบ

        กระจังหน้ามีการออกแบบดีไซน์ใหม่จากรุ่นเดิม แต่ยังคงเอกลักษณ์ดาวไว้เหมือนเดิมซึ่งทำให้เรารู้สึกชอบรุ่นนี้มากกว่า ซึ่งในกระจังหน้าไม่มีโลโก้แต่จะใส่เรดาห์ ซึ่งเป็นเรดาห์จับความเคลื่อนไหว หรือระบบความปลอดภัยต่างๆ โดยที่จะทำงานคู่กับกล้องหน้าที่อยู่บนกระจกหน้าและมีกล้อง 360 องศามาให้ด้วย ในส่วนของกันชนด้านล่างมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างจากรุ่น AMG อย่างเห็นได้ชัดแต่ว่ามีเซ็นเซอร์ซ่อนอยู่ในกระจังหน้า ซึ่งมีทั้งหมด 6 จุด 

      ไฟนั้นมีความละเอียดมากกว่ารุ่นก่อน ซึ่งเป็นไฟ LED แบบเต็มระบบและมีไฟหลายดวง ซึ่ง Mercedes-Benz  ได้บอกว่าสามารถส่องสว่างได้ไกลถึง 650 เมตร ในส่วนของล้อจะเป็นลายก้านแบบถี่ ๆ จะมีสี 2 มิติ คือสีดำและสีเทา ทำให้จะดูหรูหรา นอกจากนี้ยังมีแม็กขนาด 19 นิ้ว  ขนาดยาง 255/45 R19 และเบรกมีขนาดใหญ่ มีรูระบายอากาศเพื่อระบายความร้อนเมื่อเราใช้ความเร็วสูง ซึ่งในเบรกเราสามารถมั่นใจใน Mercedes-Benz  ได้

      ต่อมาเราจะมาดูดีไซน์ด้านข้าง Mercedes-Benz S350d Exclusive จะมีการนูนเว้าออกมา ในส่วนกระจกข้างมีการปรับทำให้ตัวกระจกไม่ยื่นออกมาเกินไป ส่งผลให้การขับขี่ การกะระยะเราไม่ต้องกลัวเลยว่ามันจะใหญ่ หรือยื่นออกไปขูดกับอะไร และมีกล้องที่กระจกข้างเป็น 360 องศา  ต่อไปเป็นที่เปิดประตูรถ ซึ่งจะเรียบไปกับรถแบบไร้รอยต่อ หากต้องการเปิดรถเราแค่ยืนใกล้ๆกับตัวรถเท่านั้น มือจับนี้ก็จะยื่นออกมาให้เราเปิดอย่างง่ายดายแต่ถ้าเราออกห่างจากตัวรถหรือล็อกรถมันก็จะเก็บเข้าตัวรถทันที ทำให้เส้นสายด้านข้างดูกลมกลืนกัน

     Mercedes-Benz S350d Exclusive มีไฮไลท์คือได้ทำเส้นข้างรถให้ขนาดเล็กลง ซึ่งเราเรียกเส้นนี้ว่า Catwalk line เป็นเส้นโค้งของหลังคาที่กดองศาของหลังคาให้ต่ำลง ทำให้รถยนต์คันนี้ดูสปอร์ตขึ้น แต่ว่าพื้นที่ห้องโดยสารไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มพื้นที่มากขึ้น การออกแบบดีไซน์ทำให้มีลักษณะคล้ายรถคูเป้ และยังมีการเพิ่มขนาด head room ประมาณ 10 มล. ซึ่งสูงกว่ารุ่นเก่า มาถึงด้านท้ายในรุ่น Exclusive มีเส้นโครเมียมซึ่งก็จะทำให้ดูหรูหราเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานเป็นรถนั่งมากยิ่งขึ้น

     ไฟท้ายใหม่ มีลักษณะจะเป็นตัวคริสตัล LED ซึ่งจะทำให้ไฟท้ายดูมีมิติ หรูหราและรับกับตัวรถด้วย และเทคโนโลยีของไฟรุ่นนี้ก็จะทำให้เห็นชัดกว่ารุ่นก่อน  นอกจากนี้มีโลโก้ S 350d และมีเส้นโครมเมียมตัดที่ด้านท้ายและบริเวณที่เปิดท้ายรถจะมีกล้องมองหลังที่เก็บแบบป็อปอัพ นอกจากนี้ท้ายรถยังมีเซ็นเซอร์อีกด้วย โดยมีทั้งหมด 6 ตัว เป็นการช่วยถอยจอด และจอดอัตโนมัติ กันชนท้ายที่เราเห็นคล้ายท่อไอเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่แต่เป็นการออกแบบให้ดูหรูหราและดูโฉบเฉี่ยว ทำเป็นเหมือนช่องระบายอากาศ

    คราวนี้เราจะไปเปิดท้ายรถกันบ้าง ซึ่งสามารถใช้รีโมทเปิดได้ โดยการเปิดจะเป็นระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ด้านท้ายได้เพิ่มขนาดให้ใหญ่กว่ารุ่นก่อนนิดนึง ซึงเราจะเห็นได้ว่ามันจะเป็นช่วงยาวลึกลงไป และมีจุดเด่นสำหรับรุ่นใหม่คือสามารถเปิดหยิบของจากผู้โดยสารด้านหลังได้ ซึ่งเป็นช่องเปิดเล็กๆ ในรุ่นนี้ไม่มียางอะไหล่ให้แต่มีชุดซ่อมยาง บนฝาท้ายรถที่เปิดขึ้นจะมีสวิตซ์ไฟฟ้าให้กดเพื่อปิด และมีไฟส่องสว่างสำหรับเวลาเก็บของ 2 ดวง

    ต่อเข้าไปนั่งข้างในแล้ว สิ่งแรกที่รู้สึกได้เลยคือความว้าว เพราะข้างในมีการเปลี่ยนใหม่ ซึ่งแทบจะเรียกว่าได้เปลี่ยนใหม่หมดเลย ดีไซน์แดชบอร์ดด้านหน้าเราจะเห็นได้ว่าการดีไซน์มีการปรับเปลี่ยนในตัวหน้าจอระบบควบคุม ซึ่งรุ่นนี้เป็นแบบยาวคล้ายแท็บเลตทำให้มองเห็นได้ชัดกว่าโดยมีขนาด  12.8 นิ้ว การสั่งการควบคุม หรือระบบเครื่องเสียง ระบบนำทาง หรือแม้แต่ระบบการขับขี่ จะย้ายรวมไปอยู่ที่จอนี้ทั้งหมด ซึ่งรู้สึกได้ว่ามันมีความหรูหราเพราะว่าแดชบอร์ดใช้ลายไม้แบบเงา และแดชบอร์ดยังยาวต่อเนื่องลงไปข้างประตูรถ ทำให้ดูหรูหรา และสะดวกในการใช้งานระบบต่างๆ ในส่วนของพวงมาลัยในรุ่น Exclusive จะเป็นแบบกลมไม่ใช่พวงมาลัยทรงสปอร์แบบตสามก้านแบบ AMG

      เราจะไปต่อกันที่ระบบเครื่องเสียงจะเป็นการสั่งการจากหน้าจอสัมผัสทั้งหมด  โดยที่ปุ่มกดต่างๆ ได้หายไป  ซึ่งตัวหน้าจอเป็นหน้าจอแบบ OLED  เมื่อเราออกแสงแดดหรืออยู่ในที่มืด ความคมชัดของหน้าจอก็ยังชัดอยู่เหมือนเดิมและชัดกว่าหน้าจอปกติอีกด้วย ภายในหน้าจอจะมีระบบนำทาง ระบบรับโทรศัพท์ ระบบวิทยุ เชื่อมต่อสาระบันเทิงโดยที่ต่อกับ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้แบบไร้สาย และยังมีแอพช่วยเหลือของ Mercedes-Benz นอกจากนี้ยังมี Browser อีกด้วย และยังมีการตั้งค่าข้อมูลเกี่ยวกับรถต่าง ๆ ซึ่งสามารถสั่งการผ่านหน้าจอนี้ได้เลย โดยไฮไลท์ของหน้าจอนี้คือเปรียบเหมือนการนำหน้าจอคอมพิวเตอร์เข้ามาไว้ในรถคันนี้  ในส่วนของที่วางของจะมี wireless charger ให้สำหรับโทรศัพท์มือถือ มีพอร์ต USB-C มาให้ 2 พอร์ต และมีตัวช่วยที่ทำให้เราสามเชื่อมต่อข้อมูลโทรศัพท์กับหน้าจอได้เลย โดยที่ไม่ต้องต่อสาย

      การควบคุมก็จะเหมือนกับรถยนต์ทั่วๆไป สามารถควบคุมระบบสาระบันเทิง การรับ-วางสายต่างๆ ได้บนพวงมาลัย รวมไปถึงการควบคุมการขับขี่ต่างๆ นอกจากนี้เกียร์จะอยู่ฝั่งขวาของพวงมาลัยซึ่งรถยุโรปเกียร์จะไม่อยู่คอนโซลกลาง จะย้ายขึ้นมาข้างพวงมาลัยแทน ช่องแอร์ก็มีการดีไซน์ใหม่ทั้งหมด และปุ่มควบคุมระบบไฟหน้าจะอยู่ในด้านขวามือทั้งหมด ซึ่งออกแบบมาให้ต่อเนื่องรับกับตัวแดชบอร์ด พอดูแล้วจะให้ความลื่นไหล นอกจากนี้ยังมีไฟ Ambient Light รอบๆด้วย รวมไปถึงมีหลังคานซันรูฟ ไปที่กระจกมองหลังกันบ้าง ซึ่งเป็นกระจกตัดแสงอัตโนมัติตามสไตล์ Mercedes-Benz  ซึ่งดีมากเลยทีเดียว มีเบาะนั่งเป็นหนัง Nappa ลายข้าวหลามตัด และมีรูระบายอากาศมาให้ ซึ่งที่นั่งข้างคนขับสามารถปรับได้ 8 ทิศทางเช่นเดียวกันกับฝั่งคนขับ และยังมีระบบเป่าลมร้อนลมเย็นให้ด้วยซึ่งเราค่อนข้างชอบ เพราะหากเราขึ้นรถมาด้วยอาการที่ร้อน มีเหงื่ออก เราสามารถเป่าลมเย็นที่เบาะให้เย็นเร็วขึ้นซึ่งที่นั่งด้านหลังก็มีระบบนี้เช่นกัน นอกจานกี้เรื่องของการปรับสรีระต่างๆ จะเหมือนกับฝั่งคนขับหมด โดยเบาะจะมีความสารถในการจดจำการนั่งของแต่ละคนว่านั่งอย่างไร และปรับเบาะให้ตรงกับที่บุคคลนั้นนั่ง โดยสามารถจดจำได้ ทั้งหมด 3 ความจำ หรือ 3 คนนั้นเอง

     ไปดูห้องผู้โดยสารด้านหลังกันบ้าง เมื่อดูรวมๆแล้วนั้น มีความกว้างขวางมากขึ้นและการจัดแต่งด้วยโทนดำถูกใจเรามากทีเดียวเพราะมันจะสกปรกน้อย ส่วนเบาะต่างๆก็ใช้วัสดุแบบ Nappa ทั่วไป มีเจาะรูระบายอากาศ เป็นลายข้าวหลามตัด เมื่อลองนั่งรู้สึกได้ถึงสรีระที่ถูกตำแหน่ง พื้นที่บริเวณเข่าเหลือเยอะ ถัดมาที่วางแขนด้านหลังเมื่อเปิดขึ้นสามารถเก็บของได้แต่จะไม่มีตัว wireless charger  แต่มีช่อง USB-C ให้ 2 จุด ซึ่งที่วางแขนถ้าไม่ใช้ก็สามารถพับเก็บ   

     เราจะไปดูแผงข้างประตูกันต่อ จะมีพวกระบบควบคุม สั่งการ ตำแหน่งที่นั่งต่างๆ ซึ่งจะมีการจดจำที่นั่งทั้งหมด 2 ความจำ นอกจากนี้มีปุ่ม One Touch ที่จะปรับเบาะเอนนอน ซึ่งเป็นจุดขายของ S Class เลยก็ว่าได้ มันจะให้ความรู้สึกเหมือน Frist Class เรวมไปถึงยังมีหน้าจอทั้งตำแหน่งซ้าย และขวา ซึ่งเชื่อมต่อกันทั้งหมดแต่การทำงานสามารถแยกซ้ายขวาได้ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อฮอตสปอตไวไฟผ่านมือถือของเราได้ด้วย จุดน่าสนใจอีกอย่างคือแท็บเลตขนาด 7 นิ้ว ที่มีมาให้ในรถ นอกจากนี้สามารถเชื่อมต่อแท็บเลตตัวนี้กับตัวคอนโทลด้านหน้าเพื่อที่จะจำลองหน้าจอด้านหน้ามาอยู่ด้านหลัง ทำให้สั่งการส่วนต่างๆผ่านระบหน้าจอแท็บเลต 7 นิ้วตัวนี้ได้เลย

      และระบบปรับอากาศที่ห้องผู้โดยสารด้านหลังมีช่องปรับอากาศที่สามารถปรับความแรงลมได้ซ้ายขวา ปรับอุณภูมิได้ร้อนเย็นได้ ซึ่งเป็นจอดิจิทัลระบบสัมผัส นอกจากนี้มีช่อง HTMI มาให้ 2 จุด และช่อง USB-C อีก 2 จุด ถือว่าครบทีเดียว ในช่อง HTMI เราสามารถเสียบ harddisk ที่มีหนังหรือการ์ตูน และขึ้นหน้าจอได้เลย

     ส่วนลำโพงเป็น Burmester® 3D-Surround ซึ่งมีลำโพง 15 ตำแหน่ง ให้ความคมชัดราวกับอยู่ใน home theatre ที่คุณภาพสูงๆ  และมีหูฟังแบบไร้สายมาให้ด้วย ทำให้เราสามารถเลือกความเป็นส่วนตัวได้

ระบบความปลอดภัย

      ระบบความปลอดภัยด้านหลัง เป็นครั้งแรกของโลกที่ Mercedes-Benz S-Class มีถุงลมนิรภัยด้านหลังสำหรับผู้โดยสารด้านหลังมาให้เต็ม ๆ ระบบ adaptive cruise control มีการพัฒนาจากรุ่นเดิมซึ่งให้ความสมูท นุ่มนวล  และไม่ใช่ให้มาเพียงเท่านี้ ระบบความปลอดภัยต่างๆ ให้มาครบ มีกล้องอยู่ในรถเพื่อนจับสรีระของผู้ขับขี่ และมีระบบช่วยจอดฉุกเฉินอีกด้วย

การขับขี่ที่สมรรถนะเยี่ยม

     Mercedes-Benz S350d Exclusive  มีเครื่องยนต์ดีเซล แถวเรียง 6 สูบ มาพร้อม Turbo และ intercooler มีกำลัง 2925 ซีซี 286 แรงม้า  และแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม. เพียงแค่ 6.4 วินาที ซึ่งความเร็วสูงสุดทำได้ 250 กม./ชม. มีความจุถังน้ำมัน 76 ลิตร พื้นที่จุสัมภาระอยู่ที่ 540 ลิตร และระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ  9 จังหวะ หรือ 9G-TRONIC  ช่วงล่างจะเป็นถุงลมปรับอัตโนมัติตามรูปแบบการขับขี่ ซึ่งการทำงานคือจับอาการการขับขี่ของเราตามคันเร่ง ถ้าเกิดว่าขับรถความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม.รถก็จะปรับลดให้เตี้ยลงเพื่อที่จะลองรับ Arrow Dynamic และความเร็วสูงต่างๆ

    เราจะมาทดลองขับในโหมด comfort ซึ่งจะให้ความนุ่มนวล สามารถใช้ขับได้ประจำวัน เป็นระบบที่เราชอบมากสามารถขับได้เรื่อยๆ มีการปรับเซตให้รองรับแรงกระแทก หรือการสั่นสะเทือนของพื้นถนนให้น้อยที่สุดแต่คันเร่งจะดีกว่าโหมด Eco เพราะมีการตอบสนองที่ไวกว่า ในโหมด Eco นั้นจะมีความหน่วงนิดหน่อยแต่ในโหมดนี้ทำให้เครื่องยนต์ประหยัดเชื้อเพลิงมากที่สุด นอกจากโหมดนี้แล้วยังมีโหมด Dynamic ซึ่งรูปแบบการปรับช่วงล่างจะปรับตามการขับขี่ของเรา  ต่อไปอีกระบบคือ individual เป็นระบบที่ถ้าเราไม่พอใจในเรื่องของการปรับตัวแบบ Dynamic เราก็สามารถปรับเองได้ เชตช่วงล่าง ความหนืด ความหน่วงของพวงมาลัยเองได้ซึ่งสามารถปรับได้ตามสไตล์ตามความชอบของเรา

      เมื่อมองไปที่ถนนให้ความรู้สึกโล่ง กว้าง สามารถมองพื้นถนนด้านหน้าได้เต็ม ๆ เพราะแดชบอร์ดไม่ได้สูงทำให้มีทัศนวิสัยในการมองดีขึ้น นอกจานี้คันเร่งให้ความสมูท ลื่นไหล เพราะใช้ระบบเกียร์ 9G-TRONIC ซึ่งเป็นระบบใหม่ล่าสุดโดยที่เกียร์ตัวนี้ให้การเดินต่อเนื่องของแต่ละเกียร์ความสมูทมาก

     ต่อไปโหมด Sport พอเหยียบคันเร่งไปถึง 100 หรือมากกว่า 100 กม. รถจะปรับช่วงล่างให้เตี้ยลงเพื่อรับกับแรงปะทะของลมด้านหน้า พวงมาลัยก็ดีขึ้นตามสไตล์การขับขี่แบบความเร็วสูง การตอบสนองของเกียร์ก็จะไวขึ้น ถือว่าขับสนุกเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกขับรถสปอร์ตแต่เป็นรถขนาดใหญ่ เมื่อขับความเร็วสูงๆที่ 140 กม. ให้ความรู้สึกเหมือน 120 กม. ซึ่งเมื่อเบรกแล้วนุ่มนวล เหยียบแล้วไม่หัวทิ่ม

สรุปความน่าใช้

     ภาพรวมถือว่าขับได้ดี จากที่เราได้ขับเอง ซึ่งในราคา 6 ล้านกว่าถือว่าดีเลย ขับเองก็สนุก นั่งก็สบายและความเร็วมาทันใจ ไม่ได้อืดเพราะช่วงล่างเป็นแบบปรับตามความเร็วซึ่งถือว่าสบายมากและยังขับไม่เหนื่อยอีกด้วย เดินทางไกลก็ยังสบาย ในส่วนเสียงลมปะทะหรือเสียงรถที่ขับข้างนอกเก็บได้ดี อาจมีเสียงบ้างเล็กน้อยแต่เสียงที่เราได้ยินเลยคือเสียงยางที่บดถนน โดยที่เสียงเข้ามาในรถค่อนข้างชัดเจนในความเร็วต่ำและความเร็วสูง

    Mercedes-Benz S350d Exclusive  นี้ถือว่าตอบโจทย์คนที่กำลังมองหารถไว้ใช้งาน หรือว่ารถนั่งที่เป็นส่วนกลางภายใยครอบครัว สามารถใช้ภายในครอบครัวได้ดี ให้ความสะดวกสบาย สามารถใช้ในชีวิตประจำได้สบาย ดูเหมือนเป็นรถขนาดใหญ่แต่เมื่อขับแล้วให้ความรู้สึกเหมือนขับรถขนาดกลางอย่าง E-Class  

 

Exit mobile version