Go Anywhere กับนิสสัน ตะลุยมาเลเซีย 8 วัน 2,000 กม.

      กลับมาอีกครั้งกับกิจกรรม “Go Anywhere” รอบนี้ นิสสัน ประเทศไทย พาสื่อมวลชนไทยร่วมขับขี่รถยนต์ผจญภัยรอบประเทศมาเลเซียเป็นเวลา 8 วัน 7 คืน ระยะขับขี่ทางรวมกว่า 2,000 กิโลเมตร เพื่อทดสอบความแกร่งของรถยนต์นิสสัน 3 รุ่น ได้แก่ Navara, Terra และ X-Trail 

      การทดสอบขับขี่ภายใต้ธีม “Go Anywhere” หรือ “ลุยได้ทุกที่” ครั้งนี้ สื่อมวลชนต้องขับผ่านภูมิประเทศอันหลากหลายของมาเลเซียที่มีทั้งถนนลาดยางในเขตเมือง ทางหลวงระหว่างเมือง ทางคดเคี้ยวบนภูเขา ไปจนถึงการผจญภัยแบบออฟโรด เส้นทางรอบประเทศมาเลเซียเหล่านี้สามารถพิสูจน์สมรรถนะ ความสะดวกสบายในการขับขี่ และเทคโนโลยีอัจฉริยะจากการใช้งานจริงของรถยนต์นิสสันทั้ง 3 รุ่นได้อย่างครบถ้วน

       ในการเดินทางรอบประเทศมาเลเซียครั้งนี้มีสื่อมวลชนสายยานยนต์และไลฟ์สไตล์ร่วมผจญภัยหลายท่าน แบ่งการขับออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเริ่มขับจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ไปยังชายแดนไทย-มาเลเซียที่ด่านสะเดา เดินทางเข้าสู่รัฐเกอดะฮ์ (Kedah) ประเทศมาเลเซีย ก่อนเดินทางไปยังภูเขาเจไร (Mount Jerai) ปราสาทเคลลี (Kellie’s Castle) และกรุงกัวลาลัมเปอร์ กลุ่มที่สองขับจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังเมืองกวนตัน (Kuantan) ผ่านเมืองปุตราจายา (Putrajaya) และเมืองมะละกา (Malacca) ในขณะที่กลุ่มสุดท้ายเดินทางจากกวนตันผ่านเมืองกัวลาตรังกานู (Kuala Terengganu) ไปยังรัฐปีนัง (Penang) ก่อนที่จะข้ามชายแดนกลับสู่เมืองไทย WHATCAR? Thailand อยู่ในกลุ่มที่ 3 ได้ขับทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ระยะทางขับขี่กว่า 1,000 กม. ถือว่าเป็นกลุ่มที่ขับไกลที่สุด

       ม้าศึกในวันแรกได้แก่ Nissan Terra เอสยูวี 7 ที่นั่งลำยักษ์ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 190 แรงม้า และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน การขับขี่ไปตามเส้นทางที่หลากหลายเป็นเครื่องพิสูจน์สมรรถนะของ Terra เป็นอย่างดี อีกทั้งการจราจรเป็นแบบพวงมาลัยขวาและขับรถชิดทางด้านซ้ายเช่นเดียวกับประเทศไทยทำให้ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากนัก

      ไฮไลท์ของวันแรกคือการตะลุยเส้นทางออฟโรดในเขตอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย Taman Negara เราได้ใช้งานฟังก์ชั่นออฟโรดอย่างเต็มที่ทั้งฟังก์ชันการเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนขณะขับขี่ หรือ shift-on-the-fly ที่สามารถเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากสองล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อนสี่ล้อ (4H) หรือโหมดการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อที่ความเร็วต่ำ (4LO) ได้เพียงปลายนิ้ว

        นอกจากนี้ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System – TCS) ยังช่วยควบคุมการหมุนของล้อ เมื่อพบอาการล้อหมุนระบบจะช่วยลดความเร็วโดยอัตโนมัติหรือใช้เบรกเพื่อเรียกคืนการยึดเกาะ ทำให้รถอยู่ในการควบคุมและเคลื่อนที่ไปข้างหน้า และยังเสริมด้วยมาตรวัดการขับขี่บนทางออฟโรด (Off-road Meter) ที่ช่วยแสดงข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญรวมถึงมุมเอียงต่างๆ ในขณะขับขี่แบบออฟโรด

       วันที่สองเปลี่ยนมาขับ Nissan Navara เส้นทางในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นทางคดเคี้ยวผ่านภูเขาสูงซึ่ง Navara ก็แสดงสมรรถะที่แท้จริงจากอัตราเร่งที่ดีของเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ขับขึ้นเขาสูงชันสบายมาก เรี่ยวแรงมีเหลือๆ เกียร์อัตโนมัติทำงานนุ่มนวล พร้อมกับมอบความมั่นใจในการเข้าโค้งได้ดี 

        ปิดท้ายวันที่สามด้วยการขับ Nissan X-Trail รุ่นปรับโฉมล่าสุดปี 2019 ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีช่วยขับขี่และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ในการเดินทางบนทางหลวงเป็นระยะทางไกลๆ เราใช้เทคโนโลยีควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control – ICC) ซึ่งจะรักษาระยะห่างตามความเร็วของรถคันหน้าตามที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ ขณะที่เทคโนโลยีช่วยลดความเร็วอัตโนมัติ (Intelligent Engine Brake) จะเปลี่ยนเกียร์ลงอย่างนุ่มนวลเมื่อรถคันหน้าชะลอความเร็ว เทคโนโลยีทั้ง 2 อย่างนี้จะช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง 

         เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงและ Nissan Intelligent Mobility ได้ถูกใช้ประโยชน์ตลอดการทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Around View Monitor) ที่มอบมุมมองแบบ 360 องศา ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นมุมรอบคันของรถทั้งหมดได้อย่างง่ายดายเมื่อขับผ่านพื้นที่แคบ ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชันและเทคโนโลยีควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA และ Hill Descent Control – HDC) ป้องกันไม่ให้รถยนต์ไหลเมื่อขับขึ้นหรือลงพื้นที่ลาดชัน อีกทั้งเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ใช้ในการขับขี่ ได้แก่ เทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC) เทคโนโลยีกระจายแรงเบรก (Electronic Brake-force Distribution – EBD) ระบบเบรกกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System – ABS) เทคโนโลยีเสริมแรงเบรก (Brake Assist – BA) เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning – LDW) และเทคโนโลยีเตือนเมื่อมีวัตถุอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) เป็นต้น

       รถยนต์ทั้ง 3 รุ่นมาพร้อมระบบเชื่อมต่อ Nissan Connect รวบรวมระบบสำคัญต่างๆ ในรูปแบบดิจิตอล อาทิ ระบบนำทาง ระบบความบันเทิง และการรักษาความปลอดภัยให้ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงระบบอินโฟเทนเมนท์แบบ Alliance In-Vehicle Infotainment (A-IVI) ที่เชื่อมต่อข้อมูลอย่างรวดเร็วกับสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay กับแอพพลิเคชันอื่นๆ ให้สามารถเชื่อมต่อได้ผ่านหน้าจอพร้อมกับระบบเสียงแบบสเตอริโอ

       ตลอดเส้นทางเราใช้งานระบบนำทางของรถตลอดเวลา มันใช้งานได้จริง ข้อมูลถูกต้อง ช่วยให้วางแผนการเดินทางในเส้นทางแต่ละวันได้ดี และยังสามารถนำทางด้วยเสียงได้ในแบบ turn-by-turn ในทิศทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ระบบนำทางยังรองรับสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Recognition) ช่วยให้ค้นหาสถานที่ด้วยการสั่งงานด้วยเสียงได้อีกด้วย

        

        รถยนต์นิสสันทั้ง 3 รุ่นมอบการขับขี่ที่ปลอดภัยตลอดการเดินทางบนสภาพการขับขี่ที่หลากหลาย รวมถึงการใช้ความเร็วบนถนนลาดยาง ความสามารถในการยึดเกาะบนทางโค้ง และความสามารถในการขับขี่ออฟโรด สมรรถะที่ยอดเยี่ยมของรถยนต์แต่ละรุ่นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าการขับขี่ในประเทศมาเลเซียเป็นเรื่องง่าย เต็มไปด้วยความสะดวกสบายและความมั่นใจ เติมเต็มคำนิยาม Go Anywhere หรือ “ลุยได้ทุกที่” ได้อย่างแท้จริง

ขอขอบคุณ นิสสัน ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้

Gallery

Exit mobile version