Ford Everest MY2018 เครื่อง Bi-Turbo 213 แรงม้า เกียร์ 10 สปีด เริ่มต้น 1.299 ล้านบาท!

         ฟอร์ดเปิดตัว Everest MY2018 อย่างเป็นทางการ ภายนอกปรับไม่มาก ภายในเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ยัดหัวใจใหม่ เติมเต็มความปลอดภัยและความสะดวกสบายยิ่งขึ้น

         Everest โฉมปัจจุบันครองใจผู้ใช้รถชาวไทยมาตั้งแต่ปี 2015 เอสยูวีรุ่นนี้ถือเป็นรถที่ครบเครื่องและตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างแท้จริง มาวันนี้ถึงเวลาที่ต้องไมเนอร์เชนจ์ เป็นการไมเนอร์เชนจ์ที่เรียกได้ว่าพลิกวงการ สร้างความอือฮาอย่างใหญ่โตจนค่ายอื่นต้องสะดุ้ง

       Everest ใหม่ คือการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกลางไปอีกขั้น ด้วยประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่อย่างเหนือชั้นทั้งทางเรียบและออฟโรด ผสานกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ดีไซน์ที่โดดเด่น และห้องโดยสารที่หรูหราและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ดีไซน์เพื่อการใช้งาน

         รูปลักษณ์ภายนอกของ Everest ใหม่ มีการปรับปรุงไม่มาก มาพร้อมกับกระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ให้ความดุดันและหรูหรายิ่งขึ้น โดยในรุ่นเริ่มต้น Trend เป็นสีดำ รุ่นสูงขึ้นเป็นโครเมียม ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่แบบก้านคู่ (Split-Spoke) ขนาด 20 นิ้วพร้อมยางขนาด 265/50 R20 ไฟหน้า HID เลนส์โปรเจกเตอร์ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติที่ส่องสว่างกว่าไฟหน้าทั่วไป

         เสริมภาพความพรีเมี่ยมด้วยหลังคากระจกพาโนรามิกซันรูฟเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า, ไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลท์ แบบ LED ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้าย LED ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างบริเวณข้างตัวรถ

         ห้องโดยสารของ Everest ใหม่ ตกแต่งด้วยโทนสีดำ มอบความหรูหราให้แก่ห้องโดยสาร และยังเสริมความโดดเด่นด้วยเส้นสายรอบคัน อีกทั้งเพิ่มความนุ่มนวลของจุดสัมผัสต่างๆ ในห้องโดยสาร เพื่อความรู้สึกหรูหราและสะดวกสบายในการใช้งาน

         เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำ เบาะนั่งคนขับและเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งแถวที่ 2 พับแยกอิสระ 60:40 ปรับเอนและปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ เบาะนั่งแถวที่ 3 พับแยกอิสระ 50:50 ปรับพับด้วยระบบไฟฟ้า

ขุมพลังที่เหนือกว่า

         Everest ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ที่สามารถกระจายแรงบิดได้ดียิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งกำลังและเร่งความเร็ว ช่วยให้การขับรถบนทางลาดชันเช่นการขับรถขึ้นภูเขาที่ลื่นและลาดชัน ง่ายดายยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยแบ่งเป็น 2 รุ่นและตัดเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 และ 2.2 ลิตรเดิมออกไป

          รุ่นแรกเป็นเครื่องดีเซล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที

          อีกรุ่นที่สร้างความฮือฮาให้วงการเป็นอย่างมากคือเครื่องดีเซล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร Bi-Turbo เทอร์โบ 2 ตัวแบ่งการทำงานที่ความดันต่ำและความดันสูง ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดมหาศาลที่ 500 นิวตันเมตร

          ทั้ง 2 เครื่องยนต์ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ Manual Mode + – ที่หัวเกียร์ นอกจากนี้รุ่นเครื่อง 2.0 ลิตร Bi-Turbo ยังมาพร้อมขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time พร้อมระบบ Terrain Management System และเฟืองท้ายแบบ Electronic Locking Rear Differential

อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี

         Everest ใหม่ มอบความแข็งแกร่งของรถยนต์อเนกประสงค์ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะ คุณภาพของอุปกรณ์อันยอดเยี่ยม และสมรรถนะที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เพื่อมอบประสิทธิภาพและความคล่องตัวเมื่อขับขี่ในเมือง แต่ยังคงความแข็งแกร่งสมบุกสมบันอย่างเหนือชั้นเมื่อขับขี่ออฟโรด

         โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำประกอบด้วย ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ผสานระบบเบรกแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป

         ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) ทำหน้าที่คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ และเตือนผู้ใช้งานเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำมันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย

         ระบบประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ

          ตลอดจนกุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และขึ้นลงรถได้สะดวกสบายกว่าเดิม

         นอกจากฟีเจอร์ใหม่แล้ว Everest ใหม่ ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์รุ่นนี้ ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) และกล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า (Rear View Camera and Sensors)

        รวมถึงระบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอก (Active Noise Cancellation) ที่มอบห้องโดยสารที่ปราศจากเสียงรบกวน ซึ่งวิศวกรรมออกแบบให้ความสำคัญกับการลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์และระบบเกียร์ พร้อมพัฒนาซีลกันเสียงและวัสดุดูดซับเสียงภายในห้องโดยสารให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

อัพเกรดระบบสาระบันเทิง

        Everest ใหม่ทุกรุ่นย่อยได้รับการติดตั้งระบบสาระบันเทิง SYNC 3 รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบบลูทูธและ USB แสดงผลผ่านหน้าจอทัชสกรีนฟูลคัลเลอร์ขนาด 8.0 นิ้ว และแสดงภาพกล้องมองหลังในตัว ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถเมื่อออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ได้อีกด้วย SYNC 3 ยังมาพร้อมระบบจดจำเสียงและระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทยเพื่อการใช้งานที่คล่องตัวยิ่งขึ้น

            นอกจากนี้ระบบ SYNC 3 ยังได้รับการพัฒนามาขึ้นไปอีกขั้น ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

       Everest ใหม่ได้เพิ่มรุ่น Trend เข้ามาสำหรับตีตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่า รวมแล้ววางจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่นย่อยดังนี้

– รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,799,000 บาท

– รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,599,000 บาท

– รุ่น Titanium เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,439,000 บาท

– รุ่น Trend เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,299,000 บาท

       สีตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี รวมถึงสีใหม่ Diffused Silver Metallic และสีมาตรฐาน ได้แก่ Aluminum Metallic,  Absolute Black Metallic,  Arctic White, Sunset Metallic และ Blue Reflex Metallic

รายละเอียดของแต่ละรุ่นย่อย

รุ่น Trend เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ

อุปกรณ์มาตรฐาน ได้แก่

รุ่น Titanium เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ

อุปกรณ์มาตรฐาน (เพิ่มเติมจากรุ่นเทรนด์) ได้แก่

รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ

อุปกรณ์มาตรฐาน (เพิ่มเติมจากรุ่นไทเทเนี่ยม) ได้แก่

รุ่น Titanium+ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ

อุปกรณ์มาตรฐาน (เพิ่มเติมจากรุ่นไทเทเนี่ยม พลัส เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ)

        ลูกค้าที่ซื้อ Everest ใหม่ จะได้รับความคุ้มค่าและความสะดวกสบายด้วยบริการฟรีค่าแรงในการตรวจเช็คตามระยะ สูงสุดถึง 5 ปี หรือภายในระยะ 75,000 กิโลเมตร เพียงเข้าตรวจเช็คระยะทุก 15,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี

        Ford Everest MY2018 เปิดให้จับจองแล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการฟอร์ดทั่วประเทศ และพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 เป็นต้นไป

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.ford.co.thwww.facebook.com/fordthailand, www.twitter.com/fordthailand

Gallery

Exit mobile version