[First Drive] Peugoet 3008 & 5008 ครอสโอเวอร์พี่น้องจากเมืองน้ำหอม ส่งตรงประสบการณ์แตกต่างแบบฉบับยูโรเปี้ยน

          ยุคหนึ่งหากยังจำกันได้ รถยนต์ Peugoet โด่งดังอย่างมากในเมืองไทย ด้วยความเป็นรถยุโรปที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มีประวัติความเป็นมายาวนาน มีคุณภาพมาตรฐานระดับสูง และมีให้เลือกหลายโมเดลในตอนนั้น ทำให้รถยนต์ตราสิงโตนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก กาลเวลาล่วงเลยผ่านประกอบกับการทำตลาดที่ไม่แน่นอนทำให้ Peugoet ค่อยๆ เฟดตัวเองออกไปจากวงการรถยนต์เมืองไทยช้าๆ จนหายไปในที่สุด แต่แล้ววันนี้แบรนด์สิงห์ฝรั่งเศสกลับมาทำตลาดในเมืองไทยอีกครั้งภายใต้การบริหารงานของ เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เปิดประเดิมด้วยยนตรกรรมเอสยูวี 2 รุ่นได้แก่น้องเล็ก 3008 แบบ 5 ที่นั่ง และพี่ใหญ่ 5008 แบบ 7 ที่นั่ง โดยคนพี่นั่นได้รับรางวัล Large SUV of the Year 2019 จาก What Car? UK ด้วย การันตีถึงคุณภาพและความคุ้มค่าที่รถคันนี้มอบให้ได้เป็นอย่างดี

            เอสยูวีทั้ง 2 รุ่นนี้ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์เดียวกันคือเบนซิน ไดเร็คอินเจ็คชั่น PURE TECH 4 สูบ เทอร์โบ Twin Scroll ความจุ 1.6 ลิตร กำลังสูงสุด 167 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า มีโหมด M พร้อม Paddle Shift สำหรับเข้าเกียร์ด้วยตัวเอง การทดสอบในทริปนี้ เปอร์โยต์ ประเทศไทย พาเราไปสัมผัสยนตรกรรมเอสยูวีสายเลือดฝรั่งเศสบนเส้นทาง กรุงเทพ – เขาใหญ่ ระยะทางรวมประมาณ 200 กิโลเมตร โดยเราจะได้ขับทั้ง 2 รุ่น เป็นการวัดกันไปเลยว่ารถขนาดต่างกันแต่เครื่องยนต์เดียวกันความรู้สึกจะเป็นอย่างไร จะทำได้ดีแค่ไหน พร้อมกับทดลองใช้โหมดขับเคลื่อนต่างๆ กันแบบครบถ้วน

เอกลักษณ์การออกแบบ

            ดีไซน์แบบยุโรปถูกถ่ายทอดผ่านเส้นสายตัวถังอันพลิ้วไหวลากยาวจากด้านหน้าจรดด้านหลัง ไฟหน้า LED ปรับอัตโนมัติมีลักษณะคล้ายเขี้ยวสิงห์ ลงตัวกับไฟท้ายแบบกรงเล็บสิงโต Lion claws สร้างความโดดเด่นยามโลดแล่นบนท้องถนน เมื่อมองรูปลักษณ์โดยรวมของ 3008 และ 5008 จะพบว่ามันมีความเหมือนกันอย่างมากโดยเฉพาะด้านหน้ารถ การจำแนกรุ่นของเปอร์โยต์ใช้หลักการง่ายๆ เช่น 3008 ตัวเลขแรกคือซีรีย์ ตัวเลข 00 ตรงกลางคือการระบุว่าเป็นประเภทรถเอสยูวี ส่วนตัวเลขสุดท้ายคือรุ่นรถ ฉะนั้นชัดเจนว่าสองรุ่นนี้ต่างกันเรื่องของขนาดเท่านั้น โดยน้ำหนักของ 3008 อยู่ที่ประมาณ 1,290 กิโลกรัม ส่วน 5008 หนักกว่าประมาณ 60 กิโลกรัม

            ภาพลักษณ์แบบเอสยูวีสะท้อนออกมาบนเรือนร่างที่ได้รับการตกแต่งด้วยแร็คหลังคาสเตนเลส กาบกันกระแทกด้านข้าง และขอบโป่งล้อสีดำ 3008 จะดูสปอร์ตกว่าจากแนวหลังคาที่ลาดเอียงลงท้ายรถ ขณะที่พี่ใหญ่ 5008 ดูเป็นรถครอบครัวเต็มตัวจากแนวหลังคาที่ตัดตรง

            การออกแบบภายในของ 3008 และ 5008 สร้างความรู้สึกหรูหราพรีเมี่ยมตามแบบฉบับรถหรูจากทวีปยุโรป วัสดุที่ใช้มีคุณภาพสูง ส่วนใหญ่เป็นซอฟต์ทัช มีพลาสติกแข็งผสมบ้างในส่วนที่ไม่สำคัญ งานประกอบเนี๊ยบและแน่นหนา การออกแบบแดชบอร์ดหน้านั้นมีความโมเดิร์นมากๆ หน้าจอสัมผัสกลางแบบลอยตัว ชุดสวิตช์แบบก้านเปียโนสีเงินอะลูมิเนียม จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ช่วยให้การควบคุมระบบต่างๆ อาทิระบบปรับอากาศหรือระบบสาระบันเทิงกลายเป็นเรื่องง่าย จุดที่เท่สุดๆ ก็คือพวงมาลัยแบบตัดบนและล่างขนาดกะทัดรัด มันช่วยให้คล่องตัวยิ่งขึ้นขณะขับขี่

            ห้องโดยสารของ 3008 และ 5008 ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดดเด่นด้วยชุดหน้าปัดดิจิทัล i-Cockpit ขนาด 12.3 นิ้วที่สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลายรูปแบบ เช่น วัดรอบ วัดความเร็ว ระบบนำทาง รวมถึงข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญต่างๆ สามารถเลือกได้ว่าจะให้ข้อมูลใดแสดงผลตรงตำแหน่งไหนก็ได้ตามต้องการ จอนี้ควบคุมด้วยปุ่มหมุนฝั่งซ้ายบนพวงมาลัย ตำแหน่งของมันนั้นต่างจากรถทั่วไปเพราะอยู่เหนือพวงมาลัยทำให้ไม่ต้องมองผ่านช่อง หมดปัญหาพวงมาลัยบังหน้าจอ แถมกราฟิกและเมนูต่างๆ ยังดูง่าย ชัดเจน และสวยงามทันสมัย

            หน้าจอสัมผัสกลางมาพร้อมกับระบบความบันเทิงที่ลื่นไหล ใช้งานง่าย ฟังก์ชั่นครบ กราฟิกสวย จอมีความคมชัดสูง ตั้งอยู่ในระดับสายตาและเยื้องทำมุมเข้าหาผู้ขับเล็กน้อย ทำให้เข้าถึงการใช้งานได้ง่ายขณะกำลังขับรถ ถัดลงมาเป็นหัวเกียร์ขนาดกระชับมือที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่ายในระหว่างขับ โหมด M เป็นปุ่มกด ไม่มีตำแหน่ง +/- ให้โยก ใช้การควบคุมเกียร์ผ่านแป้นแพดเดิลชิฟท์แทน ถัดมาเป็นเบรกมือไฟฟ้าและปุ่มโหมด SPORT ทั้ง 3008 และ 5008 ยังมาพร้อมระบบ Advanced Grip Control เป็นโหมดการขับสำหรับสภาพพื้นผิวต่างๆ ใช้งานสะดวกด้วยปุ่มหมุนข้างคันเกียร์ ประกอบด้วย Normal, Snow, Mud, Sand และ ESP Off

 

ความสะดวกสบายและพื้นที่ภายใน

            เบาะคู่หน้าของ 3008 และ 5008 ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า ฝั่งผู้ขับมีตัวดันหลังไฟฟ้า พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ขึ้น-ลง-เข้า-ออก ตัวเบาะมีความนุ่ม นั่งขับนานๆ แล้วรู้สึกสบาย ทั้งยังโอบกระชับล็อกลำตัวได้ดี การเข้า-ออกรถทำได้อย่างสะดวกจากประตูที่ใหญ่และความสูงของรถที่เหมาะสม ไม่ต้องเขย่งหรือก้มตัวมุดเข้า พื้นที่ด้านหน้ามีความโปร่งสบาย หากยังโปร่งไม่พอใจก็เปิดหลังคาซันรูฟได้

            เบาะแถวสองออกแบบให้เลื่อนเข้า-ออกได้ พนักพิงปรับเอนได้ พื้นที่มีเพียงพอกับคนตัวสูง 180 ซม. เข่าไม่ชน ศีรษะไม่ติดเพดาน 3008 อาจจะรู้สึกกะทัดรัดกว่า แต่ 5008 คือที่สุดของความสบาย ตัวเบาะนั่งใหญ่ หนานุ่ม นั่งทางไกลสบายหายห่วง การเข้า-ออกรถง่าย เบาะตัวกลางดึงลงมาเป็นที่วางแก้วที่เท้าแขนไม่ได้ แต่เราชอบที่มันไม่มีอุโมงค็กลางมาเกะกะขา

            การเข้า-ออกเบาะแถวสามของ 5008 ทำได้อย่างสะดวกจากการที่เบาะสามารถพับเลือนมาข้างหน้าได้มาก พื้นที่เบาะแถวสามเหมาะกับเด็กๆ มากกว่า แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถนั่งได้ในระยะทางสั้นๆ ทั้ง 2 รุ่นมีประตูท้ายแบบไฟฟ้าควบคุมได้ทั้งจากรีโมทคอนโทรล สวิตช์ที่คอนโซลฝั่งผู้ขับ และการสอดเท้าไปใต้กันชนหลังโดยต้องพกกุญแจไว้กับตัว บานประตูมีระบบป้องกันการหนีบ

            ห้องเก็บสัมภาระของ 5008 ใหญ่สะใจ พื้นห้องราบเสมอขอบกันชน เมื่อพับเบาะแถวสองและสามลงก็จะได้พื้นที่ราบเสมอกันทั้งหมด กลายเป็นพื้นที่บรรทุกขนาดใหญ่ที่ใส่จักรยานทั้งคันยังได้ เบาะแถวสองพับแยกได้แบบ 50/50 เบาะแถวสามพับแยกได้แบบ 60/40

การขับขี่

          ทริปนี้เราเริ่มต้นด้วย 5008 ออกสตาร์ทจากศูนย์บริการ ไลอ้อน ออโตโมบิล ย่านเกษตร-นวมินททร์ ออกจากโชว์รูมปุ๊ปก็เจอกับรถติดปั๊ปแต่ 5008 กลับมอบความสุขสบายได้เป็นอย่างดี ที่ความเร็วคลานต่ำเครื่องยนต์และเกียร์มีความนุ่มนวล จังหวะเปลี่ยนเกียร์แทบไม่รู้สึก พวงมาลัยเบา หมุนควงเปลี่ยนเลนได้อย่างสบายมือ แม้จะเป็นรถ 7 ที่นั่งแต่ขนาดตัวก็ไม่ได้ใหญ่เหมือนพวกรถ PPV ดังนั้นการซอกแซกในเมืองยังคงทำได้อย่างสะดวก ตำแหน่งนั่งขับที่สูงช่วยให้มองเห็นหน้ารถได้ไกล เสา A-pillar ไม่หนามากนักจึงไม่บังมุมรถ มุมมองผ่านไหล่ไปกระจกหลังค่อนข้างโล่งดีเลย

         หลุดจากเกษตร-นวมินทร์ก็ตัดเข้าสู่มอเตอร์เวย์ เราได้ลองกดแบบเต็มๆ ซึ่งเจ้า 5008 ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะอืดอาดแต่อย่างใด เครื่อง 1.6 ลิตร เทอร์โบ ตอบสนองได้ค่อนข้างน่าประทับใจ อัตราเร่งไม่ได้จัดจ้านแบบกดคันเร่งแล้วดึงให้หลังติดเบาะแต่จะมาแบบนุ่มๆ ไหลๆ เกียร์ออโต้ 6 สปีดปรับเซ็ตอัตราทดเกียร์ต่ำ 1-2-3 มาค่อนข้างชิดกัน พอเกียร์ 4-5-6 อัตราทดจะกว้างขึ้น เกียร์นุ่มนวล ทุกจังหวะเปลี่ยนเกียร์แทบไม่มีการสะดุด ลองคิ๊กดาวน์ดูพบว่ามีการดีเลย์เล็กน้อยก่อนที่เกียร์จะลดลง 1 จังหวะพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ไม่มีมากนักแต่ยังพอที่จะเร่งแซงแบบไม่ต้องลุ้นจนเหนื่อย การตอบสนองของโหมด M จากการใช้แป้นแพดเดิลชิฟท์ฉับไวดี

          พอถึงนอกเมืองเราได้ลองเร่งออกตัวจากแยกไฟแดงซึ่ง 5008 ก็ทำได้กระฉับกระเฉงดี เร่งถึงความเร็ว 110 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นลองกดโหมด Sport ทันใดนั้นเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มขึ้นมานิดนึงเพื่อบ่งบอกว่าข้าพร้อมทะยานแล้ว สิ่งที่ได้รับคืออัตราเร่งติดที่เท้ามากขึ้น คันเร่งไวขึ้น เกียร์จะลากรอบยาวขึ้น ถ้าต้องการอรรถรสความสนุกลองกดปุ่ม M แล้วใช้ Paddle Shift ในการเปลี่ยนเกียร์จะช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงได้อีกพอสมควร และในโหมดนี้ยังกดคันเร่งคิ๊กดาวน์เปลี่ยนเกียร์ลงต่ำได้ เผื่อขับในโหมด M เพลินๆ แล้วต้องเร่งฉุกเฉิน

         พวงมาลัยรูปทรงอวกาศขนาดเล็กกะทัดรัด การใช้งานไม่ต่างจากพวงมาลัยปกติ วงพวงมาลัยที่เล็กทำให้คล่องมือขึ้นด้วยซ้ำ ประหยัดแรงหมุนดีออก พวงมาลัยแปรผันความหนืดตามความเร็วได้ดี จากที่เบาในตอนความเร็วต่ำพอขับความเร็วสูงก็หนักขึ้น ช่วยให้มั่นคงไม่วูบวาบได้เป็นอย่างดี ระยะฟรีของพวงมาลัยมีเหมาะสมเพื่อความนุ่มนวลและก็มีความแม่นยำเมื่อต้องเข้าโค้ง

        ที่ผิดคาดไปนิดคือระบบกันสะเทือน ทีแรกเรากะว่ามั่นต้องนุ่มมากๆ แน่ แต่เอาเข้าจริงมันออกแนวแน่นเฟิร์มแต่ไม่แข็งกระด้าง ประกอบกับยางที่ให้มาเป็นแบบกึ่งลุยจึงเพิ่มความแข็งขึ้นมาอีกนิด การดูดซับแรงสะเทือนต่างๆ อย่างการรูดผ่านฝาท่อ หลุม เส้นจราจร รอยปะถนน ยังคงซับแรงได้ดี โดดคอสะพานก็ยุบทีเดียวแล้วนิ่ง ข้อดีคือมันให้ความมั่นใจได้ดีมากเมื่อหวดความเร็วสูง รถจะนิ่ง เกาะถนนหนึบ ไม่โคลง ไม่ส่าย ทั้งทางตรงและในโค้ง ยิ่งพอผ่านช่วงถนนธนะรัชต์ก็รู้เลยว่าขับสนุก อาการโยนมีไม่มาก และผู้โดยสารก็ไม่รู้สึกเวียนหัว

         ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ จับตัวเร็วไปนิดเมื่อเหยียบแป้นเบรก ขับแรกๆ พอเบรกแล้วผู้โดยสารหัวทิ่มหัวตำ ต้องปรับตัวสักพักจึงเบรกได้นุ่มนวล เบรกหนึบเอาอยู่ทุกช่องความเร็ว ในส่วนของการป้องกันเสียงรบกวนของ 5008 นั้นอยู่ในระดับเดียวกับรถหรูจากค่ายเยอรมัน ถ้าขับไม่เกิน 100 กม./ชม. จะไม่มีทางได้ยินเสียงลมเล็ดลอดเข้ามา เสียงยางที่ความเร็วเดียวกันนี้เริ่มดังแทรกเข้ามาบ้าง ผู้โดยสารเบาะหลังจะได้ยินชัดกว่าผู้ขับ เสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างเงียบ จะดังให้ได้ยินแบบชัดๆ ก็ต่อเมื่อกดคันเร่ง

        เมื่อมาถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ก็ได้เวลาสลับมาขับน้องเล็ก 3008 ความรู้สึกโดยรวมเมื่อเปิดประตูเข้ามานั่งไม่ค่อยต่างจาก 5008 มากนัก ตำแหน่งนั่งขับอาจเตี้ยกว่าหน่อยแต่พวกมุมมองต่างๆ ยังคงชัดเจนรอบทิศทาง เส้นทางช่วงนี้เป็นการขึ้นทางชันสลับกับโค้งมากมาย ความเร็วที่ใช้ก็ตามที่อุทยานกำหนด เราจึงได้ทดสอบการบังคับควบคุมของเจ้า 3008 กันแบบเต็มๆ

         เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ ให้พละกำลังเหลือๆ กับการขับขึ้นเขาใหญ่ เรี่ยวแรงมีให้เรียกใช้ได้ตามสั่ง ประกอบกับตัวรถที่มีขนาดเล็กกว่าด้วยจึงรู้สึกว่ากระฉับกระเฉงกว่า 5008 อยู่เล็กน้อย การขับขึ้นทางลาดชันถ้ารถมีโหมดเกียร์ M ก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์เพราะมันจะช่วยให้ขับง่ายขึ้น การตอบสนองจากการใช้แพดเดิลชิฟท์ทำได้อย่างรวดเร็ว ช่วงนี้เราจึงเล่นเกียร์กันอย่างสนุกสนาน ช่วงลงเนินก็คาเกียร์ต่ำไว้ช่วยหน่วงความเร็วเป็นการลดภาระเบรกอีกแรง

        การขับทางคดเคี้ยวด้วย 3008 เป็นเรื่องสนุกกว่าที่คิด รถมีความคล่องแคล่ว ขับง่าย ช่วงล่างไม่โยนมากเมื่อสาดเข้าโค้ง แถมยังรู้สึกหนักแน่นและปลอดภัย พวงมาลัยที่มีอัตราทดเหมาะสมทำให้กะจังหวะเข้าโค้งได้ง่ายแถมยังแม่นยำ ทำให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ระบบเบรกยังจับตัวไวเหมือนรุ่นพี่ 5008 ต้องปรับตัวสักพักจึงจะเบรกได้อย่างนุ่มนวล

         ระหว่างเส้นทางทดสอบบนเข้าใหญ่มีการแวะลองระบบ Advanced Grip Control บนทางลาดชันที่เป็นหินลอย เป็นเส้นทางที่ทางเปอโยต์จัดไว้ให้ ระบบจะปิดและเปิดการทำงานของ ESP โดยอัตโนมัติเพื่อให้รถสามารถตะกุยไต่หินขึ้นไปได้ พร้อมกันนี้ยังได้ลองระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อลงทางลาดชัน Hill Descent Control ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มาก

         สำหรับการขับทางราบปกตินั้น 3008 ยังมีคาแร็กเตอร์แบบ 5008 คือนุ่มนวล ช่วงล่างแน่นเฟิร์มแต่ไม่กระด้าง สิ่งที่ต่างคือความล่องตัวที่เพิ่มขึ้น อัตราเร่งที่ไวขึ้น การป้องกันเสียงรบกวนยังดีเยี่ยมเช่นเดียวกัน

สิงโตกลับมาแล้ว

            3008 และ 5008 เป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีแบรนด์รถยุโรปที่เคยโด่งดังในอดีต ทั้ง 2 รุ่นเป็นคู่ซี้พี่น้องที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านรูปลักษณ์ภายนอก ความโมเดิร์นของห้องโดยสาร รวมถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยหลายๆ อย่าง ในด้านสมรรถนะ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบของรถทั้ง 2 รุ่นให้การตอบสนองที่ดี นุ่มนวล ขับทางไกลขึ้นเขาลงห้วยได้ไม่มีปัญหา ช่วงล่างแน่นเฟิร์ม การบังคับควบคุมดี 5008 นั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่ชอบเดินทาง ขณะที่ 3008 นั้นก็ได้ทั้งใช้งานในเมืองและขับขี่ท่องเที่ยวต่างจังหวัด โดยรวมแล้วนี่คือตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

            การเลือกเปิดตัวด้วยรถเอสยูวีของเปอร์โยต์ ประเทศไทย คือการวางหมากธุรกิจที่ถูกต้องเพราะตอนนี้กระแสเอสยูวีกำลังมาแรง ราคาเริ่มต้น 1.549 ล้านบาท ของ 3008 และ 1.749 ล้านบาท ของ 5008 ขี้ชัดว่าเปอร์โยต์ไม่ได้ต้องการจะไปเล่นในกลุ่มตลาดบนที่มีแบรนด์เยอรมันรอต้อนรับอยู่ แต่เลือกตีตลาดรถญี่ปุ่นในกลุ่ม C-SUV ด้วยการนำเสนอจุดเด่นที่เป็นรถยุโรประดับพรีเมี่ยมในราคาต่ำกว่า 2 ล้าน แถมมี 7 ที่นั่งด้วย นับว่าเป็นราคาที่คนทั่วไปสามารถจับต้องได้ ถ้าคุณกำลังมองหารถยุโรปดีๆ ในราคาไม่โอเวอร์ Peugeot 3008 และ 5008 นี่แหละใช่ที่สุด

ขอขอบคุณ เปอร์โยต์ ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้

ดูข้อมูลรถยนต์ Peugeot 3008 และ 5008 ได้ที่ www.peugeot.co.th หรือ www.facebook.com/PeugeotThailand/ 

Gallery

Exit mobile version