First Drive – Mitsubishi Triton ลุยทางออฟโรดกับกระพันธุ์แกร่งรุ่นใหม่ล่าสุด

            หลังจากเปิดตัวได้เพียง 24 ชม. มิตซูบิชิ ประเทศไทย จัดกิจกรรม Triton / L200 Global Launch Ceremony ทดสอบความแกร่งของ Triton ใหม่ทันทีเพื่อไม่ให้ขาดความต่อเนื่อง กับการขับขี่ในแบบออฟโรดบุกตะลุยไปตามฐานต่างๆ ที่จัดมาเพื่อท้าทายประสิทธิภาพของรถโดยเฉพาะ

            การทดสอบครั้งนี้ทางมิตซูบิขิเนรมิตพื้นที่ใกล้กับทะเลสาบเมืองทองธานีเป็นสนามทดสอบสไตล์ออฟโรดเต็มรูปแบบ ซึ่งมีทั้ง Flat Dirt Course เส้นทางทดสอบในเรื่องอัตราเร่ง การบังคับควบคุม รวมถึงระบบช่วงล่างบนถนนราบที่เต็มไปด้วยฝุ่น กรวด หิน ดิน ทราย และแบบ Off-Road Obstacle Course ขับตามฐานออฟโรดวนไปทั้งหมด 4 ฐาน งานนี้ได้รู้กันถึงความสามารถในการตะลุยปีนป่ายของ Triton ใหม่กันอย่างเต็มที่

            แน่นอนว่ารถที่เราได้ทดสอบต้องเป็นรุ่นท็อป Triton Double Cab GT-Premium 4WD แต่ก่อนจะไปทดสอบ มาดูกันว่า Triton ตัวท็อปรุ่นนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง

เสริมภาพลักษณ์ออฟโรด

            เริ่มด้วยจุดขายหลักของรถที่เราต้องทดสอบมันในวันนี้นั่นก็คือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD-II ที่มีการเสริมประสิทธิภาพเข้ามาใหม่ด้วยโหมดออฟโรด 4 รูปแบบ ระบบขับเคลื่อนนี้เป็นการผสมผสานระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์และฟูลไทม์เข้าไว้ด้วยกัน ควบคุมการปรับโหมดด้วยระบบไฟฟ้า โดยเลือกปรับได้ระหว่าง 2H ขับเคลื่อน 2 ล้อปกติ, 4H ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-Time All Wheel Control เหมาะสำหรับพื้นเปียกลื่น ช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้ดีขึ้น, 4HLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูง เหมาะสำหรับขับทางราบที่พื้นผิวไม่เรียบ ทางลูกรัง และ 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วต่ำ เหมาะสำหรับปีนป่ายอุปสรรค เนินชัน หรือก้อนหิน

            ในส่วนของโหมดออฟโรด 4 รูปแบบที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ประกอบด้วย Gravel, Mud/Snow, Sand และ Rock (เฉพาะ 4LLc เท่านั้น) คุณสามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ให้ตรงกับพื้นผิวที่ต้องขับได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย นอกจากนี้ Triton ใหม่ ยังมาพร้อมกับระบบล็อกเฟืองท้าย (Rear Differential Lock) และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันเข้ามาด้วย

            มาต่อกันที่ดีไซน์ภายนอก ชัดเจนว่า Triton ใหม่ ทำศัลยกรรมปรับหน้าตาใหม่ทั้งหมด โดดเด่นด้วยดีไซน์หน้ารถแบบโล่ที่มีชื่อเท่ๆ ว่า Advance Dynamic Shield ให้ความเท่ บึกบึน สื่อถึงความแข็งแกร่งได้ตรงตามคอนเซ็ปต์ แม้จะเหมือนการเอา Pajero Sport และ Expander มาฟิวชั่นกัน แต่เรามองว่ามันดูดีขึ้นจากรุ่นก่อนมาก และทำให้รถยนต์มิตซูบิชิมีรูปลักษณ์ไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมดด้วย

            ด้านข้างและท้ายรถปรับดีไซน์ใหม่หมดเช่นกัน จุดที่เราชอบมากคือล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 18 นิ้ว ลวดลายบ่งบอกถึงความเท่แบบฉบับรถออฟโรดตัวจริง พร้อมสวมยางไซส์ 265/60/R18

            ขณะที่ภายในไม่ได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์อะไรมาก มีเพียงการเพิ่มคุณภาพของวัสดุตัดเย็บให้ดูดีขึ้น และเพิ่มช่องแอร์เพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพื่อความเย็นสบายอย่างทั่วถึง

            ห้องโดยสารมีความกว้างขวาง ตัวถังดีไซน์ใหม่ไม่ได้มีผลต่อทัศนวิสัยรอบคันแต่อย่างใด เมื่อขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยจะรู้สึกได้ถึงมุมมองด้านหน้าที่กว้างไกล ความสูงของรถทำให้ขับง่าย กะระยะต่างๆ ไม่ยากจนเกินไป

ปรับปรุงสมรรถนะ

            Triton ใหม่ยังคงใช้เครื่องยนต์เดิม MIVEC Clean Diesel 2.4 ลิตร 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดใหม่ (เดิม 5 สปีด) มี Sport Mode ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง จุดที่อัพเกรดใหม่คือระบบเบรก มีการเพิ่มขนาดจานหน้าให้ใหญ่ขึ้นและใส่คาลิเปอร์ 2 Pot (เดิม 1 Pot) และปรับโช็คอัพหลังให้มีขนาดแกนที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับแรงกระแทกจากการขับออฟโรด

            นอกจากนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่หลายรายการ อาทิ ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว, ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา, ระบบช่วยเตือนขณะเปลี่ยนเลน, ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด, กล้องมองภาพรอบคัน และเซ็นเซอร์ช่วยในการถอยจอด เป็นต้น

ผู้พิชิตทุกอุปสรรค

            มาถึงการทดสอบกันดีกว่า เราจะได้ขับทั้งหมด 2 คอร์ส ในคอร์สแรกเป็นการขับตามฐานทั้งหมด 4 ฐาน เริ่มฐานแรกด้วยด้วย Up Down Hill ทดสอบขึ้นทางชันสูงและทดสอบระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน เราหมุนแป้นเลือกโหมด 4LLc แล้วค่อยๆ ไต่ขึ้นไปตามทางชันอย่างนุ่มนวล เมื่อถึงจุดสูงสุดเรากดปุ่มระบบ HDC สัญลักษณ์จะติดขึ้นที่หน้าปัด ก่อนจะค่อยๆ ขับลงอย่างช้าๆ ระบบ HDC จะเข้ามาช่วยไม่ให้รถไหลลงทางชันเร็วเกินไป คุณสารมารถปล่อยเท้าออกจากเบรกได้เลยขณะรถกำลังไหลลงทางลาดชัน หากรู้สึกว่าความเร็วมันสูงเกินไป ก็แตะเบรกเพิ่มเข้าไป ให้ถึงความเร็วที่ต้องการและปล่อยเท้าออกจากเบรก รถก็จะควบคุมความเร็วให้ตามที่เราต้องการ กระบวนการทั้งหมด Triton ของเราทำงานได้อย่างราบรื่นและนุ่มนวล

            มาต่อกันที่สถานี Bank Slope เนินข้างเดียวที่มีความชันประมาณ 30 องศา ทดสอบการทรงตัวของรถ เราเลือก 4LLc เหมือนเดิมแล้วค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอย่างช้า ความรู้สึกอาจจะเสียวๆ หน่อย แต่ถือว่า Triton ยังจัดการกับการถ่ายเทน้ำหนักขณะตะแคงได้ดี การทรงตัวดี แล้วเราก็ผ่านฉลุยกับด่านนี้

            สถานีที่ 3 เป็น Twist Track ที่มีจะคล้ายกับ Bank Slope เมื่อฐานก่อน แต่จะเป็นเนินสลับซ้าย-ขวา คราวนี้เพิ่มความท้าทายให้กับรถและคนขับเพิ่มขึ้นไปอีก เราค่อยเคลื่อนรถช้าๆ ผ่านเนินทางซ้ายก่อนจะต่อด้วยเนินทางขวา มีจังหวะหนึ่งที่ล้อไม่ติดพื้น แต่กำลังของ Triton ไม่มีตก สามารถเคลื่อนผ่านไปได้โดยไม่ยากเย็น สังเกตได้ว่าช่วงล่างจะคอยซัพพอร์ทไม่ให้ห้องโดยสารโยกเยกไปมาจนมากเกินงาม ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพการควบคุมสูงสุดนั่นเอง

 

            สถานีสุดท้าย Suspension Stroke เป็นเนินกระดกสลับซ้าย-ขวาสำหรับทดสอบการทำงานของระบบ TCS เราขับอย่างช้าๆ เช่นเคย เมื่อมีล้อใดล้อหนึ่งลอยไม่ติดพื้น ระบบจะเข้ามาตัดการส่งกำลังที่ล้อนั้น แล้วถ่ายกำลังไปให้ล้ออีกฝั่งที่ยึดเกาะพื้นอยู่ เพื่อให้รถสามารถตะกุยให้ไปต่อได้

            สถานีทั้ง 4 นี้เป็นมาตรฐานในการทดสอบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของรถยนต์ทั่วไป ซึ่ง Triton ใหม่ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันสามารถพิชิตอุปสรรคเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่สมรรถนะที่แท้จริงกำลังรออยู่ที่คอร์สต่อไปต่างหาก

จิตวิญญาณแรลลี่

                หลังจากจบ Off-Road Obstacle Course ความตื่นเต้นก่อตัวเพิ่มขึ้นทันทีเพราะเราต้องมาเจอกับ Flat Dirt Course เป็นการขับบนทางฝุ่น 1 รอบสนาม ระยะทาง 800 ม. ใน 1 รอบจะประกอบไปด้วยทางตรง, โค้ง และเนินกระโดดขนาดเล็ก แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่มันก็ชวนให้นึกถึงการแข่งแรลลี่ได้เล็กๆ เหมือนกัน

            ก่อนทดสอบในคอร์สนี้ เราได้รับเกียรติจาก Mr.Hiroshi Masuoka นักแข่ง Dakar Rally ทีมบิตซูบิชิมาสาธิตการขับฉบับโปรให้ดูก่อนเป็นขวัญตา บางจังหวะลีลาทำให้เรานึกถึงรถแข่ง Pajero ใน Dakar Rally ขึ้นมาจับใจ และเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่ากระบะญี่ปุ่นราคาไม่ถึง 1.1 ล้านบาทก็บินได้เช่นเดียวกระบะอเมริกันราคาเกือบ 1.7 ล้านเหมือนกัน

            ถึงตาเราแล้ว เราก้าวขึ้นนั่งประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยพร้อมกับ Instructor ที่จะมาคอยให้คำแนะนำในการขับ ก่อนจะปรับเป็น 4HLc จับคู่กับโหมดขับขี่ Gravel

            เรื่องสมรรถนะอัตราเร่งต่างๆ อาจจะไม่ได้ทดสอบชัดเจนนักเพราะสนามค่อนข้างสั้น แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นช่วงล่างที่ให้ความหนึบแน่นและซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าเดิมเล็กน้อย การทรงตัวขณะเข้าโค้งต่างๆ ทำได้ดี จังหวะลงจากเนินกระโดดรถไม่โดดเด้งมากนัก มีการยุบตัวเพียง 1-2 ครั้งก่อนจะกลับมานิ่งสนิทตามเดิม

            เท่าที่สัมผัสได้ เกียร์ 6 สปีดใหม่มีความต่อเนื่องนุ่มนวลกว่าเกียร์ 5 สปีดเดิมเล็กน้อย อัตราทดเกียร์ 1-3 จะกระชับกว่า พวงมาลัยมีน้ำหนักเหมาะสม ควบคุมง่าย มีความว่องไวพอสมควร ทำให้กะจังหวะเข้าโค้งได้ง่าย ส่วนระบบเบรกจากที่มีการอัพเกรดใหม่ รู้สึกได้ถึงน้ำหนักการหน่วงความเร็วที่ดีขึ้น เบรกไม่ลึกทำให้ควบคุมระยะได้ง่าย ให้ความมั่นใจได้เป็นอย่างดีแม้จะวิ่งบนทางฝุ่นตลบ

            เมื่อลองขับจริง 1 รอบสนามระยะทาง 800 เมตร ทำไมมันถึงสั้นและจบเร็วจัง Triton ใหม่พาเราแหวกว่ายบนทางฝุ่นได้อย่างน่าประทับใจ การอัพเกรดประสิทธิภาพใหม่ทั้งระบบเบรก เกียร์อัตโมติ 6 สปีด และโช๊คอัพหลัง เห็นผลได้ทันทีเลยว่ามันขับดีขึ้นจริงๆ

กระบะที่ชาวออฟโรดไม่ควรมองข้าม

            การทดสอบวันนี้ทำให้เราได้รู้จักตัวตนอีกด้านของ Triton เรื่องรูปลักษณ์เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าดูดีขึ้นขนาดไหน แต่ความโดดเด่นที่แท้จริงก็คือความสามารถด้านการขับขี่แบบออฟโรดนี่แหละ รถคันนี้สามารถพาผู้เป็นเจ้าของบุกป่าฝ่าดงไปได้ทุกที่โดยไม่สร้างความกังวลให้เลยแม้แต่น้อย ภาพจำของมิตซูบิชิกับรถแข่งแรลลี่ในอดีตสะท้อนออกมาเป็นส่วนหนึ่งในกระบะ Triton รุ่นใหม่นี้

            ตอนนี้มิตซูบิชิกำลังนำเสนอความแกร่งและความสามารถด้านการขับขี่ออฟโรดให้เป็นจุดขายของหลัก Triton รุ่นใหม่ พวกเขากำลังมาถูกทางเพราะคู่แข่งอื่นๆ ก็ไม่ได้เน้นด้านนี้มากนัก จากที่เราได้สัมผัส บอกได้เลยว่านี่คือกระบะออฟโรดสัญชาติญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในตลาดแล้วตอนนี้ ดังนั้นถ้าคุณต้องการออฟโรดฟังก์ชั่นครบๆ ราคาสมเหตุสมผล หน้าตาหล่อเหลา ปัญหารบกวนไม่ค่อยมี ชื่อของ Mitsubishi Triton เป็นชื่อหนึ่งที่คุณต้องพิสูจน์ และไม่ควรมองข้ามโดดเด็ดขาด

Gallery

Exit mobile version