[First Drive] MG HS ความพรีเมี่ยมที่เหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น ขับดีที่สุดในแบรนด์ MG ณ ขณะนี้

      ดูเหมือนว่าการมาของ MG HS จะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดเอสยูวีขนาดกลางได้ไม่น้อยจากกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมในวงกว้าง ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก GS ความพรีเมี่ยมของภายในห้องโดยสารที่สามารถทลายกำแพงมาตรฐานเดิมๆ ของรถยนต์กลุ่ม C-SUV ที่มีขายในตลาดลงได้อย่างราบคาบ ออปชั่นที่เหนือกว่าคู่แข่งเจ้าตลาด รวมถึงกลยุทธ์ด้านราคาสุดช็อค ส่งผลให้ลูกค้าจำนวนไม่น้อยต่างพากันสลัดน้ำหมึกลงบนใบจองตั้งแต่วันแรกๆ ของการเปิดตัว

      เราเริ่มเห็น MG HS ป้ายแดงวิ่งบ้างแล้วบนถนนหลังจากเปิดตัวไปยังไม่ถึง 2 เดือนดี แสดงให้เห็นว่าลูกค้าก็มีความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งและก็รถยนต์มีพร้อมส่งมอบทันทีไม่ต้องรอ และเพื่อเป็นการตอกย้ำในด้านสมรรถนะการขับขี่ ทางเอ็มจี ประเทศไทย จึงได้เนรมิตกิจกรรมทดสอบขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเคยเปิดให้ลองขับแบบ Sneak Preview ไปแล้วก่อนหน้านี้ ทริปนี้เดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ไปพร้อมกับ MG HS รุ่น X ตัวท็อป ราคา 1,119,000 บาท ไปดูกันว่าการขับขี่จริงออกต่างจังหวัดและขับขึ้นเขาใหญ่ของเจ้า MG HS จะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน

พละกำลังเหลือๆ

      ใต้ฝากระโปรงของ MG HS เป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 162 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,400 รอบต่อนาที เครื่องบล็อกนี้มีความนุ่มนวลและเงียบเมื่อขับในเมือง อัตราเร่งมาแบบนุ่มๆ เพียงพอให้เร่งแซง เร่งออกตัวจากแยกไฟแดงโดยไม่รู้สึกอืด ระบบเกียร์ TST (Twin Clutch Sportronic Transmission) แบบ 7 สปีด ส่งกำลังนุ่มนวลไร้รอยต่อ จะมีแอบสะดุดเล็กๆ ในขณะลดเกียร์ 2 ไป 1 ที่ความเร็วต่ำ

      การขับขี่ในเมืองวัดสมรรถนะอะไรมากไม่ได้ เราจึงลองกดจริงๆ บนมอเตอร์เวย์ซึ่งเจ้า HS ก็ตอบสนองได้อย่างฉับไว การคิ๊กดาวน์มีดีเลย์เล็กน้อยก่อนเกียร์จะลดลง 1 จังหวะ รอบเครื่องดีดสูงขึ้น แรงดึงที่ได้ไม่หนักแน่นมากนักแต่ก็เพียงพอกับการเร่งแซงรถพ่วงขนาดยาวได้แบบสบายๆ การซอกแซกเปลี่ยนเลนบนมอเตอร์เวย์ก็ทำได้อย่างกระฉับกระเฉง รถมีความเกาะถนและให้ความมั่นใจได้บนความเร็วสูง

         บนถนนสายรองเราได้ลองกดคันเร่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่งซึ่งเจ้า HS พุ่งทะยานสู่ความเร็ว 100 กม./ชม. ภายในเวลาไม่นาน ความรู้สึกคือมันว่องไวเทียบเท่ารถเอสยูวีจากค่ายญี่ปุ่นที่มีเครื่องยนต์ใหญ่กว่า และเราก็ได้ลองกดปุ่ม SUPER SPORT สีแดงที่พวงมาลัย สิ่งที่ได้คือการตอบสนองของเกียร์และคันเร่งที่ไวขึ้น เกียร์ลากรอบสูงขึ้นจากโหมดปกติ จังหวะยกคันเร่งจะมีอาการเย่อยึกยักเล็กน้อยซึ่งนี่เป็นลักษณนิสัยปกติของรถสปอร์ตกำลังสูง เราแปลกใจไม่น้อยเลยที่รถมีอาการแบบนี้ด้วย ขณะเดียวกันนั้นเข็มวัดรอบกับความเร็วและสีไฟในห้องโดยสารเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อให้อารมณ์สปอร์ตแบบจริงจัง

        เส้นทางช่วงขึ้นเขาใหญ่เป็นตัวชี้วัดกำลังของรถยนต์ได่เป็นอย่างดีซึ่งเจ้า HS ก็มีที่ท่าราวกับว่าทางลาดชันนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคกับมันเลย กำลังของเครื่องมีเหลือๆ เกียร์ D ก็ยังขึ้นเนินไหว เกียร์จะเปลี่ยนลงต่ำให้เองเมื่อรู้สึกว่ากำลังเริ่มตก แต่ถ้าคุณอยากควบคุมด้วยตัวเองก็ตบเกียร์ไปตำแหน่ง S แล้วควบคุมผ่านแป้นแพดเดิลชิฟท์จะทำให้ขับง่ายและสนุกขึ้น การตอบสนองของแพดเดิลชิฟท์มีความฉับไวดี จังหวะลงเนินก็ควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อช่วยหน่วงความเร็วของรถและช่วยลดภาระของเบรก ข้อควรรู้คือแพดเดิลชิฟท์จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง S เท่านั้น

ช่วงล่างยังยอดเยี่ยมเช่นเคย

      จุดเด่นของรถ MG หลายๆ รุ่นก็คือคุณภาพของช่วงล่างซึ่งเจ้า HS ก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจเลยทีเดียว ที่ความเร็วต่ำมันซับแรงสะเทือนจากอุปสรรคบนท้องถนนได้ดีในระดับต้นๆ ของคลาส สะเทือนน้อยเมื่อตกร่องและฝาท่อ เสียงช่วงล่างดังตุบแบบแน่นๆ จังหวะโดดคอสะพานก็ไม่กระเด้งกระดอนจนหน้าหวาดเสียว พอใช้ความเร็วสูงช่วงล่างก็ให้ความรู้สึกว่าเกาะถนน รถนิ่ง ไม่ส่าย ไม่โคลง หักเปลี่ยนเลนแล้วยังนิ่ง  

        พวงมาลัยของ HS มีน้ำหนักเบามากที่ความเร็วต่ำ หมุนควงจอดเข้าซองได้โดยไม่ต้องใช้แรงเยอะ ระยะฟรีมีเหมาะสมทำให้ควบคุมทิศทางได้ง่าย พวงมาลัยแบบนี้ถูกใจสาวๆ เป็นแน่แท้ เมื่อขับเร็วขึ้นจะรู้สึกได้ถึงความหนืดที่เพิ่มขึ้นตามความเร็ว ระยะฟรียังมีพอให้ลองโยกพวงมาลัยสั้นๆ ถี่ๆ ได้โดยรถไม่ออกอาการวอกแวก ถ้าเพิ่มน้ำหนักหน้ารถก็จะเปลี่ยนทิศทางไปตามที่สั่ง

       โค้งจำนวนมากบนเขาใหญ่ทำให้การขับขี่ HS เป็นเรื่องสนุก ช่วงล่างสามารถรองรับการเข้าโค้งหนักๆ ได้อย่างมั่นคง อาการโยนของตัวถังมีไม่เยอะ มีอาการท้ายออกบ้างเล็กน้อยแก้ไขได้โดยแตะเบรกนิดนึงรถก็จะกลับเข้าร่องเข้ารอยได้อย่างรวดเร็ว การทรงตัวในโค้งทำได้ดี เข้าโค้งซ้าย-ขวาต่อเนื่องยังรู้สึกหนึบ ความหนืดที่เหมาะสมของพวงมาลัยสัมพันธ์กับความเร็วขณะเข้าโค้งได้พอดีทำให้สามารถควบคุมรถได้ง่าย ระยะฟรีที่ไม่มากช่วยให้หน้ารถหันไปตามสั่งได้อย่างว่องไว

        ระบบเบรกของ HS ควบคุมง่ายและมีความนุ่มนวล แป้นเบรกมีระยะฟรีพอให้เหยียบแล้วไม่หัวทิ่ม การตอบสนองของแป้นเบรกมีความเป็นธรรมชาติ สามารถควบคุมน้ำหนักการเหยียบได้ง่าย เบรกหนักๆ จากความเร็วสูงก็เอาอยู่ทั้งหมดโดยที่รถไม่เสียอาการ โดยรวมให้ความมั่นใจได้ดี

ขับสบายจากตัวช่วยมากมาย

        ระบบช่วยขับขี่มากมายถูกประเคนใส่มาใน MG HS เริ่มตั้งแต่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC การใช้งานแรกๆ ต้องทำความเข้าใจสักหน่อยเพราะมันเป็นก้านปรับอยู่ที่คอพวงมาลัยด้านล่างฝั่งซ้าย จากการลองใช้งานระบบสามารถตรวจจับรถคันหน้าได้อย่างรวดเร็ว เร่งและเบรกตามรถข้างหน้าได้อย่างนุ่มนวล มีกราฟิกแสดงสถานะการทำงานอย่างชัดเจนบนชุดหน้าปัด ระบบนี้จะทำงานที่ความเร็ว 30-150 กม./ชม.

        ระบบควบคุมเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ TJA ช่วยได้มากเมื่อต้องขับทำในเมืองที่รถวิ่งสลับหยุดนิ่งเพราะคุณเพียงประคองพวงมาลัยจากนั้นปล่อยให้รถมันขับเองได้เลย ต่อมาเป็นระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA และระบบควบคุมรถเมื่อจะออกนอกเลน LDP เจ้าสองตัวนี้ทำงานร่วมกันเพื่อประคองให้รถอยู่กึ่งกลางเลนเสมอ กรณีที่เจอทางโค้งพวงมาลัยก็หักองศาให้เลี้ยวตาม เรามีหน้าที่แค่จับประคองพวงมาลัยไว้เท่านั้น ความสามารถนี้เรียกว่าเกือบๆ เท่าระบบช่วยขับกึ่งอัตโนมัติเลยก็ว่าได้ มีประโยชน์มากเมื่อขับขี่บนมอเตอร์เวย์ที่เส้นจราจรชัดๆ นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่จริงยังมีระบบความปลอดภัยอีกหลายรายการซึ่งเราขอคารวะเลยว่าเอ็มจีให้มาเต็มจริงๆ

        ในแง่ของเสียงรบกวนนั้น HS ก็เงียบเป็นลำดับต้นๆ ของคลาสเช่นกัน เสียงลมจะเริ่มได้ยินตามขอบกระจกหน้าต่างเมื่อขับเกิน 120 กม./ชม. ไปแล้ว เสียงดังจากยางจะมีมาให้ได้ยินเมื่อความเร็วแตะหลักร้อย ดังนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าที่ความเร็วต่ำจะเงียบไหน

        ความประหยัดอาจไม่ใช่จุดเด่นของรถรุ่นนี้ น้ำหนักตัวรถ 1,570 กก. นั้นดูเหมือนไม่เยอะแต่เมื่อต้องจับคู่กับเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ มันจึงกินจุกว่ารถพิกัดเดียวกันแต่ใช้เครื่องยนต์ใหญ่กว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงเส้นทางบนเขาใหญ่ที่มีทั้งเนินและโค้งเราต้องใช้รอบเครื่องสูงอยู่ตลอด ตัวเลขบนหน้าปัดแสดงออกมา 19.8 ลิตร/ 100 กม. แปลงค่าออกมาแล้วได้ตัวเลข 5.05 กม./ลิตร อย่างไรก็ตาม พอกลับมาวิ่งทางราบโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตัวเลขดีขึ้นเป็น 9.7 กม./ลิตร หากคุณเป็นคนขับรถไม่ดุ ขับด้วยความเร็วคงที ไม่กด ไม่เร่งแซงบ่อย ก็น่าจะพบกับตัวเลข 11-11 กม./ลิตร ได้ไม่ยาก

ห้องโดยสารสุดอลังการ

        สิ่งที่เราเชื่อว่าหลายๆ คนชอบในตัว MG HS น่าจะเป็นความพรีเมี่ยมของห้องโดยสาร เมื่อเปิดประตูเข้ามานั่งประจำตำแหน่งคนขับ คุณจะพบกับความโปร่ง กว้างขวาง และพื้นที่บริเวณแดชบอร์ดจำนวนมาก และจะโปร่งมากขึ้นถ้าเปิดหลังคากระจก Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่เกือบเต็มพื้นที่หลังคา การขึ้น-ลงรถค่อนข้างสะดวกจากประตูขนาดใหญ่และความสูงของรถที่กำลังดี ตำแหน่งนั่งขับที่สูงช่วยให้ทัศนวิสัยการมองรอบคันอยู่ในขั้นเพอร์เฟกต์ เสา A-pillar หนาไปนิดแต่ยังไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อการขับ มุมมองผ่านไหล่ไปกระจกหน้าต่างท้ายรถกว้างและเคลียร์ กระจกมองข้างใหญ่ชัดเจน มีระบบเตือนมุมอับสายตามาช่วยเพิ่มความปลอดภัย

        เบาะนั่งทรงสปอร์ตหุ้มด้วยหนัง สลับ Alcantara แค่เห็นก็เร้าอารมณ์แล้ว ยิ่งทั้งห้องโดยสารเป็นโทนสีแดงด้วยยิ่งดูพรีเมี่ยมเข้าขั้นยานยนต์ชั้นนำจากยุโรป แดชบอร์ด แผงประตู คอนโซลกลาง ทุกอย่างเป็นวัสดุซอฟต์ทัชทั้งหมด งานประกอบแน่นหนา รายละเอียดต่างๆ มีความประณีต และวัสดุที่ใช้ก็เป็นของเกรดสูงดูดีมีราคา เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ตัวเบาะมีความใหญ่ หนา นุ่ม รองรับกับสรีระได้ดี พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ขึ้น-ลง-เข้า-ออก ที่น่าประทับใจคือไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร Interactive Ambient Light ปรับเปลี่ยนได้ 64 สี และ ปรับตามโหมดการขับขี่

         หน้าปัดของ MG HS เป็นแบบเข็มอนาล็อกบอกวัดรอบและวัดความเร็ว มีจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบสี TFT ขนาด 7 นิ้วอยู่ตรงกลาง จอนี้บอกข้อมูลครบ กราฟิกสวย อ่านค่าง่าย หน้าจอสัมผัสกลางแดชบอร์ดขนาด 10 นิ้วติดตั้งอยู่ในระดับสายตา จอมีความคมชัด หน้าตาเมนูสวย อ่านค่าง่าย และยังลื่นไหลมาก ฟังก์ชั่นใช้งานมีมาให้แบบครบๆ และรองรับการเชื่อมต่อครบครัน จุดที่อยากชมคือระบบนำทางของ Tom Tom แสดงผลเป็นภาษาไทย ซึ่งการใช้งานทำได้ง่ายไม่แพ้การค้นหาผ่านสมาร์ทโฟน

เบาะแถวสองคือความสบายอย่าแท้จริง พื้นที่กว้างกวาง เข้า-ออกสะดวก ตัวเบาะนุ่ม นั่งสบายพนักพิงปรับองศาได้ เบาะตัวกลางดึงลงมาเป็นที่วางแก้วได้ อุโมงค์กลางไม่ใหญ่มาก นั่งตรงกลางยังสบายอยู่ มีช่องแอร์ตอนหลัง และช่องชาร์จไฟพร้อมสรรพ พนักพิงเบาะพับแยกแบบ 60/40 ห้องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ มาพร้อมประตูท้ายไฟฟ้า และแน่นอนว่า MG HS เป็นสมาร์ทคาร์อย่างเต็มรูปแบบกับระบบ i-SMART สั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยที่มาพร้อมพร้อมลูกเล่นนับไม่ถ้วน สะใจคนชอบความคุ้มค่า

เป็นมากกว่าความคุ้มค่า

       จากการที่ได้ลองขับทั้งในสนามและขับขี่จริงบนถนน สิ่งที่เราบอกได้คือ MG HS มีดีมากกว่าความคุ้มราคาเพราะมันมาพร้อมกับคุณภาพคับแก้วที่สามารถต่อสู้กับคู่แข่งจากแบรนด์ญี่ปุ่นได้อย่างสูสี รถเอสยูวีขนาดกลางกับเครื่องเบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไป ขับในเมืองสบาย ขับท่องเที่ยวทางไกลหรือจะพาไปขึ้น-ลงทางลาดชันก็ได้หมด นิสัยของรถคล้ายกับรถยุโรปคือนุ่ม เงียบ ช่วงล่างแน่น การบังคับควบคุมเฉียบคม ให้ความมั่นใจในทุกสถานการณ์ เมื่อคุณเลือกรถคันนี้ คุณจะได้ออปชั่นที่มากมาย ระบบความปลอดภัยที่เหนือกว่าคู่แข่ง เทคโนโลยีเชื่อมต่ออัจฉริยะ ระบบช่วยขับขี่ที่ทำหน้าที่ได้ดี รวมถึงภายในที่พรีเมี่ยมขั้นสุด ไล่ดูก็ว่าเยอะแล้วใช่มั้ย แต่ทั้งหมดที่ได้มีราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาท ใครที่เป็นเจ้าของแล้วถือว่าคุณโชคดีมากเพราะราคาแนะนำช่วงเปิดตัวถูกกว่าปัจจุบันนี้หลายตังค์ แต่หากใครกำลังมองหารถเอสยูวีที่เป็นมากกว่าคุ้มค่า โปรดอย่ามองข้าม MG HS เพราะคุณอาจพลาดของดีในราคาสบายกระเป๋าไปก็ได้

ขอขอบคุณ เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้

ดูรายละเอียดสสเปกของ MG HS ได้ที่  http://bit.ly/2laAKfc

Gallery

Exit mobile version