[First Drive] All-New Toyota Corolla Altis Hybrid แรง ประหยัด นุ่มนวลทุกจังหวะการขับขี่

        ช่วงเวลาที่ผ่านมารถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นกระแสใหม่ที่กำลังถูกพูดถึงในวงกว้าง บางคนบอกว่าถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยจะก้าวข้ามยุคสมัยจากเครื่องยนต์สันดาปไปเป็นยุคของมอเตอร์ไฟฟ้า เรามีความยินดีที่จะได้เห็นอุตสาหกรรมยานยนต์เมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อมองลึกลงไป คุณจะพบกับข้อจำกัดมากมายที่ยังไม่เอื้ออำนวยต่อรถยนต์ไฟฟ้า เมืองไทยยังต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายอย่างกว่าจะพร้อมรองรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งมันอาจต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ดังนั้นการก้าวกระโดดจากรถยนต์ใช้เชื้อเพลิงไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจึงดูจะเป็นการก้าวข้ามสเต็ปเกินไป

          เทคโนโลยีไฮบริดน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมรถยนต์บ้านเราในตอนนี้มากที่สุดซึ่งโตโยต้าก็คิดแบบนี้เช่นกัน พวกเขาจึงมุ่งเน้นพัฒนารถยนต์ไฮบริดให้มีประสิทธิภาพสูงทั้งในแง่สมรรถนะและความประหยัด พร้อมกับพยายามนำเสนอให้ครอบคลุมในหลายๆ โมเดลเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า All-New Toyota Corolla Altis คือโมเดลล่าสุดที่โตโยต้าภูมิใจนำเสนอระบบไฮบริดเจนเนอเรชั่นที่ 4 จุดเด่นของมันคือประสิทธิภาพที่ดีกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนหน้า พร้อมกับการตั้งราคาที่สมเหตุสมผล ทำให้ Altis Hybrid สามารถแข่งขับกับคู่แข็งในกลุ่ม C-Segment ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

          All-New Corolla Altis มีให้เลือก 3 ขุมพลังเริ่มจาก เบนซิน 1.6 ลิตร เบนซิน 1.8 ลิตร และ ไฮบริด 1.8 ลิตร โดยรุ่นไฮบริดแตกออกเป็น 3 รุ่นย่อย คือ Entry, Mid และ High ซึ่งโตโยต้ากำหนดกลุ่มเป้าหมายในแต่ละรุ่นไว้ชัดเจน เน้นใช้งาน ทนทาน คุ้มค่า ไปรุ่น 1.6 เน้นอารมณ์สปอร์ต วัยรุ่นขับ ไปรุ่น 1.8 GR Sport แต่ถ้าต้องการเทคโนโลยี ความหรูหราพรีเมี่ยม ก็ต้องเลือกรุ่นไฮบริด คุณจะได้ทุกอย่างที่ใหม่ล่าสุดและอุปกรณ์ที่ครบครันที่สุดในรุ่นนี้

          การทดสอบในครั้งนี้จะมีทั้งขับในสนามทดสอบ Toyota Driving Experience Park บางนา และขับไป-กลับ กทม.-พัทยา รวมระยะทางกว่า 270 กม. รถที่ได้ทดลองขับเป็นรุ่นท็อป Corolla Altis 1.8 Hybrid High ราคา 1.099 ล้านบาท

การขับขี่

            ใต้ฝากระโปรงของ Corolla Altis Hybrid เป็นขุมพลังลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.8 ลิตร แบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร รวมกำลังทั้งระบบจะอยู่ที่ 122 แรงม้า ระบบส่งกำลังเป็นแบบ E-CVT ไม่มีแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย แต่มีเกียร์ B มาให้สำหรับหน่วงกำลัง

            การทดสอบอัตราเร่งในสนามทำให้เรารู้ว่า Corolla Altis Hybrid โดดเด่นในเรื่องความสมูธนุ่มนวลมากๆ กดคันเร่งจนสุดแรงดึงที่เกิดขึ้นนั้นไม่หนักหน่วงแต่ความเร็วไหลขึ้นไปอย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล ลองกดโหมด POWER รู้สึกว่ารถจะดูกระฉับกระเฉงขึ้นเล็กน้อย ในการเร่งจากจุดหยุดนิ่งนี้เครื่องยนต์และมอเตอร์จะช่วยกันสร้างกำลังขับเคลื่อนลงสู่ล้อหน้า เรารู้สึกว่าเสียงเครื่องยนต์ในจังหวะเร่งแบบนี้ดูจะดังเกินไปนิด ขัดกับภาพลักษณ์และหน้าตาที่ดูสุภาพเรียบร้อย แต่ก็แทบไม่มีการสั่นสะเทือนเลย

            เกียร์ E-CVT ทำงานได้อย่างน่าชื่นชม มันนุ่มนวลในทุกจังหวะ การคิ๊กดาวน์ต้องกดคันเร่งลึกมากก่อนที่สมองกลจะรับรู้และปรับการทำงานของเกียร์และเครื่องยนต์เพื่อรีดพลังออกมามากขึ้นสำหรับเร่งแซง ซึ่งแรงดึงที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มากจนรู้สึกตื่นเต้น มันมาแบบนุ่มๆ มากกว่า

            ที่ความเร็วเดินทางการตอบสองของรถเป็นไปแบบนุ่มๆ ไหลๆ แต่ก็ยังแอบซ่อนความสนุกเล็กๆ ไว้ มันเป็นรถที่น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบรถขับง่าย นุ่มนวล และเป็นมิตร โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ต้องขับรถเองหากคุณได้มาลองขับจะรู้เลยว่ามันเข้ามือและขับดีจนต้องเอ่ยปากชม สำหรับความเร็วสูงสุดของ Corolla Altis Hybrid ทางวิศวกรแจ้งว่าอยู่ที่ 170 กม./ชม.

            ช่วงล่างของ Corolla Altis Hybrid คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนหน้า มันมีความแน่นเฟิร์มมากขึ้นแบบรู้สึกได้ ที่ความเร็วต่ำช่วงล่างอิสระ 4 ล้อสามารถจัดการกับแรงสะเทือนจากพื้นผิวได้เป็นอย่างดี เมื่อขับผ่านรอยปะถนนรถสั่นสะเทือนน้อยลง ร่องและคลื่นบนผิวถนนไม่ทำให้รถโยกเยกจนน่ารำคาญเกินไป การดูดซับแรงกระแทกหลังจากขึ้นลูกระนาดรู้สึกว่าแน่นหนึบ ยุบครั้งเดียวแล้วจบ ความแน่นเฟิร์มนี้เห็นได้ชัดขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูงซึ่งรถทั้งนิ่งและเกาะถนนดีมาก สามารถเทเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ รวมถึงสมดุลการทรงตัวต่างๆ ก็ดีขึ้นด้วย

            ระบบบังคับเลี้ยวปรับเซ็ตใหม่ให้ความรู้สึกว่าไวและเบาขึ้น ที่ความเร็วต่ำขับง่ายและคล่องตัวมาก ประกอบกับระยะฟรีที่ค่อนข้างน้อย ทำให้การลัดเลาะเปลี่ยนเลนทำได้อย่างว่องไวและกระฉับกระเฉง ขณะเดียวกันเมื่อขับความเร็วสูง ความไวและเบานี่แหละที่จะทำให้ความมั่นใจหดหายไปเพราะมันอาจทำให้วอกแวกได้ง่าย ทางตรงไม่เท่าไรแต่ทางโค้งต้องคอยประคองมากกว่าปกติ เราอยากให้พวงมาลัยหนืดกว่านี้หน่อย แล้วการเข้าโค้งความเร็วสูงจะรู้สึกว่าสบายขึ้น

            สิ่งที่ต่างจากคาแร็กเตอร์โดยรวมของรถคือแป้นเบรกที่ค่อนข้างตื้น ตอนขับแรกๆ ยังไม่รู้น้ำหนักการเหยียบ กดเบรกลงไปนิดเดียวหน้าทิ่มเลย มันไม่ใช่ไม่ดีนะแต่แค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ ว่าทำไมเบรกมันตื้นจัง พอจับจังหวะได้ก็ค่อยๆ ปรับน้ำหนักการเหยียบให้สมูธขึ้น เบรกตื้นถือว่าดีแต่คนที่ชอบความนุ่มนวลอาจรู้สึกขัดใจนิดๆ จังหวะเบรกหนักใช้ระยะไม่เยอะ รถนิ่งไม่เสียอาการแต่อย่างใด

            จุดที่เป็นหัวใจสำคัญของรถไฮบริดคืออัตราสิ้นเปลืองซึ่ง Corolla Altis Hybrid สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก ตลอดการขับทดสอบเราใช้ความเร็วสูงเกือบตลอด กดหนักในจังหวะเร่งแซงเป็นระยะ เปิดแอร์ 23 องศา ขับกลางวันอากาศร้อนอบอ้าว ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองบนหน้าปัดต่ำสุดอยู่ที่ 19 กม./ลิตร บนถนนการจราจรหนาแน่น และสูงสุดอยู่ที่ 21 กม./ลิตรบนมอเตอร์เวย์ มันเป็นตัวเลขที่เห็นแล้วต้องอุทานว่า “โคตรประหยัด”

            ด้านการป้องกันเสียงรบกวน Corolla Altis Hybrid ทำได้ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ที่ความเร็วสูงรู้สึกได้ว่าเงียบขึ้น เสียงลมเริ่มเล็ดลอดเข้าตามขอบหน้าต่างที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ยางติดรถเป็น Michelin Primacy 4 ที่เด่นในด้านนุ่มเงียบ ดังนั้นเสียงยางที่ความเร็วเดียวกันนี้จึงยังไม่รู้สึกหนวกหูเกินไป

            Corolla Altis Hybrid ของเรายังมาพร้อมกับระบบช่วยขับอย่าง Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-Speed ที่ควบคุมและปรับลดระดับความเร็วได้ถึง 0 กม./ชม. พร้อมระบบ Lane Tracing Assist ช่วยควบคุมให้รถอยู่กลางเลน ทั้ง 2 ระบบนี้ช่วยอำนวยความสะดวกได้มากโขเมื่อต้องขับรถท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด คุณแค่กดเปิดการทำงานที่พวงมาลัย เมื่อตรวจเจอรถคันหน้า รถจะขับตามให้เองพร้อมรักษาระยะห่างและคุมให้อยู่กลางเลนโดยอัตโนมัติ ระบบสามารถเบรกและเร่งตามรถคันหน้าได้อย่างนุ่มนวล เราลองกดใช้ระบบนี้ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. พบว่ามันใช้งานได้ดีพอๆ กับระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติของพวกรถหรู ตราบใดที่มีเส้นจราจรชัดเจนรถสามารถเลี้ยวโค้งได้เองโดยเราเพียงแค่ประคองพวงมาลัยไว้เท่านั้น แถมยังรักษาระยะห่างและเบรกได้อย่างนุ่มนวลตามรถคันข้างหน้า ถือว่าสะดวกมากเมื่อใช้งานบนมอเตอร์เวย์ นอกจากนี้ยังมีระบบ Lane Departure Alert พร้อม Steering Assist คอยเตือนเมื่อวิ่งออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยวและหน่วงรั้งพวงมาลัยไว้ให้โดยอัตโนมัติ ระบบทั้งหมดสามารถปิดได้ถ้าไม่ต้องการใช้งาน

ภายในห้องโดยสาร

                เรามองว่า Corolla Altis Hybrid มีขนาดโดยรวมไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก นั่นทำให้ขนาดของห้องโดยสารไม่ได้ต่างกันจนรู้สึกได้ แต่ที่ต่างไปคือบรรยากาศภายในที่ดูโอ่โถงกว่า ในแง่ของดีไซน์ยังคงความเรียบง่ายไม่หวือหวาตามสไตล์โตโยต้า วัสดุที่ใช้อยู่ในเกณฑ์ดีมีคุณภาพ มีการใช้วัสดุซอฟต์ทัชมากขึ้นเพื่อให้รู้สึกได้ถึงความพรีเมี่ยม งานประกอบต่างๆ แน่นหนาได้มาตรฐาน

            การเข้า-ออกรถค่อนง่ายจากประตูที่ใหญ่และตัวรถที่ไม่ได้ต่ำมาก เมื่อเข้ามานั่งจะรู้สึกได้ว่าเบาะตำแหน่งนั่งขับนั้นกำลังดีไม่ต่ำจนเกินไป แดชบอร์ดสูงแต่ไม่โอบกระชับเหมือน Civic ทำให้พื้นที่ด้านหน้าค่อนข้างโปร่งและนั่งสบาย เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า มีตัวดันหลังมาเพิ่มความสบายเมื่อต้องนั่งนานๆ พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง สูง-ต่ำ-ใกล้-ไกล เบาะมีความใหญ่ นุ่ม โอบกระชับลำตัวดี สิ่งที่เราชอบคือเสาหน้าที่ค่อนข้างเล็กทำให้การมองบริเวณมุมรถไม่ถูกบดบัง ประกอบกับทัศนวิสัยรอบคันของรถก็ดีมากด้วย

 

            พื้นที่เบาะหลังใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า คนตัวสูง 180 ซม. สามารถนั่งได้โดยไม่อึดอัด เหลือพื้นที่เหนือศีรษะเล็กน้อย เข่าไม่ชนเบาะหน้า ฐานเบาะใหญ่ นุ่ม นั่งสบาย พนักพิงเอนกำลังดี เบาะตัวกลางดึงลงมาเป็นที่วางแขนได้ อุโมงค์กลางไม่ใหญ่มากคนนั่งเบาะตัวกลางจะไม่รู้สึกรำคาญ การเข้า-ออกสะดวก สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นปัญหาคือเวลานั่งพิงเบาะหลังแล้วหันมองออกหน้าต่างจะถูกเสาหลังบังค่อนข้างเยอะ

            แผงหน้าปัดของ Corolla Altis Hybrid เป็นแบบไฮบริดเหมือนกันคือผสมผสานทั้งเข็มอนาล็อกแบบเรืองแสงกับจอ MID ขนาด 7 นิ้วตรงกลาง เราชอบความอนาล็อกตรงที่มันอ่านค่าง่ายและไม่ซับซ้อน หน้าจอ MID บอกข้อมูลครบ ละเอียดจริง แต่ตัวหนังสือในบางเมนูทั้งเล็กทั้งบาง มองไม่ชัดเลย การควบคุมหน้าจอ MID ทำได้ผ่านการกดปุ่มควบคุมที่ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย นอกจากนี้ยังมี Head-up display มาด้วยทำให้ไม่ต้องละสายตาจากถนน

            หน้าจอสัมผัสกลางแดชบอร์ดขนาด 8 นิ้วแบบลอยตัวดูทันสมัย มีปุ่มทางลัดแบบกดได้จริงและปุ่มวอลลุ่มแบบหมุนที่ใช้งานง่ายขณะขับรถ ฟังก์ชั่นการใช้งานมีครบ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay มีระบบนำทางเนวิเกเตอร์ หน้าตาเมนูทำออกมาได้น่าพอใจ คุณภาพหน้าจออยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้คมชัดระดับ Full HD แต่ก็เพียงต่อการใช้งาน ด้านระบบเสียงนั้นถือว่ากลางๆ พอฟังได้ แต่อย่าไปเทียบกับ Bose ของ Mazda 3

            สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องโดยสารนั้นมีมาให้ครบตามสมัยนิยม อาทิ เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติที่มีระบบกรองอากาศ nanoe มีแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย เบรกมือไฟฟ้า ระบบ Auto Brake Hold ช่องแอร์ตอนหลัง รวมถึงม่านบังแดดหลัง

สรุปความน่าใช้

            All-New Toyota Corolla Altis Hybrid คือการตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญ ความชำนาญ และประสบการณ์ในการสร้างสรรค์รถยนต์ไฮบริดของโตโยต้า สิ่งที่เราสัมผัสได้และน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนที่กำลังมองหารถไฮบริดต้องการก็คือ “ความประหยัด” รถรุ่นนี้ประหยัดจริงครับพี่น้อง ในบรรดาเก๋ง C-Segment ราคาล้านต้น ถ้าจะหารถที่ประหยัดที่สุด ไม่ต้องไปมองใครอื่น Altis Hybrid ยืนหนึ่งอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เราลองมาแล้ว

             ความนุ่มนวลของระบบขับเคลื่อนคือสิ่งที่รถคันนี้มอบให้ ประกอบกับช่วงล่างที่แน่นเฟิร์มขึ้น จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง ทำให้การขับขี่ความเร็วสูงและการเข้าโค้งมั่นใจขึ้น คุณภาพการขับขี่โดยรวมดีขึ้น คุณสามารถขับทางไกลได้อย่างสบายใจจากความกว้างขวางและสะดวกสบายของห้องโดยสาร อีกทั้งระบบช่วยขับที่สามารถผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี โดยรวมมันจึงเป็นรถที่ดีขึ้นทุกด้านจากรุ่นก่อนหน้า

            สำหรับราคาค่าตัว 1.099 ล้านบาทกับสิ่งที่ได้รับ เรามองว่าคุ้มค่า ถ้าคุณอยากช่วยโลก ชอบเทคโนโลยีระบบไฮบริด และอยากเข้าใกล้ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าแบบที่หลายคนเฝ้าฝัน Corolla Altis Hybrid เท่านั้นที่กำลังรอคุณอยู่

ขอขอบคุณ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้

ดูรายละเอียดสเปกของ All-New Toyota Corolla Altis ได้ที่ http://bit.ly/2ZK412t

Gallery

Exit mobile version