[First Drive] All-New Suzuki XL7 ขับดี อุปกรณ์ครบ ภายในกว้าง อย่าเข้าใจผิดว่านี่คือ Ertiga ใส่ชุดแต่ง

         แรกเริ่มเมื่อตอนเปิดตัว ใครๆ ต่างก็สงสัยว่า Suzuki XL7 เป็นการจับเอา Ertiga มาใส่ชุดแต่งใหม่ให้ดูสมบุกสมบันขึ้นใช่หรือไม่ ยอมรับตามตรง WHATCAR? Thailand ก็คิดแบบนั้นเพราะมีหลายเหตุผลที่ค่ายรถจะมามุขนี้เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่อยากได้รถ 7 ที่นั่งราคาไม่แรง มีขนาดใหญ่ใส่สิ่งของและใส่คนได้เยอะสำหรับเดินทางไปทั้งครอบครัว พร้อมกับต้องการความรูปลักษณ์สมบุกสมบันแต่ยังไม่ถึงขั้นรถเอสยูวี ดังนั้นการจับเอารถที่มีขายอยู่เดิมมาตกแต่งเพิ่มก็น่าจะเป็นการตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ แต่พอเราได้ขับเจ้า XL7 พร้อมรับฟังข้อมูลเบื้องลึก เราได้รู้ว่าความเข้าใจเดิมที่มีนั้นมันผิดไปหมด

           Suzuki XL7 เป็นการพัฒนาต่อยอดจาก Ertiga ในรายละเอียดทางวิศวกรรมแล้วมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 200 จุด เริ่มตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่สลัดภาพรถครอบครัวธรรมดาๆ ถึงไปจนหมดสิ้น แล้วมาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวและสมบุกสมบันมากขึ้นตามสไตล์รถเอสยูวียุคใหม่ ดีไซน์หน้ารถยกเปลี่ยนใหม่หมดทั้งไฟหน้า กันชน กระจังหน้า ล้ออัลลอยขยับจาก 15 เพิ่มเป็น 16 นิ้ว ใส่แร็คหลังคาที่รับน้ำหนักได้ 50 กก. เพิ่มคิ้วซุ้มล้อสีดำรอบคัน โดยรวมแล้วรูปลักษณ์ของเจ้า XL7 ดูหล่อกว่า Ertiga มากๆ

            แต่หัวใจสำคัญของ XL7 คือการเปลี่ยนแปลงด้านวิศวกรรมที่อัพเกรดจาก Ertiga หลายจุดโดยเฉพาะช่วงล่างที่มีการเปลี่ยนโช้คอัพและสปริงใหม่ทำให้ได้ความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้น 20 มม. (จาก 180 เป็น 200 มม.) เพิ่มขนาดเหล็กกันโคลงหน้าให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้น 1 มม. ต่อมาคือปรับจูนกล่อง ECU ใหม่ส่งผลให้ได้มลพิษ CO2 น้อยลง อัตราทดเฟืองท้ายปรับใหม่จาก 4.278 เป็น 4.375 เปลี่ยนซีลขอบประตูเพื่อลดเสียงรบกวน เพิ่มแผงกันความร้อนและเสียงที่ผนังห้องเครื่องยนต์ เปลี่ยนซีลยางแกนพวงมาลัยให้โตขึ้นเพื่อลดความสั่นสะเทือนและลดเสียงรบกวนจากคอพวงมาลัย ทั้งหมดทั้งมวลนี้มาพร้อมกับราคาค่าตัวที่เพิ่มขึ้นจาก Ertiga ปี 2020 รุ่นท็อป 54,000 บาท จะคุ้มหรือไม่คุ้มมาดูกัน

ขับสบายตามสไตล์รถครอบครัว

            Suzuki XL7 ใช้เครื่องยนต์ K15B 4 สูบ 16 วาล์ว 1.5 ลิตร 105 แรงม้า แรงบิด 138 นิวตันเมตร เป็นเครื่องตัวเดียวกับ Ertiga จากความรู้สึกที่เคยขับมามันมีบุคลิกแบบรถครอบครัวคือนุ่มนวล เรื่อยๆ ไม่จี๊ดจ๊าด ซึ่งเจ้า XL7 ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน อัตราเร่งของรถไม่ว่องไว เมื่อกดคันเร่งจะมีลักษณะค่อยๆ ไต่ความเร็วขึ้นไปช้าๆ แรงดึงไม่เยอะ พอถึงความเร็วเดินทาง 110 – 120 กม./ชม. ก็จะไหลไปได้เรื่อยๆ

            เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดลูกเดิมทำหน้าที่ได้นุ่มนวลและเข้าขารู้ใจกับเครื่องยนต์ อัตราทดเกียร์ปรับเซ็ตมาเหมาะสมโดยเน้นความต่อเนื่องและไม่ลากรอบมากเกินไป แต่เกียร์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่เราไม่ปลื้มคือจังหวะกดคันเร่งคิ๊กดาวน์ที่ค่อนข้างไวเกินไป แค่เพิ่มน้ำหนักเหยียบคันเร่งจากปกตินิดเดียวเกียร์ตัดลง 1 จังหวะพร้อมกับรอบเครื่องที่ดีดสูงขึ้นแล้ว และมันเป็นเหมือนการคิ๊กดาวน์แบบฟรีเปล่าเพราะเรี่ยวแรงที่ออกมามีน้อยมาก เป็นแบบนี้บ่อยมากตลอดการขับขี่ การเร่งแซงที่ความเร็วต่ำๆ ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิน 90 กม./ชม. ขึ้นไปแล้วจะกดคิ๊กดาวน์เพื่อเร่งแซงรถจะใช้เวลาและระยะทางเยอะพอสมควร

            ใช่ว่าเกียร์ลูกนี้ไม่ดีนะครับ มันนุ่มนวล ลื่นไหล ตามสไตล์รถครอบครัว ขับในเมืองนี่สบายๆ เลย แถมมีปุ่มโอเวอร์ไดรฟ์ที่กดปุ๊บเกียร์จะปรับมาอยู่ตำแหน่งเกียร์ 3 ใช้วิธีนี้แทนการคิ๊กดาวน์ในการเร่งแซงก็ได้ มีเกียร์ 2 และเกียร์ L ที่ทำให้การขับขึ้น-ลงเขาสะดวกมากขึ้น แต่ถ้าคนชอบรถที่ตอบสนองไวๆ มาขับก็อาจไม่ถูกใจ

                ความสูงที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาในการขับขี่ การปรับเซ็ตช่วงล่างมีความแข็งกว่า Ertiga เล็กน้อยทำให้การขับความเร็วต่ำจะรู้สึกสะเทือนมากกว่า การดูดซับแรงกระแทกจากพื้นถนนทำได้ดี ขับผ่านหลุม รอยปะ ฝาท่อ ไม่สะเทือนมากนัก ขณะที่ขับทางตรงบนความเร็วสูงรู้สึกมั่นใจมาก รถนิ่ง ไม่โคลงเคลง มีความหนึบเกาะถนนได้น่าพอใจ

            การทรงตัวในขณะเข้าโค้งทำได้ดี สามารถใส่หนักเข้าโค้งได้พอสมควร ถ้าเจอโค้งซ้าย-ขวาต่อเนื่องจะรู้สึกว่ามีอาการท้ายออกแต่ล้อหน้ายังยึดเกาะได้ดีอยู่ อาการโยนของตัวถังมีบ้างตามความสูงตัวรถที่เพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่น่าเกลียด

            พวงมาลัยของ XL7 ปรับเซ็ตน้ำหนักมาดี ความเร็วต่ำไม่หนักไม่เบาจนเกินไป ให้การควบคุมที่ง่ายและเบาแรง พอความเร็วสูงขึ้นน้ำหนักพวงมาลัยก็มากขึ้นตามไปด้วย ช่วยในเรื่องความนิ่งและความมั่นใจได้ดี ที่ต้องชมคือระยะฟรีพวงมาลัยที่น้อย ทำให้รถตอบสนองต่อการหักเลี้ยวได้ค่อนข้างไว เฉียบคม และแม่นยำพอตัว ขับเลี้ยวจะรู้สึกว่ารถคุมง่าย ไม่เทอะทะ

            การตอบสนองของแป้นเบรกมาในสไตล์ลึกและนุ่มนวล กดเบรกช่วงแรกๆ รถแทบจะไม่หน่วง ต้องเพิ่มน้ำหนักอีกนิดจึงจะรู้สึกถึงความเร็วที่เริ่มลดลง แรงต้านการเหยียบมีความเป็นธรรมชาติ ดิสก์เบรกล้อหน้า ดรัมเบรกล้อหลัง เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปกับรถ 7 ที่นั่งขนาดตัวเท่านี้

            การป้องกันเสียงรบกวนทำได้ดีตามมาตรฐาน เสียงลมเริ่มเล็ดลอดเข้ามาตามขอบหน้าต่างที่ความเร็ว 90 กม/ชม. เสียงยางไม่ดังหนวกหู เสียงเครื่องยนต์เงียบมากทั้งตอนรอบเดินเบาและตอนขับขี่ปกติ แถมยังไม่สั่นสะเทือนกวนใจ เครื่องยนต์จะเริ่มคำรามดังเมื่อเกิน 3,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป

            ด้านอัตราสิ้นเปลืองเราถือว่าทำได้น่าพอใจ ทริปทดสอบนี้เป็นการขับจากกรุงเทพฯ ไปเขาใหญ่ และขับกลับกรุงเทพฯ ในวันเดียว ระยะรวมเกือบ 400 กม. เส้นทางมีทั้งถนนในเขตเมือง มอเตอร์เวย์ ถนนมิตรภาพ และถนนคดเคียวบริเวณเขาใหญ่ เราใช้ความเร็วตามสภาพการจราจร มีจังหวะโล่งก็ซัด ไม่ได้ขับแบบประหยัด ตัวเลขบนหน้าปัดแสดงอยู่ที่ราว 14.8 – 14.9 กม./ลิตร

ภายในกว้าง อุปกรณ์ครบ

            พื้นฐานของ XL7 คือ Ertiga ที่โดดเด่นในเรื่องพื้นที่ห้องโดยสาร ดังนั้นเจ้าครอสโอเวอร์รุ่นใหม่จึงได้ประโยชน์ไปเต็มๆ และมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่ครบครันมากกว่า เมื่อเข้ามานั่งเบาะคนขับคุณจะรู้สึกถึงความกว้างและโปร่งสบายจากเพดานหลังคาที่สูง ตำแหน่งเบาะนุ่งสูงโย่งตามสไตล์ครอสโอเวอร์ทำให้มองเห็นหน้ารถได้ไกล มุมรอบคันดีหมด เสา A-Pillar ไม่บดบังการมองมุมรถมากนัก ไม่ว่าคุณจะสูง 180 ซม. หรือมากกว่าก็นั่งสบายเหมือนกัน

            เบาะนั่งคู่หน้าปรับมือทั้งหมด ปรับความสูง-ต่ำได้ ตัวเบาะใหญ่ หนานุ่ม นั่งขับนานๆ สบายมาก แต่ไม่ค่อยโอบกระชับเท่าไร จุดที่ขอหักคะแนนคือเข็มขัดนิรภัยซึ่งเป็นแบบที่ปรับความสูงต่ำไม่ได้

            พวงมาลัยปรับได้แค่ขึ้น-ลง หน้าปัดมาตรวัดออกแบบใหม่ให้ดูสปอร์ตกว่า Ertiga มีจอ TFT แสดงข้อมูลการขับขี่ที่บอกละเอียดตั้งแต่นาฬิกา อัตราสิ้นเปลือง Power Meter โชว์แรงม้าและแรงบิด ไปจนถึงมาตรวัดแรง G ซึ่งรถน้อยรุ่นจะให้มาครบแบบนี้

            เบาะแถวสองมาพร้อมกับพื้นที่กว้างขวาง คนสูง 180 ซม. นั่งแล้วยังเหลือพื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่ช่วงขาอีกมาก การเข้า-ออกรถสะดวกสบายมากเพราะประตูหลังเปิดได้กว้างถึง 925 มม. ตัวเบาะนุ่ม นั่งสบาย ปรับเลือนได้ พนักพิงปรับเอนได้และพับแยกในอัตราส่วน 60/40 แต่ไม่มีที่พักแขนกลางมาให้ และไม่ต้องกลัวร้อนเพราะที่เพดานมีช่องแอร์แบบปรับระดับแรงลมได้แต่ปรับอุณหภูมิไม่ได้

            เบาะแถวสามผู้ใหญ่นั่งได้จริงแต่ก็เฉพาะระยะทางสั้นๆ เท่านั้น เหมาะกับเด็กๆ มากกว่า ทั้งนี้พื้นที่จะมากน้อยขึ้นอยู่กับการปรับเบาะแถวสอง ถ้าถอยเบาะแถวสองไปสุดก็จะไม่สามารถนั่งได้ พนักพิงปรับพับแยกได้ในอัตราส่วน 50/50 ซูซูกิคิดมาเป็นอย่างดีว่ารถรุ่นนี้ต้องบรรทุกผู้โดยสารจำนวนมาก ดังนั้นจึงทำช่องวางขวดน้ำไว้สำหรับทุกที่นั่ง และมีช่อง Power Outlet 12V ที่เบาะแถวสองและแควสามอย่างละ 1 ช่อง

            หากไม่พับเบาะ ห้องเก็บสัมภาระจะมีความจุ 153 ลิตร พื้นห้องราบเสมอขอบกันชน เมื่อรวมกับช่องเก็บของใต้พื้นจะมีความจุ 199 ลิตร ไม่พอสำหรับการออปทริปพร้อมครอบครัว 7 คนแน่นอน แต่ถ้าไป 5 คน เมื่อพับเบาะแถวสามลงจะได้พื้นที่ราบขนาดใหญ่ความจุ 550 ลิตร คราวนี้ใส่สัมภาระได้แบบเหลือๆ เมื่อพับเบาะแถวสองลงอีกก็จะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ จะใส่เฟอร์นิเจอร์ย้ายบ้านก็ยังได้

            แม้ว่าภายในห้องโดยสารจะคล้ายกับ Ertiga แต่ XL7 มีให้บรรยากาศโดยรวมที่ดูสปอร์ตกว่า แดชบอร์ดเปลี่ยนจากวัสดุตกแต่งจากลายไม้เป็นลายคาร์บอน ไฮไลท์เด่นคือหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว รูปร่างสวยทันสมัย ติดตั้งในตำแหน่งที่ดี จอนี้รองรับการเชื่อมต่อครบครันทั้ง Bluetooth, USB รวมถึง Apple CarPlay และ Android Auto แล้วยังมาพร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง รวมถึงแสดงภาพจากกล้องมองเวลาถอยหลัง ซึ่งให้ภาพละเอียดคมและมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

            การทำงานของระบบสาระบันเทิงค่อนข้างลื่นไหล ฟังก์ชั่นใช้งานเยอะและครบตามสมัยนิยม หน้าตาเมนูต่างๆ ทำออกมาได้ดี สวยงามทันสมัย จุดที่เราชอบคือฟังก์ชั่นปรับเสียงแบบละเอียด ปรับ EQ ปรับ Sound Stage ได้ โดยซูซูกิภูมิใจนำเสนอระบบเครื่องเสียงตัวนี้มาก และคุณภาพเสียงของมันก็ดีในระดับต้นๆ ของรถในกลุ่มเซกเมนต์นี้เช่นกัน มิติเสียง รายละเอียดเนื้อเสียงทำออกมาได้ดี ฟังเพลงสนุกเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง

สรุปความน่าใช้

            เห็นได้ชัดว่า Suzuki XL7 ไม่ใช่เป็นการจับเอา Ertiga มาปรับเปลี่ยนใส่ชุดแต่งใหม่เข้าไปแบบดื้อๆ มันมีรายละเอียดหลายอย่างที่แตกต่างกันซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดให้ดีขึ้นแทบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการขับขี่ที่ความสูงของตัวรถไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ กลับกันมันยังให้ความมั่นใจมากขึ้นด้วย ลุยได้มากขึ้น ประกอบกับลักษณะนิสัยของรถที่เป็นแบบรถครอบครัว มันจึงมาพร้อมกับการขับขี่ที่นุ่มสบาย ขับง่าย เหมาะกับเดินทางข้ามจังหวัดหรือพาครอบครัวไปท่องเที่ยววันหยุด

            ราคาค่าตัว 779,000 บาท เพิ่มขึ้นจาก Ertiga 54,000 บาท แลกกับอุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาถือว่าคุ้มค่า หน้าตารถดูวัยรุ่นขึ้น ภายในดูทันสมัยขึ้น ถ้าใครต้องการรถครอบครัวที่ดูโฉบเฉี่ยวและสมบุกสมบันในสไตล์เอยูวี Suzuki XL7 เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ควรต้องลองก่อนการตัดสินใจ

ขอขอบคุณ ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย สำหรับกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้

ดูรายละเอียดสเปก All-New Suzuki XL7 ได้ที่ https://bit.ly/2C6bX3N

Gallery

Exit mobile version