First Drive – Suzuki Ertiga กว้างขวาง ขับดี ราคาโดน คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

      ขึ้นชื่อว่ารถเอ็มพีวี แม้ว่าจะเป็นขนาดคอมแพ็คแต่มันก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 คน แถมยังมีราคาน่าคบหา นับเป็นข้อดีสำหรับครอบครัวที่มีข้อจำกัดด้านการเงินหรือไม่ต้องการความเว่อร์วังแบบรถเอสยูวี ทำให้ ณ เวลานี้ กระแสรถเอ็มพีวีขนาดคอมแพ็คกำลังได้รับความนิยมในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งตัวเลือกที่ทำตลาดมานานหลายปีก็คือ Suzuki Ertiga แม้ว่าก่อนหน้านี้จะดูเงียบๆ ไม่หวือหวา แต่เมื่อเจนเนอเรชั่นที่ 2 มาถึง ความน่าสนใจก็เกิดขึ้นในทันที

       All-New Suzuki Ertiga เพิ่งเปิดตัวได้ราว 1 เดือน ความสดใหม่จึงเต็มเปี่ยม นี่เป็นคอมแพ็คเอ็มพีวีที่ทางซูซูกิมุ่งเน้นในความคุ้มค่า อุปกรณ์ที่ให้มาเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวจัดว่าเหมาะสมเท่าที่จำเป็นซึ่งดูแล้วไม่ขี้เหร่เลย เครื่องยนต์และเกียร์ที่ใช้เพียงพอกับการขับขี่ใช้งานทั่วไปที่ความประหยัดคือหัวใจของลูกค้ากลุ่มนี้ จุดที่ได้เปรียบก็คือความอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้จริงและความกว้างขวางของห้องโดยสาร โดย Ertiga ใหม่นำเสนอ 2 รุ่นย่อย ได้แก่ GL ราคา 655,000 และ GX ราคา 695,000 บาท (ราคาพิเศษถึง 30 เมษายน 2562)

       เพื่อไม่ให้กระแสจางหาย พอเปิดตัวปุ๊ป ซูซูกิรีบจัดทริปทดสอบทันนี้ โดยพาสื่อมวลชนลัดฟ้าไปยัง จ.เชียงราย เพื่อทดสอบเอ็มพีวี 7 ที่นั่งคันนี้ในเส้นทาง เชียงราย-ไร่ชาฉุยฟง-สามเหลี่ยมทองคำ-เชียงราย รวมระยะทางกว่า 160 กม. แม้จะดูไม่เยอะแต่ก็ครบทุกรสชาติของการขับขี่เพราะมีทั้งทางราบ ทางชันที่มีความคดเคี้ยว และการจราจรในเมือง โดยรถที่ทดสอบเป็นรุ่นท็อป GX การขับขี่ของเจ้า Ertiga จะเป็นอย่างไร เชิญติดตามไปพร้อมกัน

ทำความรู้จักกันก่อน

        ก่อนจะล้อหมุน มาทำความรู้จัก Ertiga กันก่อนสักเล็กน้อย เอ็มพีวี 7 ที่นั่งคันนี้ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซิน K15B พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT ขนาดความจุกระบอกสูบ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เครื่องยนต์และเกียร์ชุดนี้เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป

        Ertiga รุ่นที่ 2 พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม HEARTECT ใหม่ โดยมาพร้อมกับจุดเด่นด้านน้ำหนักที่เบาลงแต่เฟรมมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น บิดตัวน้อยลง ส่งผลต่อการบังคับควบคุมที่คล่องแคล่วขึ้นและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น

         มิติตัวถังของ Ertiga ใหม่ ยาว 4,395 มม. กว้าง 1,735 มม. สูง 1,690 มม ระยะฐานล้อยาว 2,740 มม. ความสูงจากพื้นจนถึงพื้นใต้ท้องรถ 180 มม. น้ำหนักตัวเปล่าตั้งแต่ 1,125 – 1,135 กิโลกรัม ตามแต่ละรุ่นย่อย ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าแล้ว รุ่นใหม่ใหญ่โตกว่าในทุกมิติแต่ระยะฐานล้อยังเท่าเดิมและน้ำหนักตัวเปล่าเบาลง

การขับขี่

           เริ่มต้นทดสอบในช่วงแรกจากโรงแรม เลอ เมอริเดียน รีสอร์ท เชียงราย ไปโร่ชาฉุยฟง ระยะทาง 39.7 กม. การขับขี่ในช่วงนี้ต้องเจอกับสภาพการจราจรที่หนาแน่นภายในเมืองเชียงราย ด้วยความโปร่งของภายในห้องโดยสารทำให้ทัศนวิสัยรอบคันดีงามมาก เสาหน้าไม่ใหญ่บดบังการมองแต่อย่างใด ความสูงของตำแหน่งนั่งขับเหมาะสม กระจกบานหลังกว้างทำให้มองด้านหลังถนัด แม้จะเป็นเอ็มพีวี 7 ที่นั่งแต่การขับในเมืองไม่ได้ช้าอืดอาด เรี่ยวแรงมาแบบนุ่มๆ เพียงพอสำหรับพุ่งทะยานออกตัวจากแยกไฟแดง ขณะที่เกียร์ 4 สปีดก็ทำงานอย่างนุ่มนวลไร้ซึ่งรอยต่อระหว่างตำแหน่งเกียร์ จุดนี้น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก

          ขนาดตัวรถไม่เป็นอุปสรรคในการลัดเลาะเปลี่ยนเลน รถมีความคล่องตัวพอสมควรทำให้ขับง่ายและไม่เหนื่อย พวงมาลัยเบามือ ระบบกันสะเทือนก็ปรับเซ็ตมาเหมาะสม ซับแรงกระแทกจากผิวทางที่ไม่เรียบเรียบได้ดี อีกจุดที่น่าประทับใจคือการป้องกันเสียงรบกวนที่ทำได้ดีมาก เราแทบไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เมื่อขับความเร็วต่ำเลย เสียงแวดล้อมรอบรถก็ป้องกันได้ดี นอกจากนี้เครื่องยนต์ยังเดินเรียบมากด้วย

            เมื่อหลุดจากตัวเมือง เราก็ได้ใช้ความเร็วมากขึ้น  Ertiga มีการขับขี่ที่นิ่งและมั่นคง เครื่องยนต์และเกียร์ตอบสนองได้ดี การเร่งจากจุดหนุดนิ่งสู่ความเร็ว 80 กม./ชม. ไม่หนักหน่วงรวดเร็วนัก ออกแนวสุภาพนุ่มนวลมากกว่า แล้วจึงพุ่งเข้าสู่ 100 กม./ชม. แบบเนียนๆ จังหวะยกคันเร่งรถค่อนข้างไหล รอบเครื่องไม่ตก เติมคันเร่งต่อได้อย่างสมูธนุ่มนวล

            แม้จะมีเกียร์เพียง 4 สปีดแต่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. เครื่องยนต์ก็ไม่ได้ทำงานในรอบที่สูงเกินไป เสียงเครื่องจึงเงียบและยังรู้สึกว่าสบายๆ อยู่ การคิ๊กดาวน์เพื่อเร่งแซงต้องกดคันเร่งลึกหน่อยและมีการรอจังหวะสักครู่ก่อนที่เกียร์จะชิฟท์ดาวน์ลงมา 1 สปีด กำลังที่ได้ไม่มากนักดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรแซงแบบฉับพลัน

           ช่วงล่างของ Ertiga มีความหนึบ เกาะถนน ป้องกันแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้ดีเมื่อใช้ความเร็วสูง รวมถึงพวงมาลัยที่มีความหนืดหน่วงมือมากขึ้นเมื่อใช้ความเร็ว จุดนี้สร้างความมั่นใจขณะขับขี่ได้เป็นอย่าง

         เส้นทางในช่วงก่อนถึงไร่ฉาฉุยฟงเป็นถนนเลนสวน มีความคดเคี้ยวและขึ้น-ลงเนินสลับกัน Ertiga ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เครื่อง 1.5 ลิตรกับเส้นทางลักษณะนี้ถือว่าสอบผ่านสบายๆ เกียร์มีความฉลาด เมื่อเจอเนินแล้วความเร็วเริ่มตกรอบเครื่องเริ่มต่ำ มันจะทำการวิฟท์ดาวน์ลงมา 1 สปีดเพื่อเรียกกำลังแรงบิดจากเครื่องยนต์ จังหวะการทำงานนี้เป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด

         เกียร์ 4 สปีดของ Ertiga มีโหมด S มาด้วย ที่จริงโหมดนี้ทำหน้าที่เหมือนปุ่ม Overdrive ใช้สำหรับเร่งแซงโดยที่ไม่ต้องกระทืบคันเร่ง หรือต้องการความสนุกจี๊ดจ๊าดในจังหวะออกตัวเพราะเกียร์จะลากรอบให้ยาวขึ้นเล็กน้อย ในเส้นทางที่เป็นเนินสูงชันก็สามารถใช้โหมดนี้ได้เช่นกัน แต่ถ้าเจอทางชันมากๆ ก็ยังมีเกียร์ 2 และเกียร์ L ให้ใช้

         การบังคับควบคุมของ Ertiga น่าประทับใจมาก บนเส้นทางที่ต้องเจอกับโค้งซ้ายขวามากมาย รถคันนี้เอาอยู่หมด พวงมาลัยตอบสนองเร็วพอประมาณ ระยะฟรีมีเหมาะสม มีความเที่ยงตรง ทำให้กะจังหวะการเข้าโค้งได้ง่าย ไม่เหนื่อยมากเมื่อต้องขับไกลๆ ในส่วนของช่วงล่างก็หนึบแน่นไม่มีการยวบย้วยแต่อย่างใด อาการโยนมีไม่มาก การทรงตัวดี เจอโค้งมากๆ แล้วไม่มึนหัว

          การขับขี่ในช่วงที่สองเป็นการเดินทางจากไร่ชาฉุยฟงไปสามเหลี่ยมทองคำ เรามุ่งหน้ากลับทางเดิมสู่ถนนพหลโยธินแล้วตรงขึ้นไปทางอำเภอแม่สาย ก่อนจะตัดเข้าอำเภอเชียงแสน เส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางราบ ใช้ความเร็วได้พอประมาณ เราสัมผัสได้ว่า Ertiga เป็นรถที่ขับสบายพอตัวด้วยความสุขุมนุ่มนวลเมื่อใช้ความเร็วเดินทาง 100-110 กม./ชม. การที่มีระบบ NVH ทำให้รถคันนี้เงียบและสั่นสะเทือนน้อยลงกว่ารุ่นก่อนหน้ามากพอสมควร

         ช่วงที่สามเป็นการขับจากสามเหลี่ยมทองคำมุ่งหน้ากลับตัวเมืองเชียงราย เส้นทางในช่วงนี้ต้องผ่านหมู่บ้านและตัวอำเภอต่างๆ สิ่งที่สัมผัสได้อีกอย่างคือ ระบบเบรกของ Ertiga เซ็ตอัพมาได้ดี มีความนุ่มนวล ไม่ต้องเหยียบแป้นลึกก็เริ่มรู้สึกหน่วง ทำให้กะระยะเบรกได้ง่าย น้ำหนักการหน่วงความเร็วอยู่ในระดับที่ง่ายต่อการควบคุม ตอบสนองต่อน้ำหนักการกดเท้าได้อย่างตรงไปตรงมา

        ตลอดเส้นทางการทดสอบระยะทางรวมกว่า 160 กม. เราไม่ได้วัดอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอย่างจริงจัง เมื่อดูบนหน้าปัดตัวเลขแสดงอยู่ที่ 12.3 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่คำนวณจากการขับขี่ตลอดเส้นทางที่มีการใช้ความเร็วในหลายช่วงทั้งทางราบ ขึ้นเขาลงเนิน รวมไปถึงการขับฝ่าการจราจรและไฟแดงในตัวเมือง เชื่ออว่าถ้าขับแบบประหยัดวัดประสิทธิภาพอย่างจริงจัง น่าจะทำได้ถึง 15 กม./ลิตร อย่างแน่นอน แต่สำหรับรถครอบครัว 7 ที่นั่งแล้ว ในการขับขี่จริง เหยียบจริง เปิดแอร์เย็นฉ่ำ บวกกับเจอถนนเลนสวนขึ้น-ลงเขา ตัวเลข 12 กม./ลิตร ถือว่าไม่ธรรมดา

ภายในใช้งานได้จริง

        เราบอกตั้งแต่ต้นว่า Ertiga เจนฯ 2 คือเอ็มพีวี 7 ที่นั่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้ามานั่ง คุณจะพบกับพื้นที่ที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นเบาะแถวหน้าหรือเบาะแถวสอง เบาะคนขับและพวงมาลัยปรับมือทั้งหมด ฟองน้ำเบาะค่อนข้างนุ่มเกินไปหน่อยซึงบางทีอาจส่งผลให้รู้สึกไม่กระชับในขณะขับขี่ คนตัวสูง 180 ซม. นั่งขับได้อย่างสบายไม่อึดอัด การเข้า-ออกรถง่ายเพราะประตูมีขนาดใหญ่

         พื้นที่ของเบาะแถวสองก็กว้างขวางเช่นกัน ตัวเบาะสามารถปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ 240 มม. พนักพิงปรับเอนได้ คนตัวสูง 180 ซม. นั่งได้อย่างสบายโดยที่หัวเข่าไม่ชนเบาะหน้า พื้นที่เหนือศีรษะเหลือเป็นคืบ ขึ้น-ลงรถสะดวก

          ปกติแล้วรถ 7 ที่นั่งมักจะตกม้าตายที่เบาะแถวสาม แต่ Ertiga จัดการพื้นที่ได้เป็นอย่างดี พื้นที่มีมากพอที่ผู้ใหญ่สูง 180 ซม. จะนั่งได้ พื้นที่วางขามีพอประมาณทำให้เวลานั่งไม่ต้องงอเข่าเยอะเท่ารถ 7 ที่นั่งหลายๆ รุ่น การเข้า-ออกก็ไม่ถือว่าทุลักทุเล ขณะที่พื้นที่เหนือศีรษะก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย นั่งแล้วไม่รู้สึกอึดอัดเพราะกระจกใหญ่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความสบายนั้นไม่เท่ากับเบาะทั้ง 2 แถวข้างหน้าแน่นอน  

          เบาะแถวสองพับแยกได้แบบ 60/40 เบาะแถวสามพับแยกได้แบบ 50/50 เมื่อพับแล้วจะราบเสมอกัน มีพื้นที่เก็บของอเนกประสงค์ใต้ห้องเก็บสัมภาระเปิด-ปิดได้แบบ 50/50

          นอกเหนือจากการปรับเบาะที่ค่อนข้างยืดหยุ่นแล้ว Ertiga ยังพร้อมมอบความสะดวกสบายด้วยช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมทั้งช่องชาร์จไฟ 12V  ช่องวางแก้วอีก 8 ตำแหน่ง รวมถึงช่องเป่าลมเย็นบริเวณด้านล่างของคอนโซลหน้า

ใหม่หมดนอกจรดใน

       หนึ่งในคู่แข่งหลักของ Ertiga ก็คือ Mitsubishi Xpander รายนั้นชัดเจนว่ามีภาพลักษณ์เป็นรถครอบครัวสายลุย สปอร์ตและเท่แบบเอสยูวี ซึ่งตรงข้ามกับ Ertiga อย่างสิ้นเชิง รูปลักษณ์ภาพนอกของเอ็มพีวี 7 ที่นั่งคันนี้สะท้อนออกมาในแนวหรูหราภูมิฐาน ดังนั้นการตกแต่งภายนอกจึงเน้นความหรูเป็นหลัก เริ่มจากกระจังหน้าโครเมี่ยมแบบทึบพร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์และไฟตัดหมอก เส้นสายด้านข้างเรียบหรู ตัวถังแบบหลังคาตรงท้ายตัดแบบรถมินิแวน ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้าย LED แบบ Light guide รูปทรงชวนนึกถึงแบรนด์รถหรูจากสวีเดน เชื่อมระหว่างไฟท้ายทั้งสองข้างด้วยแถบโครเมี่ยมเพิ่มความหรูหรา มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว หุ้มด้วยยาง 185/65 R15 ทั้ง 4 ล้อ

        เข้ามาดูที่ภายในกันต่อ ภายในของ Ertiga ชวนให้เราแปลกตั้งแต่แรกเห็นเมื่อวันเปิดตัวคือการใช้วัสดุลายไม้มาตกแต่งแดชบอร์ดและแผงประตูซึ่งยุคนี้ไม่ค่อยมีค่ายไหนทำกันในรถเรทราคาประมาณนี้ (มีเฉพาะรุ่นท็อป GX) จะว่าเชยก็ไม่เชิงแต่ว่ามันให้อารมณ์แบบผู้ใหญ่ๆ หน่อย ได้ความภูมิฐานไปเต็มๆ วัสดุและการประกอบสมราคา แม้จะใช้พลาสติกแข็งเป็นส่วนมาดแต่งานประกอบก็แน่นหนา

        จุดที่เราชอบคือเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสกึ่งกลางแดชบอร์ดที่ดูทันสมัย มันจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม รองรับการเชื่อมต่อครบครันทั้ง บลูทูธ, AUX และ USB หน้าตาเมนูดูทันสมัย ตอบสนองต่อการสัมผัสได้ค่อนข้างไว ปุ่มปรับระดับเสียงเป็นแบบสัมผัสด้านข้างจอ ใช้งานจะยากกว่าปุ่มแบบหมุน คุณภาพเสียงสมราคารถยนต์ สามารถปรับ EQ ได้หลากหลายแบบ

        ถัดลงมาเป็นแผงเครื่องปรับปรับอากาศสไตล์วินเทจ ไม่โก้หรูแต่ใช้งานได้ดี จุดที่เราชอบอีกอย่างคือพวงมาลัยแบบ D-shape ตกแต่งด้วยลายไม้เช่นกัน มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงมาให้ด้วย เป็นการผสมความสปอร์ตเข้ากับความหรูหราได้อย่างแยบยล

        หน้าปัดเป็นแบบอนาล็อก 2 วงวัดรอบและวัดความเร็ว ดูง่ายไม่ต้องเยอะ มีจอ MID แสดงข้อมูลการขับขี่แทรกกลาง บอกตำแหน่งเกียร์ อัตราสิ้นเปลือง เวลา อุณหภูมิ จับทริป A,B มาตรวัดระยะทาง ODO และระยะทางขับขี่ที่เหลือ

สรุปความน่าใช้

         Suzuki Ertiga เคยอยู่เงียบๆ มาหลายปีกับยอดขายที่พอถูๆ ไถๆ เนื่องด้วยตลาดเอ็มพีวีที่ไม่ได้คึกคักสักเท่าไร แต่วันนี้ตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว และเป็นจังหวะเวลาอันดีที่ซูซูกิคลอด Ertiga เจนฯ 2 ออกมา ซึ่งมันดีกว่ารุ่นก่อนหน้าทุกอย่าง ใหญ่โตกว่า หรูหรากว่า ภายในกว้างขวางกว่า เครื่องยนต์มีกำลังมากกว่า การขับขี่ดีกว่า ทุกอย่างทำให้เอ็มพีวี 7 ที่นั่งคันนี้สร้างกระแสของตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ

         หลายครอบครัวต้องการรถที่คุ้มค่า จากที่เราได้สัมผัส Ertiga มา รถคันนี้สามารถตอบโจทย์ครอบครัวขนาดเล็กถึงขนาดกลางได้เป็นอย่างดี ขับในเมืองก็ง่าย ขับทางไกลก็สบาย เครื่อง 1.5 ลิตร กับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เหลือๆ แล้วกับการใช้งานทั่วไป ทั้งยังประหยัด และมาพร้อมความอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้จริง ถ้าวัดจากราคาที่ไม่เกิน 7 แสนบาท คุณจะหารถ 7 ที่นั่งที่เหมาะสมกว่านี้ได้ที่ไหนอีก

          บางทีการหารถที่เหมาะสมสักคันก็ไม่จำเป็นต้องเว่อร์วังตามกระแสหรือมีเทคโนโนโลยีชวนว๊าวเต็มคัน ขอแค่สิ่งที่ได้คุ่มค่ากับเงินที่จ่าย และได้ใช้งานมันจริงๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถ้าคุณสนใจ Ertiga แล้วล่ะก็ เชิญไปลองขับ แล้วจะรู้ว่ารถที่ดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป

ขอขอบคุณ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ทริปทดสอบครั้งนี้

ดูรายละเอียดสเปก All-New Suzuki Ertiga ได้ที่นี่ www.whatcar.co.th/37698/all-new-suzuki-ertiga-official-launch/

สอบถามข้อมูลรถยนต์เพิ่มเติมได้ที่ www.suzuki.co.th หรือ www.facebook.com/officialsuzukimotorthailand/ 

Gallery

 

Exit mobile version