Comparison : Polestar 2 vs Tesla Model 3

Down to nuts and volts

Polestar 2 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนน้องใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวแข่งกับรุ่นเก๋าเอาชนะได้ยากอย่าง Tesla Model 3 เราจะมาดูกันว่าตำแหน่งแชมป์ปัจจุบันจะสั่นสะเทือนหรือไม่


NEW Polestar 2 Performance Pack

ราคาปกติ 54,900 ปอนด์ (ราว 2,745,000 บาท)*

ราคาที่น่าลงทุน 54,900 ปอนด์ ปอนด์ (ราว 2,745,000 บาท)*

ยังไม่มีจำหน่ายในไทย

Tesla Model 3 Performance

ราคาปกติ 56,490 ปอนด์ (ราว 2,824,500 บาท)

ราคาเป้าหมาย 56,490 ปอนด์ (ราว 2,824,500 บาท)

ยังไม่มีจำหน่ายไทย


        ไม่รักก็เกลียดชายผู้มีนามว่า Elon Musk และคุณจะต้องชื่นชมลูกบอลคริสตัลทำนายอนาคตของเขาเมื่อเขาได้เริ่มบริหารTesla ในช่วงกลางปี 2000 มันดูเป็นเรื่องเพ้อฝันสำหรับบริษัทที่ดูเหมือนกับเป็นโรงงานผลิตของเล่นเหล่าชนชั้นสูงผู้รักษ์โลกแต่ดูตอนนี้สิแบรนด์น้อยใหญ่ต่าง ๆ เริ่มเตรียมตัวผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาแข่งขันกันอย่างดุเดือด

        Model 3 เป็นตัวอย่างที่ส่องประกาย ในขณะที่ Tesla รุ่นก่อนหน้ามีราคาค่อนข้างสูงและการขับขี่ยังสู้ BMW 3 Series รุ่นซาลูนที่มีราคาพอให้เหล่าช่างฝันเอื้อมถึงได้มากกว่า จริง ๆ แล้วราคาของมันก็ยังสูงแต่เมื่อลองคำนวณค่าภาษีและการประหยัดน้ำมัน รถยนต์รุ่นนี้สามารถช่วยคุณให้ประหยัดได้มากกว่ารถยนต์เบนซินหรือดีเซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณซื้อเป็นรถยนต์บริษัท มันจึงติด 10 อันดับรถยนต์ขายดีของประเทศอังกฤษในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้

POLESTAR 2

        นี่เป็นครั้งแรกที่ Model 3 มี ผู้เข้าท้าชิงที่พร้อมจะมาเขย่าบัลลังก์ ซึ่งแบรนด์ที่ว่าไม่ได้มาจากทั้ง Audi, BMW, Mercedes-Benz หรือแบรนด์ชื่อดังใด ๆ แต่เขาคือแบรนด์สัญญาติสวีเดน Polestar หากคุณกำลังสงสัยว่า “ใครกันนะ”และเริ่มจินตนาการไปไกล เราจะขอแนะนำคุณสั้น ๆ ว่า Polestar เป็นแบรนด์ที่แยกมาจาก Volvo อย่างนี้คุณก็เริ่มจะมองแบรนด์ในแง่บวกขึ้นแล้วจริงไหม

TESLA MODEL 3

        ตามชื่อที่คุณเห็น Polestar 2 เป็นรุ่นที่เปิดตัวหลังจาก Polestar 1 plug-in hybrid coupé ราคาเริ่มต้นที่ 50,000 ปอนด์ หรือ 2,500,000 บาท หากเพิ่ม 5,000 ปอนด์ หรือ 2,500,000 บาท คุณจะได้ Performance Pack ที่มาพร้อมกับช่วงล่างที่ดีขึ้น, ล้อและเบรกขนาดใหญ่ขึ้นและฝาปิดวาล์วทองคำ ซึ่งชิ้นส่วนนี้คือการคาดการณ์ว่าจะเป็นออปชั่นเสริมที่เป็นที่นิยมและดันให้ Polestar มีราคาเทียบเคียงกับ Model 3 Performace รถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ประจำปี 2020 ของเรา


การขับขี่

สมรรถนะ, การขับขี่, ความรู้สึกในการขับขี่, ความประณีต

        Performance Pack ของ Polestar ไม่ได้มีส่วนช่วยในการดึงสมรรถนะพิเศษอะไรออกมา ในขณะที่ Model 3 Performance วิ่งได้เร็วกว่า Tesla Exclusive saloon รุ่นที่รองลงมา จริง ๆ แล้วคำว่า ‘เร็ว’ อาจจะยังน้อยไปสำหรับการจำกัดความความเร็วและแรงของเครื่องยนต์ เพราะเจ้ารุ่นนี้สามารถพุ่งไปสู่ 100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.3 วินาที รวดเร็วกว่า Ferrari Portofino เสียอีก

        แต่ขอเตือนคุณไว้ก่อนว่า คุณจะต้องเป็นผู้ที่ไร้สารอะดรีนารีนแน่ ๆ หากไม่รู้สึกประทับใจอัตราเร่งของ Polestar จาก 0-100 กม./ชม. ที่ความเร็ว 4.5 วินาที ความเร็วเท่ากับ Jaguar I-Pace มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและล้อที่หนึบติดถนนจะเป็นเครื่องยืนยันว่ารถยนต์ทั้งสองรุ่นจะไม่ประสบปัญหาในการส่งพลังไปสู่ถนน แต่ Polestar อาจมีการเชิดหน้าระหว่างการเร่งความเร็วที่รุนแรงบ้าง

POLESTAR 2

        Polestar มีน้ำหนักมากกว่าคู่แข่งประมาณ 250 กิโลกรัมและสูงกว่าไม่กี่เซนติเมตร ระบบช่วงล่าง Ohlins ทำงานอย่างดีเยี่ยมมากพอที่จะซ่อนจุดบอดในการเลี้ยวเข้ามุมแต่ก็ไม่น่าแปลกใจว่า Model 3 จะมีความรู้สึกในการควบคุมรถยนต์ที่ดีกว่าPolestar จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันนิดหน่อยและเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น รถยนต์ก็จะค่อนข้างเอียงตัวมากกว่าปกติ เมื่อคุณลองเหยียบคันเร่งเต็มอัตรา รถยนต์จะสูญเสียการยึดเกาะถนนเล็กน้อย

        รถยนต์ทั้งสองรุ่นยังขาดความนุ่มนวลสำหรับการเลี้ยวที่มันควรจะเป็นในฉบับรถยนต์ซาลูนขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน เราจึงขอแนะนำการบังคับเลี้ยวแบบ ‘standard’ บน Model 3 และ ‘firm’ บน Polestar แต่ไม่ว่าจะติดตั้งแบบไหน ระบบบังคับเลี้ยวของ Polestar ก็จะทำงานช้ากว่า ซึ่งของ Model 3 จะมีความเฉียบคมและตรงมากกว่า ความเที่ยงตรงนี้ช่วยมอบความมั่นใจในการขับขี่ขณะคุณขับรถด้วยความเร็วสูงบนถนนต่างจังหวัดแต่คุณอาจจะรู้สึกว่ามันดูกระด้างเกินไปสำหรับการขับขี่แบบช้า ๆ เนิบ ๆ

        ช่วงล่างของ Polestar เป็นแบบปรับได้ช่วยให้การขับขี่สบายขึ้น การเปลี่ยนระบบช่วงล่างของรถยนต์รุ่นอื่นๆ คือการกดปุ่มที่แผงควบคุมแต่สำหรับ Polestar คุณจะต้องเร่งเครื่องขึ้นเสียก่อนจากนั้นค่อยหมุนปุ่มแต่ละอันบนแดมเปอร์ทั้ง 4 เราจึงขอแนะนำให้คุณตั้งค่าแบบ ‘comfort’ (คลิ๊กไปด้านหน้า 18 ครั้ง ไปข้างหลัง 20 ครั้ง) ซึ่งจะรักษาสมดุลระหว่างการเลี้ยวและความสบายได้ดีที่สุด

TESLA MODEL 3

        เมื่อพิจารณารอบด้าน Tesla Model 3 ก็ยังคงเน้นรถยนต์ที่ขับขี่และโดยสารได้สบายกว่า มันเป็นรถยนต์ที่นุ่มนวลเมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเหมาะแก่การใช้งานในระยะทางไกล แม้จะวิ่งผ่านฝาท่อหรือตัวหนอน ทั้ง ๆ ที่ระบบช่วงล่างของรุ่น Performance เป็นแบบสปอร์ตก็ทำได้ดี

        แต่สิ่งหนึ่งที่อาจไม่น่าพอใจนักคือเสียงลมที่แทรกเข้ามาผ่านทางหน้าต่างเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง Polestar ทำคะแนนได้ดีกว่าในด้านนี้และเงียบกว่าในระดับความเร็ว 110 กม./ชม. อย่างไรก็ตาม รถยนต์ทั้งสองรุ่นมีเสียงคำรามของล้อมากกว่ารถยนต์ซาลูนเบนซิน เมื่อวิ่งในเมืองช่วงล่างของ Polestar ค่อนข้างทำงานเสียงดัง

        เนื่องด้วยข้อบังคับเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา เราจึงยังไม่สามารถนำรถยนต์ไปทดสอบระยะวิ่งจริงได้ แต่เราได้ทำการเทียบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ เราชาร์จไฟรถยนต์ทั้งสองคันให้เต็ม 90% จากนั้นลองขับระยะ 86 กิโลเมตร ทั้งมอเตอร์เวย์ ถนนชนบท และในเมือง ซึ่งการจราจรจะไม่มีผลต่อผลการทดสอบนี้ ผลของ Polestar ออกมาว่ามีการใช้ไฟฟ้าไป 20.8 kWh เมื่อนำไปคำนวณคิดเป็นระยะทางประมาณ 315 กิโลเมตรเมื่อชาร์จไฟเต็ม สำหรับ Model 3 พบว่ามีการใช้ไฟฟ้าไป 17 kWh เมื่อนำไปคำนวณคิดเป็นระยะทางประมาณ 387 กิโลเมตร ที่ทางทีมเราได้ลองทดสอบเมื่อปีที่แล้ว


หลังพวงมาลัย

ตำแหน่งคนขับ, ทัศนวิสัย, คุณภาพการผลิต

หากคุณเคยชินกับการขับ 3 Series หรือ Mercedes C-Class คุณจะรู้สึกว่าตำแหน่งคนขับของ Model 3 ค่อนข้างสูง จนกระทั่งได้ลองนั่ง Polestar ที่ให้ความรู้สึกระหว่างซาลูนและ SUV

POLESTAR 2

        รถยนต์ทั้งสองรุ่นมีตำแหน่งการขับขี่ที่ดีด้วยตำแหน่งของเบรกและคันเร่งที่เหมาะสมกับที่นั่งและพวงมาลัย หน้าจอแสดงผลดูสะอาดตาสไตล์มินิมอล ทุกอย่างแม้กระทั่งที่ปัดน้ำฝนจึงถูกควบคุมจากหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 15.0 นิ้ว แม้กระทั่งการปรับกระจกมองข้างและตำแหน่งของพวงมาลัย การที่ต้องมาวุ่นวายกับปุ่มกดต่าง ๆ

TESLA MODEL 3

        กระบวนการปรับของ Polestar แม้กระทั่งการปรับพวงมาลัยยังคงเป็นแบบเดิม ๆ โดยการดึงคันโยกเหมือนรถยนต์ทั่วไป รถยนต์ทั้งสองรุ่นมีการปรับตำแหน่งที่นั่งแบบไฟฟ้า แต่ที่น่ายินดีคือเบาะนั่งของ Polestar เป็นเบาะแบบของ Volvo ถึงอย่างนั้น Polestar กลับไม่ค่อยโอบอุ้มด้านข้างแต่ก็ดีกว่าเบาะนั่งของ Model 3 

        แม้ว่าการตกแต่งภายในของ Model 3 จะออกแนวสแกนดิเนเวียปนเท่มากกว่ารถยนต์จากสแกนดิเนเวียตัวจริง มันกลับดูไม่ค่อยลงตัว ผิดจากเบาะนั่งของ Polestar ที่ดูหรูหราแม้ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม


พื้นที่และการใช้งาน

พื้นที่ด้านหน้า, พื้นที่ด้านหลัง, ความยืดหยุ่นของเบาะนั่ง, พื้นที่ท้ายรถ

        แม้ว่ารถจะมีความสูงกว่า แต่ Polestar ก็ไม่ได้มีพื้นที่เหนือศีรษะมากกว่า ผู้โดยสารสูงกว่า 180 ซม. อาจจะต้องเอียงศีรษะเล็กน้อยหรือจะต้องสละทรงผมสุดเท่ไป แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับ Model 3 

POLESTAR 2

TESLA MODEL 3

        Model 3 ทำคะแนนได้ดีกว่าในเรื่องพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถ และสามารถจุกระเป๋าเดินทางแบบ carry-on ได้ถึง 10 ใบ รวมถึงยังมีพื้นที่เก็บของกระจุกกระจิกใต้ฝากระโปรงรถอีกด้วย ในขณะที่ Polestar สามารถจุกระเป๋าเดินทางได้ 7 ใบเท่านั้น มันเลยกลายเป็นเสมือนแฮทช์แบ็กมากกว่าซาลูน ประตูท้ายค่อนข้างกว้างกว่ามากและสามารถเปิด-ปิดด้วยการกดปุ่ม สำหรับ Model 3 คุณอาจจะต้องพึ่งพาพลังกล้ามเนื้อแขนสักหน่อย


การซื้อและการเป็นเจ้าของ

ราคา, อุปกรณ์, ความน่าเชื่อถือ, ความปลอดภัย

        รถยนต์ไฟฟ้าล้วนราคาต่ำกว่า 50,000 ปอนด์หรือ 2,500,000 บาท จะได้รับเงินอุดหนุนมูลค่า 3,000 ปอนด์หรือ 150,000 บาทจากรัฐบาล แต่ผู้เข้าท้าชิงทั้งสองไม่อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด อย่างไรก็ตาม Polestar ดูจะได้เปรียบเพราะราคานี้รวมแพ็กPerformance ที่ผู้ซื้อจะต้องตัดสินใจว่าจะเพิ่มเงินเพื่อติดตั้งหรือไม่

        Polestar ไม่มีตัวเลือกให้ผ่อนแบบ PCP หากคุณต้องการผ่อนกับบริษัทโดยตรงคุณจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 693 ปอนด์ หรือ 34,650 บาท Tesla จะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม 910 ปอนด์ หรือ 45,500 บาท สำหรับ Model 3 ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน

        อาจจะไม่มีอุปกรณ์ที่หรูหรา แต่รถยนต์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว, ระบบควบคุมอุณหภูมิ, เบาะนั่งปรับอุณหภูมิได้ ไฟ LED เหนือศีรษะ, หลังคากระจกพาโนรามาและระบบไร้กุญแจ Polestar ยังเพิ่มระบบพวงมาลัยปรับอุณหภูมิได้มาให้อีกด้วยรวมถึงยังมีระบบเสริมและระบบนิรภัยเช่นเดียวกับใน Volvo อย่างไรก็ตาม ณ วันที่เขียนบทความนี้ ยังไม่มีการรองรับความปลอดภัยด้านการชนจาก Euro NCAP ในขณะที่ Model 3 โดดเด่นเรื่องนี้มาก

        รถยนต์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบจดจำสัญญาณไฟจราจร, ระบบแจ้งเตือนจุดบอด, cruise control แบบปรับได้ และระบบพวงมาลัยอัตโนมัติ นอกจากนั้น Tesla ยังมีระบบ ‘ขับขี่ด้วยตนเอง’ แต่คุณต้องติดตั้งเพิ่ม ซึ่งรถยนต์คุณจะสามารถเปลี่ยนเลนส์อัตโนมัติบนมอเตอร์เวย์ หรือค้นหา Tesla ของคุณผ่านโทรศัพท์

        Polestar และ Tesla ใช้เวลาชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มอยู่ที่ 11ชั่วโมง 45 นาที หากคุณใช้ที่ชาร์จกำลังไฟ 7kW ลองมองหาจุดชาร์จไฟ 150 kW CCS (ซึ่งในปัจจุบันยังมีเพียงไม่กี่จุดเท่านั้นในอังกฤษ) คุณจะสามารถชาร์จ Polestar ของคุณจาก 0-80% ได้ภายใน 27 นาที ในขณะที่ Tesla ใช้เวลาเพียง 22 นาทีด้วยจุดชาร์จไฟเฉพาะ Tesla 250 kW Supercharger ที่ปัจจุบันมีประมาณ 500 จุดทั่วประเทศอังกฤษ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่น่าดึงดูดใจของ Tesla



. . WHATCAR SAY . .

Model 3 ชนะแบบไม่ทิ้งฝุ่นมีวางจำหน่ายในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับ Polestar แล้ว Model 3 วิ่งได้ระยะทางไกลกว่าเพียงแค่ระบบ Supercharger ก็เป็นเหตุผลที่มากพอที่จะเลือก หากคุณนึกถึงความเร็ว ความสนุกในการขับขี่ ความนุ่มนวล และพื้นที่ในห้องโดยสาร Model 3 เป็นความคุ้มค่าที่สมควรจ่ายแม้จะมีราคาที่สูงกว่า

อย่างไรก็ตาม Polestar ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า Tesla มากนักในบางด้าน โดยเฉพาะการเลือกใช้วัสดุตกแต่งภายใน Polestarกลับทำได้ดีกว่า Model 3 เสียอีก หากคุณตกหลุมรักรูปลักษณ์ คุณก็จะได้เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีคันหนึ่งเลยล่ะ


ข้อดี จังหวะและการยึดเกาะถนนดีจนต้องอ้าปากค้าง ห้องโดยสารกว้าง รักษาความปลอดภัยโดดเด่น ระบบการชาร์จดีกว่า วิ่งได้ระยะทางไกล

ข้อเสีย วัสดุภายในธรรมดา มีเสียงลมรบกวนเมื่อขับด้วยความเร็วระดับวิ่งบนมอเตอร์เวย์

ออปชั่นเสริมที่แนะนำ ไม่มี

ข้อดี ภายในหรูหรา วัสดุคุณภาพดี ขับขี่เงียบและถูกกว่าในระยะยาว

ข้อเสีย อุปกรณ์การชาร์จ ขับขี่ไม่ดีเท่า พื้นที่เหนือศีรษะห้องโดยสารด้านหลังเหลือน้อย

ออปชั่นเสริมที่แนะนำ สีเมทัลลิก (900 ปอนด์ หรือ NaN)

Exit mobile version