Overview Of Car
BMW 520d M Sport เป็นซีรีส์ 5 ที่มาพร้อมกับชุดตกแต่งแบบ Sport Line รอบคัน ซึ่งยังอัดแน่นไปด้วยระบบอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีใหม่ๆ จุดเด่นที่สำคัญของ BMW 520d Sport นั้น คงหนีไม่พ้นชุดตกแต่งแบบ Sport Line ที่เพิ่มบุคลิกความเป็นซีดานผู้บริหารมาดสปอร์ตให้ชัดเจนมากขึ้นตามสโลแกน Business Athlete
BMW 520d M Sport มีการปรับโฉมทั้งภายนอกและภายใน มีการใช้ชุดแต่งจาก M Sport ซึ่งเราจะไปดูกันว่าที่มีการปรับโฉมใหม่นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน และจะมีความสปอร์ตมากขึ้นขนาดไหนกัน
BMW 520d M Sport รุ่นนี้เป็นเจเนอเรชั่น G30 ก็คือเป็นรุ่น LCI มาในรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือชุดแต่ง M Sport เราจึงได้นำมารีวิวในครั้งนี้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของความคุ้มค่าหรือสมรรถนะที่ซ่อนอยู่ในเครื่องยนต์ดีเซลของรถคันใหญ่ในรุ่นนี้
BMW 520d M Sport เครื่องยนต์นั้นเป็นขุมพลังดีเซล 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 1,995 ซีซี แรงม้าสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที เชื่อมต่อกับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลา 7.5 วินาที และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตาม ECO Sticker อยู่ที่ 20 กม./ลิตร ส่วนคู่แข่งอย่าง 530e M Sport เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร แบบปลั๊กอินไฮบริด ให้กำลังเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 252 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 420 นิวตันเมตร และมีอัตราเร่งจากศูนย์ถึง 100 กิโลเมตร อยู่ที่ 5.9 วินาที อัตราสิ้นเปลืองพลังงานมีความประหยัดมากขึ้นเพราะเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าจึงสามารถประหยัดได้ถึง 55.6 กิโลเมตรต่อลิตร แต่โดยส่วนตัวของเราเราคิดว่ารุ่น 520d ก็ประหยัดมากพอสมควรอยู่แล้ว
มาเริ่มกันที่กระจังหน้าที่เป็นแบบ kidney grill ที่ปลี่ยนดีไซน์ใหม่โดยจะใหญ่ขึ้นซึ่งจะเหมือนกับ 530e ซึ่งจะดูสมส่วนกับไฟหน้า รุ่นนี้มีความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือจะมีบานพับที่สามารถเปิดปิดได้ในกระจังหน้าเพื่อระบายความร้อนแต่เมื่อออกตัวรถกระจังหน้าจะปิดลงเพื่อไม่ให้ลมไปปะทะเข้าไปที่เครื่องด้านในทำให้การต้านอากาศมันน้อย ซึ่งมันจะมีผลกับพวกพลศาสตร์ต่างๆ
บริเวณหน้ารถไม่มีกล้องหน้าและมีเรดาห์เหมือนตัว 530e แต่ทาง BMW ได้ให้เซ็นเซอร์รอบคันมาแทน อีกทั้งมีไฟหน้าเป็นแบบ Individual Lights Shadow Line ซึ่งเป็นโคมดำ ไฟหน้าแบบใหม่นี้มีลักษณะเป็นทรงเราขาคณิต มาพร้อมเทคโนโลยีไฟ BMW LED รุ่นนี้เป็นตัว Adaptive LED ก็คือสามารถปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติและยังมีไฟตัดหมอกซ่อนอยู่ในตัวอีกต่างหากซึ่งไฟตัดหมอกจะไม่ได้อยู่บริเวณกันชนหน้าแล้ว นอกจากนี้มีไฟ Day time running ซึ่งทั้งหมดนี้ก็สว่างเพียงพอสำหรับทั้งกลางวันและกลางคืน
ส่วนกระจังหน้าเป็นแบบชิ้นเดียว ส่วนตัวระบายอากาศด้านล่างจะเป็นลายคล้ายๆรังผึ้ง ในรุ่นนี้มาพร้อมกับเซ็นเซอร์หกจุด มีที่ด้านหน้า 2 จุด ด้านข้าง 2 จุด และข้างล้ออีก 2 จุด ซึ่งถือว่าให้มาเยอะพอสมควร
ถัดมาที่ล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้ว ซึ่งต่างจากรุ่น 530e ที่จะเป็นขนาด 19 นิ้ว อีกทั้งยางก็จะมีขอบบางกว่า 520d ซึ่งรุ่นนี้ค่อนข้างหนา อีกทั้งเป็นยางรันแฟลต ขนาดล้อหน้าอยู่ที่ 245/45 R18 หน้ายางกว้าง 8 นิ้ว ส่วนล้อหลังอยู่ที่ 275/40 R18 หน้ายางกว้าง 9 นิ้ว แม็กเป็นลาย Double-spoke ซึ่งเป็นลายก้านคู่และมีการลงสีเทาดำกับโครมเมียม เมื่อมองดูแล้วให้ความรู้สึกสปอร์ตโดยก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราชอบ ซึ่งที่รถคันใหญ่ขนาดนี้ทุกคนสงสัยกันไหมว่าทำไมถึงล้อขนาด 18 นิ้ว นั้นก็เพราะว่าวิศวกรต้องการเซทรถใหม่มีความสามารถในการขับขี่มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันหรอือัตราเร่งซึ่งทาง BMW ก็คงคิดมาเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน ในส่วนของเบรกเป็นดิสเบรคขนาดใหญ่ ไม่มีรูระบายอากาศและมีคาลิเปอร์เบรกแบบธรรมดา
ด้านข้างมาพร้อมโลโก้ M ที่แสดงถึงความเป็น M Sport และใกล้ๆ กันก็มีช่องครีบที่เป็นที่ระบายอากาศ ซึ่งมันจะเข้ากับตัวกระจังหน้าเพื่อให้ลมผ่านเข้ามาได้ซึ่งก็จะเป็นเรื่องของ Arrow Dynamic ถัดมาที่กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยว LED มาให้ แต่ไม่มีกล้องมองรอบคัน ต่างจาก 530e ที่มีกล้องมองรอบคันมาให้ที่กระจกข้างทั้งฝั่งซ้ายและขวา กระจกมองข้างในรุ่น 520d มีการเพิ่ม Driving Assistant มีไฟเตือนกระจกด้านข้างเมื่อมีรถมาจากมุมอับสายตาซึ่งต่างจากรุ่นเดิม อีกทั้งสามารถตัดแสงได้อัตโนมัติ นอกจากนี้หลังคาเป็นหลังคาธรรมดาไม่ได้เป็นแบบหลังคาพาราโนมิกซันรูฟ สำหรับ 520d มีขอบคิ้วตามประตูกระจกต่างๆ เป็นสีดำเงา อีกทั้งสเกิร์ตด้านข้างเป็นแบบ M Aerodynamics นอกจากนี้มีเสาอากาศแบบครีบฉลาม ซึ่งไม่ได้ใหญ่โตเกินไปทำให้ดูสมส่วนกับตัวรถ
มือจับประตูเป็นแบบเซ็นเซอร์ โดยใช้กุญแจแบบสมาร์ทคีย์ พี่แสดงผลเป็นจอ digitalทั้งหมด สามารถที่จะตรวจสอบสถานะรถหรือน้ำมันก็ได้ เมื่อเราต้องการปลดล็อคหรือล็อครถเราสามารถแตะเบาเบาที่มือจับประตูได้เลยหรือจะใช้กุญแจรถก็ได้ ในรุ่นนี้สิ่งที่น่าสนใจเลยคือระบบประตูดูดที่มีมาให้แล้วทั้ง 4 บาน ซึ่งก่อนหน้านี้ระบบนี้ยังไม่มีมาให้ ไม่ว่าจะเป็นคุณผู้หญิงตัวเล็กหรือว่าผู้สูงอายุก็สามารถปิดประตูได้โดยที่ไม่ต้องออกแรงเพราะในรถรุ่นนี้ประตูค่อนข้างหนักด้วยความที่เป็นรถยุโรปการที่ระบบประตูดูดเข้ามาจึงทำให้การปิดประตูเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น นอกจากนี้ประตูก็เป็นแบบ Comfort Access ซึ่งเป็นประตูปลดล็อกประตูอัจฉริยะ สามารถปลดล็อกและเปิดรถในระยะที่มีกุญแจ 1 เมตร ที่ด้านข้างก็แต่งชุด M Sport ด้วย
ถัดมาที่ด้านท้าย กระโปรงท้ายจะมีสัญลักษณ์ 520d ที่เป็นโครเมียม และไฟท้ายจะเป็นแบบ Individual Lights Shadow Line แต่งขอบเป็นโคมดำ มีการออกแบบให้เป็น 3 มิติ ทำให้เข้ากับตัวรถพอเปิดไฟแล้วสว่างเต็มที่เพราะเป็น LED เต็มระบบ ไฟเลี้ยวเป็นไฟ LED รุ่นใหม่ที่อยู่ใต้ไฟท้ายซึ่งมีความเข้มของแสงที่ค่อนข้างมาก ไฟถอยหลังก็เป็นไฟ LED เต็มระบบเช่นกันในรุ่นนี้จะมีกล้องมองหลังให้ด้วย สำหรับฝาเปิดได้แบบไฟฟ้าทำให้ง่ายต่อการใช้งาน อีกทั้งยังสามารถเปิดแบบแมนนวลได้ด้วย นอกจากนี้ยังง่ายขึ้นไปอีกการเปิดจากกุญแจรถหรือเปิดจากฝั่งคนขับเปิดกระโปรงและสามารถเปิดแบบ kick sensor ได้อีกด้วย
บริเวณเก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถบรรจุสัมภาระได้ถึง 530 ลิตร แต่น่าเสียดายที่เบาะด้านท้ายไม่สามารถพับลงได้ แต่ก็ยังสามารถใส่กระเป๋าเดินทางไซด์ใหญ่ได้ถึงสองและใบเล็กอีกสองใบ ขนาดท้ายรถก็จะแตกต่างกับตัวรุ่น 530e ที่มีขนาดความจุอยูที่ 410 ลิตรเท่านั้นเองด้วยเพราะมีแบตเตอรี่ด้านท้ายทำให้พื้นที่ในการจุของจริงน้อยลง
สีของ 520d มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Alpine White เป็นสีขาวมาตรฐานของ bmw ,Sophisto Grey Brilliant Effect เป็นสีเทาเงาๆ ออกเหลือบมุกหน่อยๆ, Black Sapphire metallic เป็นสีดำ และ Phytonic Blue เป็นสีน้ำเงินที่ยังให้ความเป็นวัยรุ่น
สเปคเครื่องยนต์
Body Style | Sedan |
Description | รถเก๋ง 4 ประตู |
Engine | เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo |
Fuel Consumption | 20 กม./ลิตร |
Fuel Type | ดีเซล |
Make | BMW 5 SERIES |
Max Power | 190 แรงม้า |
Max Torque | 400 นิวตัน |
Model | BMW 520d M Sport |
Price Guide | 3,539,000 บาท |
Release Date | 3 สิงหาคม 2565 |
0-100 km/h | 7.5 วินาที |
Transmission | เกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 จังหวะ |
การขับขี่
รุ่น 520d มีเสาเอที่ดูเหมือนจะใหญ่แต่มีการออกแบบให้เว้าในช่วงขอบกระจกทำให้มองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ในส่วนของโหมดการขับขี่ของ BMW มีทั้งหมด 3 โหมด โหมดแรกที่เราได้ลองขับขี่คือโหมด Eco Pro ซึ่งคันเร่งจะให้ความรู้สึกที่หนืดต้องเหยียบลึกลงสักหน่อย เมื่อเราเหยียบมันจะไม่พุ่งตัวออกตัวทันทีต้องรอเวลาซักหนึ่งถึงสองวินาที ถึงจะเริ่มออกตัวเพราะเป็นโหมดประหยัดพลังงานทำให้การทำงานของเครื่องยนต์หรือคันเร่งมีความช้ามากขึ้ แต่ว่าช่วงล่างมีความนุ่มขึ้น เบรกก็จะมีความตึงในเรื่องของแป้นเหยียบเข้ามาด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันจะเกี่ยวข้องกับการจัดการความประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่งเราจะสามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 17-18 กิโลเมตรต่อลิตร ในโหมดนี้เราคิดว่าน่าจะเหมาะกับการขับขี่ในเมืองมากกว่าเพราะสามารถประหยัดน้ำมันและถ้าเจอรถติดก็จะไม่มีปัญหา ช่วงที่เหยียบคันเร่งมันช้าก็จริงแต่พอรอบมารถก็จะไหลได้เรื่อยๆ แม้รอบมันจะไม่ได้ทำงาน
เมื่อเราเปลี่ยนเป็นโหมด Comfort พวงมาลัยจะเบาขึ้น แต่สำหรับ BMW พวงมาลัยจะไม่ได้เบามาก โหมด Comfort ก็จะคล้ายๆกับโหมด Eco Pro ที่ขับไปสักพักหนึ่งแล้วปล่อยไหล ก็จะช่วยในเรื่องของความประหยัดมันก็เหมือนเราใช้โหมด Sport ครึ่งหนึ่งและโหมด Eco Pro ครึ่งหนึ่ง
พอใช้โหมด Sport สิ่งที่จะเห็นเลยคือหน้าจอกลางจะเปลี่ยนเป็นสีแดง รอบและเสียงของเครื่องยนต์ก็จะจัดจ้าน รอบจะมาไวขึ้น โดยรวมดีเยี่ยมแต่ก็แอบอืดไปสักหน่อยแต่ก็ยังถือว่ารวดเร็วโดยที่รถให้การตอบสนองค่อนข้างดีด้วยแรงบิดที่ค่อนข้างเยอะ อีกทั้งพวงมาลัยก็จะมีความตึงมือพร้อมที่จะใช้ความเร็ว น้ำหนักของพวงมาลัยถือว่าดีสำหรับคนที่ชอบขับรถเร็วและด้วยความที่ขับสนุกหากเมื่อเราขับรถทางไกลก็จะทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและสนุกขึ้นมาบ้างในการขับขี่ ในส่วนของอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ 7.5 วินาที
เบรกก็จะเป็นเบรกคาลิปเปอร์ธรรมดา ซึ่งก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ได้แบบ M Sport มา เพราะในส่วนอื่นได้แต่งชุดแต่ง M ทั้งหมด แต่ในแรงม้าและแรงบิดเท่านี้ก็เพียงพอแล้วกับการใช้งานเบรกแบบนี้ถ้าเป็นความเร็วต่ำหากแล้วก็เอาอยู่เลย แต่ถ้าเป็นความเร็วสูงอาจจะต้องเหยียบหนักหน่อยแต่ก็ยังสามารถจัดการและควบคุมได้ โดยต้องมีระยะให้เบรกสักนิดซึ่งจะไม่เหมือน M Sport ที่สามารถเบรกได้เดียวนั้นได้ทันที
ช่วงล่างเป็นแบบ M Sport ซึ่งปรับเซตมาในแบบสปอร์ต อาจให้ความรู้สึกกระด้างและตึงตังบ้างแต่มันก็ยังสามารถใช้งานในเมืองและนอกเมืองได้ค่อนข้างดี แม้ว่าจะไม่ได้เป็นช่วงล่างแบบ Adaptive ไม่ได้เหมือนกับตัว 530e แต่เราก็รู้สึกว่ามันก็เพียงพอแล้วสำหรับช่วงล่างธรรมดา พราะเราก็รู้สึกว่ามันก็มีความนุ่มนวล การแสดงหรือการหักพวงมาลัยในระยะกระชั้นชิดรถยังทรงตัวได้ดี ตั้งแต่ 120 กิโลเมตรขึ้นไปรถไม่ได้มีการโคลงตัวหรือรู้สึกถึงการโยนตัวอะไรมาก ให้ความสนุกในการขับขี่ในสไตล์ของ BMW ครบทีเดียว เสียงเครื่องยนต์เงียบมากไม่เหมือนเครื่องยนต์ดีเซลเลย เราอาจจะได้ยินเสียงล้อบทถนนแต่เราแทบจะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เสียงลมตามขอบหน้าต่างในช่วงที่เราวิ่ง 100 -120 กิโลเมตรขึ้นไปก็ยังไม่มีเสียงเล็ดลอดเข้ามา แต่เสียงรถวิ่งผ่านสวนกันไปก็ยังมีเข้ามาให้ได้ยินบ้าง
การใช้ Paddle Shift ของ 520d ได้ออกแบบมา ให้สำหรับผู้ขับขี่โดยเฉพาะ การใช้งานง่าย ซึ่งก็จะเหมือนการเปลี่ยนเกียทั่วไปที่เราเคยไปทดสอบรถรุ่นต่างๆ สำหรับขึ้นหรือลงเขาหรือชะลอความเร็วรถยนต์ ได้ดีพอสมควร โดยที่เราไม่ต้องจับเกียร์ที่คอนโซนกลางแต่ถ้าใครชอบความสนุกก็สามารถใช้ที่คอนโซนกลางได้ก็จะให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง Driving Assister ใน 520 ดีตัวนี้ เพราะมีเรื่องของการเตือนรถในมุมอับสายตา เตือนเมื่อมีรถขับผ่านขณะถอยจอด หรือการดึงพวงมาลัยกลับเข้ามาขณะที่เราออกนอกเลน ระบบช่วยถอยจอดก็มีให้ด้วย ไปถึงยังมีระบบช่วยเบรก
ในเรื่องของความปลอดภัยก็ครบครัน ได้แก่
- ถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า
- ถุงลมนิรภัยศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง (ยกเว้นผู้โดยสารตอนหลังกลาง)
- ระบบ Teleservices
- ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC)
- ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC)
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
- ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist)
- ไฟเบรกกระพริบฉุกเฉิน (Dynamic Braking Lights)
- ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC)
- เซ็นเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)
- ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection)
- ระบบ Active Protection
- ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Attentiveness Assistant)
- ระบบเตือนสถานะของยาง (Runflat Indicator)
- เซ็นเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง
- กล้องแสดงภาพด้านหลัง
สุนทรียภาพการขับขี่
กุญแจของ BMW 520d M Sport ซึ่งจะมีกุญแจให้มาทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ กุญแจ Keycard กุญแจธรรมดา และกุญแจมัลติฟังก์ชั่นซึ่งกุญแจแบบนี้สามารถทำงานได้หลากหลายทั้งดูสถานะของรถยนต์ได้ ในทกุวันนี้เราสามารถโหลดแอพลิเคชั่น BMW ลงโทรศัพท์เพื่อสั่งเปิดปิดรถได้อีกด้วย
เริ่มต้นจากแผงประตูรถด้านฝั่งคนขับซึ่งมีการออกแบบตกแต่งแบบใหม่ เราจะเห็นลวดลาย Rhombicle Smoke Grey โดยแผงประตูก็จะใช้สีเดียวกับเบาะและตัดด้วยสีดำแต่งด้วยโครเมียมเพิ่มเติม อีกทั้งยังซ้อนไฟ ambient light ไว้ทำให้เวลากลางคืนก็จะมีความสวยงามและโดดเด่นพอสมควร มีสวิตช์สำหรับเปิดกระจก ซึ่งกระจกเป็นแบบอัตโนมัติทั้งสี่บาน มาพร้อมกับสวิชต์ที่เปิดปิดม่านหลังแบบไฟฟ้า อีกทั้งยังมีสวิตช์ที่สามารถปรับมุมมองกระจกมองข้างรวมถึงสามารถพับกระจกได้ นอกจากนี้ยังบันทึกตำแหน่งที่นั่งได้เพียงสองจุดเท่านั้นสำหรับรุ่น 520d มีลำโพงของ Harman Kardon จากเดิมที่เป็น HiFi loudspeaker และมีสวิตช์สำหรับเปิดฝากระโปรงท้าย มีงานออกแบบมาได้สวยงามและการใช้งานที่ครบครันแต่ว่าก็ไม่ได้ต่างจากรุ่นก่อนหน้า
ภายในมีการตกแต่งแดชบอร์ดด้วยลาย Rhombide Smoke Grey บุด้วยหนัง Sensatec เป็นสีดำด้านที่มีโครเมียมเพิ่มเข้ามา และก็มีไฟเรืองแสงตัดสลับกับโครเมียม พร้อมกับสีหนังที่ออกเป็นสีน้ำตาลอ่อนอ่อนหรือที่เรียกว่าสี Cognac
บริเวณคอนโซลกลางเป็นสีดำจะมีช่องเก็บของที่สามารถเลื่อนปิดได้ อีกทั้งยังมี Wireless Charger และช่อง USB-A รวมไปถึงช่องไฟ 12 โวลต์ แต่ใน Wireless Charger เหมือนจะมีปัญหาสักหน่อย สำหรับโทรศัพท์รุ่นใหญ่ๆ แต่สามารถชาร์จสมาร์ทคีย์ของ BMW ได้เพราะว่าก็ใช้ไฟเช่นเดียวกัน ถัดลงมาจะเป็นคันเกียร์ซึ่งบริเวณด้านซ้ายของคันเกียร์ก็จะเป็น I drive ที่เป็นตัวหมุนใช้ปรับตัวหน้าจอ I drive ด้านบน ถัดมาด้านขวาข้างกันก็จะเป็นโหมดการขับขี่ต่างๆ
จุดเด่นก็คงไม่พ้นของจอแสดงผล Infotainment มีขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุดจากรุ่นก่อน มีการออกแบบมาใส่ใจผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเอียงองศาในระบบควบคุม controller ต่างๆ ไปทางผู้ขับขี่ จอแสดงผลกลางเป็นระบบอัปเกรดเวอร์ชั่นรุ่นล่าสุดของ BMW สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้ โดยมีระบบ BMW ConnectedDrive ซึ่งเป็นบริการสำหรับเจ้าของรถ BMW โดยสามารถเชื่อมต่อตัวรถเข้ากับบริการและแอพพลิเคชั่นต่างๆของผู้ผลิต และสิ่งที่น่าสนใจเลยคือเรื่องของระบบนำทางที่ถึงแม้ว่าจะเป็น 3 มิติ ที่ไม่ได้หวือหวาอะไรมากแต่ความแม่นยำค่อนข้างถูกต้อง นอกจากนี้คุณสามารถแบ่งเป็น 2 จอ โดยอาจจะแบ่งเป็นจอสำหรับความบันเทิงและอีก 1 จอ เป็นแผนที่ก็ได้ ซึ่งสามารถแบ่งจอได้ตามฟังก์ชั่นการใช้งาน
ถัดมาที่ช่องลมแอร์ซึ่งการออแบบก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมซักเท่าไหร่โดยจะเป็นสีดำเปียโนแบล็ค เป็น Duo-Zone สามารถปรับอุณหภูมิแยกปรับอิสระซ้าย-ขวา ระบบแอร์เป็นแบบสัมผัสแต่ว่ายังมีปุ่มอยู่บ้างไม่ได้เป็นแบบสัมผัสทั้งหมด บริเวณแอร์ก็จะมีสัญญาณไฟฉุกเฉินและ Driving Assister ซึ่งเป็นเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเตือนเวลาที่ใช้ความเร็วต่ำหรือระบบเบรกก่อนการชน เป็นต้น โดยสามารถตั้งค่าได้จากหน้าจอหรือกดปุ่ม Driving Assister ได้เลย รวมถึงยังสามารถที่จะตั้งค่าต่างๆได้เองด้วย เช่น ระบบที่สามารถตั้งค่าความหน่วงของพวงมาลัยได้อีกด้วยซึ่งระบบนี้จะใช้ก็ต่อเมื่อขับออกนอกบเลน โดยที่สามารถตั้งค่าได้ 3 ระดับ หรือระบบ Gesture Control ซึ่งเป็นระบบที่สามารถสั่งการได้ด้วยนิ้ว
ในส่วนของเบาะเป็นเบาะหนังแท้ Dakota ให้สัมผัสที่นุ่มมือและมีความทนทานค่อนข้างสูง สีที่ใช้เป็นโทนน้ำตาลและเดินด้ายด้วยสีฟ้า ไม่ดูแก่หรือว่าวัยรุ่นจนเกินไป สิ่งหนึ่งที่เราชอบคือเบาะจะมีสวิตซ์ดันหลังส่วนล่างทำให้เวลาขับขี่จะไม่เมื่อยและนั่งสบายตามสรีระร่างกาย อีกทั้งเบาะยังมีขนาดใหญ่และให้ความรู้สึกเหมือนโอบกระชับร่างกายเราไว้ ส่วนที่โอบกระชับร่างกายเราเราสามารถปรับให้ขยายเข้าหรือขยายออกตามความต้องการเราได้อีกด้วย มาพร้อมตำแหน่งเบาะที่ก็สามารถปรับเดินหน้าถอยหลังได้ นอกจากนี้เบาะนั่งตอนหน้าดีไซน์ Sport สามารถปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ 2 ตำแหน่ง และยังมีที่รองน่องแต่ใช้เป็นระบบแมนนวล
ในรุ่นนี้มี BMW Live Cockpit Professional เป็นหน้าจอแสดงการขับขี่แบบดิจิตอลซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับหน้าจอกลาง ซึ่งเมื่อเราปรับโหมดการขับขี่สีที่หน้าจอก็จะเปลี่ยนไปตามโหมดต่างๆ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในแต่ละโหมดและยังแสดงที่หน้าจอกลางด้วย อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อระบบนำทางจากหน้าจอกลางมาที่หน้าจอ Cockpit ได้อีกด้วยทำให้ดูแผนที่ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมี Head Up Display ที่บอกความเร็วของรถและยังสามารถเลือกดูพวกไฟล์เพลงหรือระบบต่างๆ รวมไปถึงการตั้งค่า speed limit และ Cruise Control ได้ด้วย
เรารู้สึกว่าเมื่อไหร่ BMW จะเปลี่ยนตัวปอกพวงมาลัยซักที แต่เราได้ข่าวมาว่า Series 7 ที่จะมาในปลายปีนี้จะมีการออกแบบพวงมาลัยแบบใหม่แต่ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมาก แต่ทั้งนี้การออกแบบของเขาก็ยังสามารถรองรับได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งพวงมาลัยในรุ่นนี้เป็นวัสดุนุ่มและยังเป็นแบบมัลติฟังก์ชันที่เราสามารถควบคุมระบบอื่น ๆ ภายในรถได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับด้านซ้ายจะเป็นการตั้งค่าควบคุมความเร็วต่างๆ seed limit การปรับเซตต่างๆ หรือ Cruise control ป็นต้น ด้านขวาก็จะเป็นในส่วนของระบบ Infotainment ไม่ว่าจะเป็นการสั่งการด้วยเสียง หรือสั่งการโทรศัพท์ เป็นต้น นอกจากนี้มี Paddle Shift ที่เพิ่มเติมมาจากตัวรุ่นเดิม ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปลองใช้ในตอนขับขี่กันว่าเป็นยังไง สำหรับพวงมาลัยรุ่นนี้จะมีโลโก้ M มาให้ด้วยเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเป็นรุ่น M Sport
ไปต่อที่ด้านบน ในส่วนของจะหลังคาหุ้มด้วยผ้าที่เป็นลายใหม่สี Anthracite โดยจะออกเป็นสีดำ ซึ่งจะมีความละเอียดมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน นอกจากนี้ก็มีไฟภายในรถและไฟแสดงสถานะต่างๆ เป็น LED อีกทั้งมีปุ่ม SOS ที่เป็นปุ่มฉุกเฉิน มาพร้อมกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ และที่สำคัญฝั่งของคนขับก็เป็นกระจกแบบตัดแสงอัตโนมัติเช่นกัน
เมื่อเราเข้ามาอยู่ภายในด้านหลังทำให้เราเห็นว่ามีพื้นที่วางขาเหลือเยอะซึ่งต้องบอกก่อนว่าเบาะคนขับข้างหน้าที่เรานั่งเมื่อสักครู่เราได้ปรับไว้ตามการใช้งานจริงไม่ได้ปรับเพิ่มเพื่อให้เห็นว่ามีพื้นที่เหลือเยอะ เบาะนั่งมีขนาดใหญ่ทำให้นั่งได้เต็มตัวและนั่งสบาย ในส่วนของพนักพิงก็ออกแบบมาได้รับกับสรีระของคนตัวใหญ่ เบาะที่นั่งตรงกลางก็เหมือนกับเบาะส่วนอื่น ๆ ไม่ได้มีส่วนนูนโค้งออกมาทำให้นั่งไม่สบายและสามารถดึงออกมาเป็นวางแขนและแก้วน้ำ ซึ่งมีขนาดใหญ่วางแขนได้สบายไม่ได้รู้สึกว่าเล็กเกินแล้วก็ไม่ได้ดูก้องแก๊ง มีความเหมาะสมกับรถระดับนี้ สำหรับพื้นที่ head room ก็ยังเหลือเฟือทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด การออกแบบของ BMW จะทำให้ผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังรู้สึกนั่งสบายขึ้นเมื่อเดินทางระยะไกลก็จะไม่มีปัญหา
บริเวณแผงประตูของผู้โดยสารตอนหลัง การออกแบบตกแต่งเหมือนประตูด้านหน้าโดยเป็นสีน้ำตาลซึ่งเป็นสีเดียวกับเบาะนั่งจะตัดดำและยังมีตัวไฟ LED เสริมอยู่ด้วยซึ่งไฟ LED นี้จะมีความหมายคือเมือเราปิดประตูแสงจะเป็นสีฟ้าถ้าเราเปิดประตูไฟจะเป็นสีแดง อีกทั้งมีไฟ Ambient Light ที่อยู่ในแพ็คเกจ Individual Lights Shadow Line จะมีการรมดำเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้ยังมีม่านบังแดดด้านหลังโดยจะมีสองชิ้นคือด้านกระจกบานใหญ่กับตัวช่องกระจกเล็กและยังมีม่านบังแดดไฟฟ้าด้านหลังมาให้อีกด้วย
เข็มขัดนิรภัยมีมาให้สามจุด รวมไปถึงมีที่ล็อคเบาะเด็ก Isofix ให้หนึ่งจุด หมอนรองศรีษะมีมาให้ทั้งสามเบาะสามารถรองรับศรีษะได้ดี สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคือเบาะไม่สามารถที่จะพับเพื่อเก็บของลักษณะยาวได้
สรุปความน่าใช้
BMW 520d M Sport 2022 ราคาอยู่ที่ 3,539,000 บาท ซึ่งเราจะเปรียบเที่ยบกับ 530e M Sport ที่ราคาจะอยู่ที่ 3,739,000 บาท ซึ่งราคาแพงกว่า 200,000 แต่ว่าที่เราถึงเลือก 520d มาทดสอบเพราะว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล เครื่องยนต์ดีเซลของ BMW สามารถตอบสนองได้ไวและช่วงล่างยังมาในรูปแบบ M Sport อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแรงบิดสูงและความเร็วมาในรอบต่ำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์แต่ว่าสมรรถนะก็มีประสิทธิภาพอีกทั้งยังประหยัดน้ำมันได้มากทีเดียว และยังให้อัตราเร่งที่ค่อนข้างดี
BMW บอกว่าการประหยัดน้ำมันสามารถทำได้ 20 กม./ลิตร แต่เมื่อได้ขับขี่จริงทั้งในเมืองและนอกเมืองระยะทางไกลๆ เฉลี่ยแล้วทำได้ 15 กม./ลิตร แต่ก็ยังสามามรถประหยัดได้ในระดับหนึ่ง ในรุ่นนี้ไม่ต้องเสียเวลาชาร์จแบตเตอรี่ไม่เหมือนกับ 530e ที่เป็นปลั๊กอินไฮบริด ถ้าหากใครที่ไม่ค่อยมีเวลาเดินทางไกลหรือต้องการสมรรถนะของเครื่องยนต์หรือแม้กระทั่งความเฟิร์มของช่วงล่างรวมไปถึงเรื่องระบบความปลอดภัยพื้นฐาน 520d ถือว่าครบครันเพราะสามารถใช้งานระบบต่าง เ หล่านี้ในชีวิตประจำวันได้
ในส่วนของช่วงล่างแบบ Adaptive สำหรับเราเราคิดว่าไม่ใช่ปัญหาเพราะว่าช่วงล่างให้มาเป็น M Sport ซึ่งค่อนข้างที่จะเฟิร์มพอสมควร การดูแลรักษาไม่จุกจิกและการใช้งานสามารถทำได้อย่างสมบุกสมบัน แม้มันจะเป็นแม็กขนาด 18 นิ้ว มีขนาดยางที่หนาสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ในขนาด 18 นิ้ว สามารถวิ่งทางไกลได้ดีและยังสู้กับพื้นถนนที่อาจจะไม่เรียบหรือมีความเป็นหลุมเป็นบ่อได้โดยไม่ต้องเบรก มันให้ความเฟิร์มและแน่นเลยทีเดียว
เราชอบสไลต์การขับขี่ของ BMW เพราะว่ามันมีความกระด้างเล็กน้อย พวงมาลัยมีน้ำหนักตึงมือไม่ได้เบาจนเกิดไปแม้กระทั้งในโหมด Comfort ก็ตาม อีกทั้งที่นั่งดานหลังของ BMW 520d นั่งสบาย สำหรับคนสูง 180 ซม. สามารถนั่งได้สบายตอบโจทย์เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีม่านไฟฟ้าที่ด้านหลังและม่านแมนนวลปรับมือที่กระจกของผู้โดยสารตอนหลัง
ในรุ่นนี้เหมาะกับคนที่เป็นระดับผู้บริหารระดับผู้อำนวยการ รวมไปถึงคนที่ชอบเดินทางไกลตลอดเวลา ไม่ว่าจะใช้รถเองหรือมีคนขับรถให้แต่ถ้าใครที่มีครอบครัวรถคันนี้ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่ยังไม่มีลูกหรือเป็นครอบครัวขนาดเล็กที่มีลูกไม่เกิน 2 คน เพราะเมื่อเด็กๆโตขึ้น เบาะด้านหลังสำหรับผู้ใหญ่ 2 คน ถือว่ากำลังพอดี ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางและเบาะหลังที่นั่งสบายมีพื้นที่ขารวมไปถึงพื้นที่หัวยังเหลือเยอะ รวมไปถึงฟังก์ชั่นความปลอดภัยการใช้งานต่างๆ
The Review
BMW 520d M Sport
BMW 520d M Sport เป็นซีรีส์ 5 ที่มาพร้อมกับชุดตกแต่งแบบ Sport Line รอบคัน ซึ่งยังอัดแน่นไปด้วยระบบอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีใหม่ๆ
PROS
- ประหยัดน้ำมัน
- มีกล้องหลังและเซ็นเซอร์รอบคัน
- เหมาะกับคนหลากหลายกลุ่ม
- มีระบบ Driving Assistance
- ระบบความปลอดภัยอยู่ในเกณฑ์ดี
- พื้นที่ท้ายรถมีขนาดใหญ่บรรจุสัมภาระได้เยอะ
- มีกุญแจให้เลือกใช้ 3 แบบ ซึ่งรีโมทระบบสัมผัส (BMW Display Key) เป็นที่น่าสนใจ
- ระบบประตูดูดทั้ง 4 บาน
- ประตูรถ Comfort Access
- มีแอพลิเคชั่นในการปลดล็อก-ล็อกประตู
- ระบบฏิบัติการภายในรถยังมีมาตรฐานใช้งานง่าย
CONS
- ไม่สามารถพับเบาะหลังลงได้
- ไม่มีกล้องหน้า กล้องรอบคันและเรดาห์
- ช่วงล่างเป็น M sport ธรรมดาไม่เป็น Adaptive
- เบรกเป็นคาลิปเปอร์ธรรมดาไม่ได้เป็นเบรก M Sport
Review Breakdown
-
Driving
-
Engine&Trans
-
Fuel Consumption
-
Practicality
-
Price and Features
-
Design
-
Saftey