เจาะรายละเอียด Ford Ranger Raptor ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ 213 แรงม้า แข็งแกร่งดุดันตามแบบฉบับออฟโรด

         Ford เผยโฉม Ranger Raptor กระบะออฟโรดสมรรถนะสูงรุ่นใหม่เป็นครั้งแรกในโลก สะท้อนนิยาม “เกิดมาแกร่ง” พร้อมอัดแน่นด้วยดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance)

         หลังจากปล่อยทีเซอร์ยั่วน้ำลายมาสักพัก วันนี้เราก็ได้พบกับสุดยอดกระบะสมรรถนะสูงพันธุ์แกร่งกับเจ้า Ford Ranger Raptor นี่คือกระบะออฟโรดที่จะมาเป็นเซกเมนต์ใหม่ในตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กระบะรุ่นนี้พัฒนาต่อยอดมาจาก Ford F-150 Raptor รุ่นต้นแบบ พร้อมผสมผสานดีเอ็นเอตามแบบฉบับของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance)

การออกแบบที่ดุดัน

          Ranger Raptor โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เน้นความดุดันแข็งแกร่งในทุกมุมมอง ด้านหน้ามาพร้อมกระจังหน้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก F-150 Raptor ประทับตราโลโก้ Ford ขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ กันชนหน้าออกแบบในสไตล์ดุดันพร้อมกับไฟตัดหมอก LED และช่องรีดอากาศที่ช่วยลดการต้านลมของตัวรถได้เป็นอย่างดี ไฟหน้าเป็นเลนส์โปรเจคเตอร์ดีไซน์คล้ายกับ Ranger ตัวปัจจุบัน เสริมดุด้วยไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ LED

          เส้นสายตัวรถรวมๆ แล้วยังคงคล้ายกับ Ranger ตัวปัจจุบันอยู่ แก้มข้างรถผลิตจากวัสดุคอมโพสิทดีไซน์แข็งแกร่งและทนต่อการบุบและรอยขีดข่วน อีกทั้งถูกตีโป่งขยายออกเพื่อรองรับระยะยุบตัวของโช๊คที่เพิ่มขึ้นและยางออฟโรดขนาดใหญ่

          มิติของตัวรถใหญ่กว่า Ranger ตัวปัจจุบันโดยมาพร้อมความสูง 1,873 มม. กว้าง 2,180 มม. และยาว 5,398 มม. ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้นเป็น 1,710 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 283 มม. ขณะเดียวกันยังมาพร้อมมุมไต่ที่ 32.5 องศา มุมคร่อมที่ 24 องศา และมุมจากที่ 24 องศา

         บันไดข้างของ Ranger Raptor เป็นแบบเจาะรูเพื่อให้ระบายทราย โคลน และหิมะได้ ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง ผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอยเพื่อเพิ่มความคงทน ผ่านการทดสอบด้วยการกดน้ำหนัก 100 กิโลกรัมถึง 84,000 ครั้ง และทำการเคลือบถึงสองชั้น โดยทำการพ่นสี powder-coated ก่อนพ่น grit-paint ทับอีกชั้น เพื่อมอบความรู้สึกแข็งแกร่ง และทนทานต่อรอยขีดข่วนและรอยเปื้อนที่เกิดจากอากาศและสภาพแวดล้อม

         กันชนท้ายได้ผ่านการปรับปรุงโดยเพิ่มชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด ที่รองรับการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน นอกจากนี้ ส่วนท้ายรถยังได้รับการพัฒนาด้วยกรอบตัวเซ็นเซอร์ที่เรียบเสมอกับตัวถัง และตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ ส่วนท้ายกระบะมอบมีพื้นที่ใช้งาน 1,560 x 1,743 มิลลิเมตร

         Ranger Raptor มาพร้อมล้ออัลลอยสีเข้มขนาด 17 นิ้ว รัดด้วยยาง All-terrain ของ BF Goodrich ขนาด 285/70 R17 เป็นยางที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับกระบะพันธุ์แกร่งหนี้โดยเฉพาะ ยางมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 838 มม. กว้าง 285 มม. แก้มยางมีความแข็งแรงสูงเหมาะในการลุยทุกสภาพพื้นผิว พร้อมด้วยดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ

ภายใน

           ภายในของ Ranger Raptor มาพร้อมความประณีตขั้นสูงตามดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) ที่ผสานสีสันต่าง ๆ และการเลือกสรรวัสดุที่คงทนและเหมาะสมสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดและการใช้งานในชีวิตประจำวัน เบาะนั่งได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อรองรับการใช้งานการขับขี่แบบออฟโรดความเร็วสูง ทั้งยังมอบความสะดวกสบายระหว่างการเดินทางอย่างเหนือชั้น การเลือกใช้หนังกลับเป็นวัสดุของเบาะนั้น ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารยึดเกาะที่นั่งได้ดียิ่งขึ้น

            รายละเอียดบริเวณคอนโซลหน้าเลือกใช้วัสดุหนังและเดินด้ายสีน้ำเงิน แผงหน้าปัดที่มาในรูปแบบที่ดุดันแสดงฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบต่าง ๆ พวงมาลัยมาพร้อมกับแป้น Paddle Shift ขนาดใหญ่ที่ผลิตจากแม็กนีเซียมน้ำหนักเบา รวมถึงแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Centre Marker ที่เป็นแถบสีแดงด้านบนของพวงมาลัย ช่วยให้นักขับออฟโรดทราบถึงตำแหน่งองศาของพวงมาลัยขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ยังสลักลายโลโก้แร็พเตอร์ลงบนขอบพวงมาลัย เพื่อความโดดเด่นสะดุดตา

            Ranger Raptor มาพร้อมเทคโนโลยีด้านการเชื่อมต่อ ซิงค์ 3 (SYNC 3) ซึ่งเป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ผนวกเข้าในรถคันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานอุปกรณ์โปรดได้แม้มือยังจับพวงมาลัยและตาจับจ้องอยู่ที่ถนน

เกิดมาเพื่อออฟโรด

            แชสซีของ Ranger Raptor ได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูงและทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่โดยเฉพาะ ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อคทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง จึงช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น

            แชสซีได้ถูกออกแบบมาใหม่เพื่อรองรับระบบช่วงล่างที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ Ranger Raptor สามารถเพิ่มระยะช่วงล้อคู่หน้าและหลัง และยังเพิ่มระยะการให้ตัวของล้อได้มากขึ้น แชสซีผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) เกรดต่างๆ อีกทั้งยังเสริมความแข็งแรงด้านข้างของแชสซี (side-rails) เพื่อรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับขี่ด้วยความเร็วสูง

            แชสซีด้านหน้าได้มีการเพิ่มความแข็งแรงของจุดยึดหูโช้คที่ถูกขยายความสูงขึ้นมา ในขณะที่ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบคอยล์โอเวอร์ช็อคซึ่งทำขึ้นมาพิเศษให้เฉพาะเรนเจอร์ แร็พเตอร์ เท่านั้น รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์ ช่วยให้เพลาเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้อย่างอิสระโดยที่มีการขยับตัวในแนวราบน้อยมาก อีกทั้งยังมีชุดตะขอเกี่ยว 2 ชุดด้านหน้าและด้านหลังที่รองรับน้ำหนักจากการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน และโครงสร้างแท่นยึดยางอะไหล่ที่ถูกเสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับยางอะไหล่ขนาดใหญ่ถึง 17 นิ้ว

           Ranger Raptor มาพร้อมกับระบบเบรกอันทรงพลังโดยการใช้ชิ้นส่วนพิเศษที่ทำขึ้นเฉพาะรุ่น คาลิปเปอร์เบรกคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 9.5 มม. มาพร้อมกับจานเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อนขนาดถึง 332 x 32 มม. ส่วนด้านหลังมาพร้อมกับดิสก์เบรกที่มาพร้อมกับระบบ brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 332 x 24 มม. คู่กับคาลิปเปอร์เบรกใหม่ขนาด 54 มิลลิเมตร

           ระบบช่วงล่างสายพันธุ์รถแข่งของเรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ที่ความเร็วสูงบนสภาพพื้นผิวขรุขระ โดยที่ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้รับความสบายอย่างเต็มที่ ด้วยโช้คแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ที่จะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้น และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนถนนทางเรียบ เพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล จึงเห็นได้ว่าระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ทั้งสองรูปแบบ

          โช้คอัพของ Ranger Raptor ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษโดย Fox Racing Shox ใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มม. ทั้งคู่หน้าและหลัง ช่วงล่างถูกออกแบบมาให้มีระยะการให้ตัวของล้อสูงเพื่อความสามารถในการซับแรงกระแทกขณะขับออฟโรด แต่ด้วยระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass technology) จึงทำให้การขับขี่บนถนนทางเรียบเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังมีปีกนกที่ทำจากอะลูมิเนียม โดยปีกนกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ เพื่อให้ระบบช่วงล่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แข็งแรงทนทานต่อการขับขี่แบบออฟโรดถึงขีดสุด

           Ranger Raptor ยังมาพร้อมกับแผงกันกระแทกเครื่องยนต์ผลิตจากเหล็กกล้า (High-strength steel) ที่มีความหนา 2.3 มม. อีกทั้งยังมีชุดกันกระแทกด้านล่างที่ป้องกันเครื่องและระบบส่งกำลัง (transfer case) ทั้ง 3 ส่วนนี้ที่ช่วยปกป้องชิ้นส่วนสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหม้อน้ำ ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Assisted Steering – EPAS) ชุดสายพานหน้าเครื่อง (Front End Accessory Drive – FEAD) คานล่างด้านหน้า (Front cross-member) อ่างน้ำมันเครื่อง และชุดเฟืองขับส่วนหน้า

ขุมพลังแห่งการขับเคลื่อน

           ขุมพลังของ Ranger Raptor เป็นเครื่องยนต์ดีเซล Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร รุ่นใหม่ มอบพละกำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่างเทอร์โบแรงดันสูง (HP) ที่เชื่อมต่อกับเทอร์โบแรงดันต่ำ (LP) ที่มีขนาดใหญ่และถูกควบคุมด้วยวาล์วบายพาสที่ทำหน้าที่ควบคุมลำดับการทำงานของเทอร์โบทั้งสองลูกโดยขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องยนต์ เมื่อรอบเครื่องยนต์ต่ำ เทอร์โบทั้ง 2 ตัว จะทำงานตามลำดับเพื่อช่วยเพิ่มแรงบิดและการตอบสนอง เมื่อช่วงรอบเครื่องยนต์สูง อากาศจะไม่ไหลผ่านเทอร์โบแรงดันสูง ทำให้เทอร์โบแรงดันต่ำที่ใหญ่กว่าช่วยเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น   

           เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา เนื่องจากเกียร์มีทั้งหมด 10 จังหวะ ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง จึงส่งผลให้มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีขึ้น ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์มาพร้อมกับอัลกอริทึมที่เรียนรู้รูปแบบการขับขี่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้มั่นใจว่ารถได้เลือกเกียร์ที่เหมาะสมที่สุด ระบบเกียร์อัตโนมัติลูกนี้ยังมีคุณสมบัติพิเศษที่เรียกว่า ‘Live in Drive’ ที่สามารถให้ผู้ขับขี่ใช้แป้น Paddle Shift เพื่อควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตนเองได้ทุกเมื่อแม้กระทั้งอยู่ในเกียร์ D

พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิว

           Ranger Raptor มาพร้อมกับระบบ Terrain Management System (TMS) สำหรับโหมดการขับขี่ทั้งหมด 6 รูปแบบ ประกอบด้วย โหมดการขับขี่ทางเรียบ 2 โหมด ได้แก่ โหมดปกติที่เน้นความสบาย นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน และโหมดสปอร์ตที่เน้นการเปลี่ยนเกียร์เร็วและฉับไวในขณะที่รอบเครื่องสูง พร้อมทั้งค้างรอบเครื่องสูงไว้เพื่อให้การตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้นอย่างที่ผู้ขับขี่ต้องการ ทีเด็ดอยู่ที่โหมดการขับขี่ออฟโรดที่ครอบคลุมการขับขี่ในทุกพื้นผิว ประกอบด้วย

เทคโนโลยีความปลอดภัย

           Ranger Raptor ได้รับการออกแบบมาพร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูงทั้งแบบแอคทีฟและพาสซีฟ รวมถึงระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำนอกจากนี้ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) จะคอยช่วยเมื่อเข้าโค้งหรือเบรกกะทันหันจนรถเริ่มเสียการทรงตัว ระบบนี้ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง (Trailer Sway Control) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control) 

           กล้องมองหลังที่จะแสดงภาพบนsหน้าจอขนาด 8 นิ้ว ทำงานร่วมกับสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลังในการถอยจอด นอกจากนี้ Ranger Raptor ยังมาพร้อมกับระบบอำนวยความสะดวก อาทิ ระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (EZ Lift Tailgate) กุญแจรีโมทอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ

          Ranger Raptor มีสีภายนอกให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ สีฟ้า Lightning Blue, สีแดง Race Red, สีดำ Shadow Black, สีขาว Frozen White และสีพิเศษ เทา Conquer Grey รถจะผลิตที่โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) โดยใช้กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีอันล้ำสมัย สำหรับราคาค่าตัวและรายละเอียดของในแต่ละรุ่นย่อยยังไม่มีการเปิดเผยออกมา คาดว่าน่าจะได้รู้กันในงานมอเตอร์โชว์ปลายเดือนหน้า

Exit mobile version